เรื่องสั้น : ผู้ชนะหมายเลขสูญ : ลิขิต บุญปาน
เรื่องสั้น : ผู้ชนะหมายเลขสูญ : ลิขิต บุญปาน
๑.
แสงแดดเวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีของเช้านี้ดูช่างอบอุ่นและอ่อนโยนเป็นพิเศษ เหลืองลออของรังสีที่พาดสัมผัสกิ่งไม้ใบหญ้ารอบบริเวณศาลาอเนกประสงค์แห่งนั้น สะท้อนเกล็ดน้ำค้างที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง ให้เห็นเป็นประกายกลอกกลิ้งอยู่วาววับ สายลมรำเพยรวยรินชักชวนหมู่ละเมาะไม้ให้เริงระบำ ผีเสื้อหลากสีขยับปีก ฝูงแมงปอโผผกผัน เป็นภาพธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับคนในเมืองอย่างผม ที่นานหนักหนาจะได้มีโอกาสชื่นชมอย่างใกล้ชิด
ผมอ้าปากหาวหวอดออกมาโดยไม่ทันได้เอามือป้องปาก หัวเราะเขิน ๆ ให้แก่น้องผู้หญิงจากสำนักงานเกษตรอำเภอที่เพิ่งเดินเข้ามา
'พี่ไม่เคยตื่นเช้าอย่างวันนี้ แล้วเมื่อคืนก็มีสังสรรค์เล็ก ๆ กับเพื่อนด้วย เลยออกจะงัวเงียอยู่สักหน่อย'
เธอยิ้มสยาม
'มากันครบหรือยังคะ ?'
'ขาดไปสองสามคน คงกำลังเดินทาง เดี๋ยวก็คงถึง ช่วงนี้เลือกตั้งหลายที่ เกษตรโดนไปกี่คนล่ะ'
'สามคน' เธอว่า ก่อนเดินไปสมทบกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่มาถึงแล้ว จัดโน่นขยับนี่ง่วนอยู่
เรากั้นคอกบริเวณด้วยแถบพลาสติคสีเหลือง เลาะไปไปตามเสาคอนกรีตเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กะดูด้วยสายตาว่าพื้นที่ภายในสามารถจะจัดสรรไว้ใช้ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างไม่แออัด ชั้นในสุดเป็นคูหาเลือกตั้ง ตั้งโต๊ะขนาดย่อมไว้ห้าตัว บนโต๊ะกางปกปิดไว้ด้วยแผ่นเหล็กพับได้ มีช่องร้อยเชือกผูกปากกาไว้โต๊ะละด้าม สำหรับเป็นที่ให้ชาวบ้านเข้ามากาหมายเลขเลือกผู้สมัครที่เขาชื่นชอบ ถัดออกมาเป็นที่วางหีบเหล็กรับบัตรลงคะแนนเสียง
ในส่วนที่เป็นบริเวณของพนักงานเจ้าหน้าที่ ด้านซ้ายชิดปากทางเข้าเป็นแผนกตรวจสอบยืนยันความถูกต้องตามทะเบียนบ้านของผู้มาเลือกตั้ง , แผนกรับ – จ่ายบัตร , ประธานกรรมการและผู้อำนวยการการเลือกตั้ง ด้านขวาเป็นที่นั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายรักษาความปลอดภัยและสักขีพยานต่าง ๆ
นอกคอกสีเหลือง ตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ติดรูปถ่ายและข้อมูลต่าง ๆ ของผู้สมัครรับเลือกตั้งและเอกสารทางราชการที่เกี่ยวข้องที่ต้องแจ้งให้แก่ประชาชนทราบ
เจ็ดนาฬิกาสี่สิบห้านาทีคนที่ขาดก็มากันครบ เว้นไว้ก็แต่สักขีพยานของฝ่ายลงเลือกตั้ง ต่างเข้าช่วยกันจัดเตรียมเอกสารและวัสดุอุปกรณ์กันอย่างแข็งขัน ชาวบ้านยังบางตา แต่แม่ค้าขายของหลายเจ้าพากันจับจองพื้นที่จนดูแล้วไม่เหงา
ครู่หนึ่งต่อมาผมก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู พลางชำเลืองไปยังนาฬิกาที่ใช้ในหน่วยเลือกตั้งซึ่งวางไว้บนโต๊ะข้างหีบรับบัตรลงคะแนน
เวลาตรงกัน
'เริ่มละนะ' ผมพูดกับทีมงาน ทุกคนพยักหน้า ผมกวักมือเรียกใครคนหนึ่งที่อยู่ด้านนอก
'ลุง เชิญทางนี้หน่อยครับ'
ลุงคนนั้นเดินเข้ามาอย่างว่าง่าย
'มีอะไรหรือครับ ?'
'ผมจะขอให้ลุงเป็นพยานตรวจสอบหีบใส่บัตรลงคะแนน'
ผมหันไปพยักหน้ากับเจ้าหน้าที่ที่คอยพร้อมอยู่ก่อนแล้ว น้องชายคนนั้นยกหีบทำท่าเทออก หันปากหีบมาทางด้านหน้า ด้านซ้าย ด้านขวา โดยเปิดเผย
'ไม่มีอะไรในนี้นะครับ ?'
ลุงพยานพยักหน้า ผมบอกให้เจ้าหน้าที่ปิดหีบ แล้วผนึกรอยต่อของหีบด้วยกระดาษกาวจนรอบ จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ลงลายมือชื่อคร่อมรอยต่อนั้นทั้งสี่ด้าน ตรงสายยูกุญแจใช้สายรัดพลาสติคล็อกไว้อย่างแน่นหนา บอกให้ลุงไปเซ็นเอกสารรับรอง ก่อนจะกระแอมเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยเสียงดัง ๆ ว่า
'ขณะนี้เวลาแปดนาฬิกา ผมในฐานะประธานกรรมการหน่วยเลือกตั้งที่หนึ่ง ขอเปิดการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลตำบล ณ บัดนี้'
แดดเริ่มกล้า ผู้คนเริ่มทยอยเดินทางมา และพวกเราเริ่มมือเป็นระวิง ลานโล่ง ๆ หน้าหน่วยเลือกตั้งบัดนี้พลุกพล่านไปด้วยด้วยผู้คน รถปิกอัพ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ไม่ขาดระยะ เสียงทักทายปราศรัยของใครต่อใครดังขรมถมเถ บ้างก็เข้าไปยืนดูอยู่ที่หน้าป้ายประกาศ บ้างก็เดินเข้ามาในหน่วย ต่อคิวกันรับบัตร คนที่ลงคะแนนเสร็จแล้วก็เดินออก สวนกับคนมาใหม่ที่เดินเข้า
ผมนั่งมองประชาธิปไตยที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่คึกคักตรงหน้าอย่างนิยมชมชื่น ซาบซึ้งกับระบบระบอบจนหัวใจพองโตคับอก นี่แหละที่เขาว่า อำนาจการปกครองมาจากปวงชนชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน หากเจ้าของอำนาจไม่เห็นชอบเป็นต้องตกกระป๋อง
ใกล้เที่ยง แม่ค้าที่เราเหมาทำอาหารกลางก็ห้อรถจักรยานยนต์มาส่ง ผู้คนที่มาลงคะแนนเริ่มซาลง
'ใครว่างก็กินกันได้เลยนะ วันนี้อาหารสิ้นคิดเหมือนเคย ผัดใบกระเพราหมู ไข่ดาว กับผัดพริกแกง ไข่ดาว'
ผมกล่าวติดตลก ก่อนชี้มือไปยังโต๊ะวางของอเนกประสงค์ตัวหนึ่งข้างที่นั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มีถุงพลาสติคขนาดใหญ่บรรจุกล่องโฟมใส่อาหารเรียงซ้อนกันวางเบียดอยู่กับกระติกน้ำร้อน , กาแฟซอง , ถ้วยพลาสติกใช้ครั้งเดียว , กระติกน้ำแข็ง และน้ำเปล่าบรรจุขวด
'ทางหน่วยที่สองเขาหากินกันเอง ไม่ได้หักเบี้ยเลี้ยงเหมาแม่ค้าทำอย่างเรา เจ้านี้เขาลือว่าทำอร่อย'
เจ้าหน้าที่ทยอยมาเข้าเลือกอาหาร บางคนกลับไปยังที่นั่งเดิม บางคนหาที่นั่งใหม่ บางคนยืนกิน
'เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม ?' ผมถามลอย ๆ ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
'ก็เอาเรื่องเหมือนกันค่ะ'
ไก่ ฝ่ายแจกบัตรตอบ
'ช่วงเก้าโมงถึงสิบโมงคนมามาก'
'ก็คงแวะก่อนไปทำงาน'
'เดี๋ยวตอนบ่ายสองถึงสามโมงจะแน่นกันอีกรอบ'
ต้อย แผนกตรวจสอบทะเบียนบ้านว่า
'ได้สักกี่เปอร์เซ็นต์แล้วไม่รู้ ?'
'ครึ่งหนึ่งแล้วพี่'
'หมู่ไหนมามากที่สุด ?'
'หมู่หนึ่งมาใช้สิทธิ์ครบทุกคนแล้ว'
'มีอะไรติดขัด ขลุกขลักบ้างหรือเปล่า ?'
'เรียบร้อยดีค่ะ'
เรากินกันไป คุยกันไปตามประสาคนทำงานภาคสนาม แดดระอุ ไม่นิ่มนวลเหมือนเมื่อเช้า ดีที่ว่ารอบบริเวณมีไม้ใหญ่ยืนต้นให้ร่มเงาอยู่มาก พอให้ผู้คนด้านนอกเข้าแฝงตัวหลบความร้อน เราไม่ได้ปิดทำการเพื่อพักเที่ยง เพราะการเลือกตั้งไม่มีเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน ทว่าก็ไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะการกินของพวกเรา ผมเข้าใจเอาเองว่าน่าจะเนื่องมาจากธรรมเนียมแบบไทย ๆ เป็นความเกรงใจของชาวบ้าน
'แล้วนี่ตัวแทนผู้สมัคร ไม่ส่งใครมาเลยหรือ ?' ผมชวนคุยต่อ
'มาครับ มากันครบนั่นแหละ แต่มาเดินดูโน่นดูนี่อยู่ประเดี๋ยวประด๋าวก็กลับ' ดาบตำรวจว่า
'สามคน - ไม่รู้จะออกใครนะ กำนันเดช หมวดทีป ครูชะลอ' ผมพูดฆ่าเวลาต่อ ‘กำนันแกใจเด็ด เป็นนายก อบต.อยู่ ทำเรื่องขอยกฐานะเป็นเทศบาล พอมหาดไทยอนุมัติ แกก็ลาออก ให้มีการเลือกตั้งใหม่'
'ก็คงเชื่อบารมีตัวเอง'
สมควรจากพัฒนาชุมชนแสดงความคิดเห็น
'หมวดทีปเป็นไงบ้างล่ะดาบ ?'
'ก็ดีครับ ใจนักเลง' นายดาบพูดยิ้ม ๆ 'แกเป็นคนที่อื่น เป็นนายตำรวจเออร์รี่รีไทร์มาซื้อที่ทางอยู่ที่นี่สองสามปีแล้ว สวนแกใหญ่โตทีเดียว'
'รวยมากหรือ ?'
'ก็รวยล่ะครับ'
'แล้วครูชะลอล่ะเป็นไง ?’'
'คุณครูหนูเองค่ะ เรียนกับแกเมื่อตอนประถม คนหมู่เดียวกัน' ไก่ขยายความ 'ใจดี ธรรมะธรรมโม ลูกศิษย์ลูกหาเยอะ แต่เรื่องฐานะก็แค่พอมีพอกินไม่ร่ำรวยอะไร'
'อ้าว ! ไก่เป็นคนตำบลนี้เองหรอกหรือ ?' ผมอุทาน 'แล้วฟัง ๆ ดูชาวบ้านจะเอาใครพอรู้ไหม?'
'เฉพาะในหมู่ที่หนูอยู่ ก้ำกึ่งกันระหว่างลุงกำนันกับหมวดทีป แต่จะออกไปทางลุงกำนันนิดหน่อยส่วนคุณครูท่าจะแย่ หมู่อื่นหนูไม่รู้'
'มีใครแอบมาแจกเงินแจกทองให้ที่บ้านไก่บ้างหรือเปล่า ?'
ผมเย้า สาวไก่ทำสีหน้าอมยิ้มแต่ไม่ตอบประการใด
'แล้วคนแปลกหน้าล่ะมีเข้ามาบ้างไหม ?'
'เอ ! ลุงกำนันบ้านแกคนเยอะอยู่แล้วดูไม่ออกว่าใครแปลกหน้า หมวดทีปก็เห็นว่าช่วงนี้รับคนงานใหม่หลายคน ส่วนครูลอไม่เห็นมีใคร นอกจากพี่นวยที่ขึ้นมาจากใต้'
'ใครน่ะ ?'
'พี่นวยคนที่นี่แหละ ครูลอเคยอุปถัมภ์ค้ำชูมาแต่เด็ก ไปอยู่ใต้หลายปีแล้ว นี่คงกลับมาเยี่ยมป้านงแม่ของแกที่ป่วย หนูเห็นแวบ ๆ หน้าบ้านครูลอเมื่อค่ำวาน จะเข้าไปทักแต่ก็ไม่ทัน แกขับรถออกไปแล้ว'
เมื่อเรื่องปากเรื่องท้องเสร็จสิ้น การปฏิบัติงานของเราก็เริ่มอย่างเป็นทางการกันต่อไป ประมาณใกล้บ่ายสองโมง พัฒนาการอำเภอซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการณ์หน่วยเลือกตั้งได้แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน หลังจากสอบถามภาพรวมการทำงานอยู่ราวสิบห้านาทีก็เดินทางกลับ
คนเริ่มคับคั่งอีกครั้งเมื่อผ่านเวลาสิบสี่นาฬิกาไปได้เล็กน้อย ส่วนใหญ่ที่เข้ามาในช่วงหลังของวันล้วนอยู่ในสภาพเหงื่อโทรมตัวและขะมุกขะมอม สันนิษฐานได้ว่าคงละจากการงานที่ตนทำอยู่ ที่ไปรับจ้าง นายจ้างก็บรรทุกรถกระบะมาส่งเป็นกลุ่ม ๆ บ้างก็แบกมีดขอขี่ซ้อนรถจักรยานยนต์กันมา ชาวบ้านบางคนที่กะเก็งไว้ว่าคนจะมากันมากตอนก่อนเที่ยงเลยเลี่ยงมาตอนบ่ายก็ไม่น้อย คิวบ่ายจึงยาวเหยียดออกไปไม่ต่างกับคิวเช้า
คณะของเราแม้จะทำงานกันอย่างหัวปั่น แต่ก็แคล่วคล่องว่องไว ถูกต้อง แม่นยำกว่าเมื่อแรก คงเป็นเพราะเกิดความชำนาญจากการทำซ้ำ ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนที่วางลำดับไว้บางขั้นถูกรวบเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว เราไม่พบปัญหาหนักหน่วงใด ๆ ในการทำงาน นอกจากการให้คำอธิบาย ชี้แจงข้อสงสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่ประชาชน อำนาจบาตรใหญ่จากภายนอกไม่มีเข้ามาแผ้วพาน
จากการได้พูดคุยกันในช่วงเวลาที่ปลอดคน ทำให้ผมได้ทราบว่าเจ้าหน้าที่แต่ละคน ต่างล้วนมีประสบการณ์ในหน่วยเลือกตั้งมาแล้วทั้งสิ้น การสนธิกำลังกันปฏิบัติงานของข้าราชการหน่วยงานต่างสังกัดตามคำสั่งของที่ว่าการอำเภอ จึงเข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนจะมองสอบทานกับนาฬิกาหน่วยเลือกตั้ง สายตากวาดดูรอบบริเวณ เห็นผู้คนที่ต่อคิวกันยาวเหยียดบัดนี้เหลืออยู่เพียงคนเดียว ไม่มีใครเข้ามาใช้สิทธิอีกแล้วเหมือนนกรู้ ภายนอกหน่วยมีชาวบ้านยืนอยู่ตามที่ต่าง ๆ เป็นกลุ่ม ๆ และมีรถราแล่นเข้ามาจอดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผมหันไปมองครูแต๋วผู้เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งของหน่วย เมื่อเห็นผู้ใช้สิทธิ์คนสุดท้ายเดินออกนอกหน่วยไป
'สามโมงแล้วครับคุณครู ผมจะประกาศล่ะนะ’
'เอาเลยพี่'
ผมกระแอมในลำคอเล็กน้อย เดินออกไปยืนใจกลางห้อง
'บัดนี้เวลาสิบห้านาฬิกาแล้ว ผมขอปิดการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลของหน่วยเลือกตั้งที่หนึ่ง'
เราใช้เวลาครู่ใหญ่ในการสรุปผล , เก็บเอกสาร วัสดุอุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ที่ขนกันมา ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนที่ทางราชการได้ฝึกอบรมเอาไว้
'ได้เท่าไร ?' ผมถาม
'ผู้มาใช้สิทธิรวมทั้งหมดเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ’
'ใช้ได้ ! ตัวเลขตรงไหนมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ?'
'ไม่มีค่ะ'
'งั้นเดี๋ยวเสร็จจากรับเบี้ยเลี้ยงที่ครูแต๋วแล้ว เราไปหน่วยนับคะแนนกันเลย'
ไม่เกินสิบนาที พวกเราก็ช่วยกันขนของขึ้นรถ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการทำงาน นั่นคือการนำหีบบัตรเลือกตั้งไปส่งให้กับหน่วยนับคะแนนกลาง ซึ่งเมื่อตอนที่ผมไปถึงก็พอดีกับที่หน่วยเลือกตั้งที่สองมาถึงเช่นกัน เราใช้เวลาในขั้นตอนการส่งมอบเอกสารตามกรรมวิธีของทางราชการอยู่นานพอสมควรกว่าจะเสร็จสิ้น และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วง ก็เป็นอันว่าว่าภารกิจในหน่วยเลือกตั้งของเราเป็นอันยุติ แต่ - ผมยังไม่กลับและทีมงานก็ยังอยู่ แน่นอนที่ว่าทุกคนอยากรู้ผลลัพธ์
สถานที่ที่จัดไว้เป็นหน่วยนับคะแนนเป็นลานโล่งในตัวอาคาร กั้นคอกด้วยแถบพลาสติกสีเหลืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีกระดานแบบกระดานดำที่ครูใช้สอนนักเรียนขนาดย่อมสองกระดานตั้งอยู่ตรงกลาง ห่างกันประมาณสามเมตร บนกระดานปิดกระดาษขาวมีช่องตารางบอกเบอร์และลักษณะบัตรแผ่นใหญ่ ยิงมุมสี่ด้านด้วยลวดเย็บกระดาษ ด้านซ้ายเป็นกระดานคะแนนสมาชิกสภา ด้านขวาเป็นกระดานคะแนนนายก มีเจ้าหน้าที่เตรียมปากกาเมจิกไว้คอยขีดคะแนนกระดานละคน บริเวณด้านข้างของกระดานทั้งสอง มีโต๊ะที่เรียงต่อกันเป็นโต๊ะยาว วางถุงบัตรลงคะแนน ตะกร้าใส่บัตรดี บัตรเสีย , บัตรไม่ลงคะแนน พร้อมเจ้าหน้าที่หยิบบัตรส่ง , เจ้าหน้าที่ขานคะแนนและเจ้าหน้าที่เสียบ - แยกบัตรลงตะกร้าอีกตำแหน่งละหนึ่งรวมเป็นสามคน
คนเริ่มเข้ามามุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กระดานคะแนนนายกนั้นแน่นเป็นพิเศษ เสียงจ้อกแจ้กจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ดังอึงคะนึง และแล้ว... เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยนับคะแนนคนหนึ่งก็ประกาศขึ้น
'บัดนี้หน่วยนับคะแนนจะเริ่มนับบัตรเป็นคะแนน ซ้ายมือเป็นคะแนนสมาชิกสภาเทศบาล ขวามือเป็นคะแนนนายกเทศมนตรี เริ่มนับบัตรเป็นคะแนนได้’
๒.
ผมได้พบกับทีมงานหน่วยเลือกตั้งอย่างพร้อมหน้าอีกครั้งเจ็ดวันหลังจากนั้น
'เรื่องไปถึงไหนแล้วครับดาบ ?'
ผมถาม
'พอรู้ตัวคนร้ายแล้ว กำลังตามจับกันอยู่'
'ไม่น่าเลยนะ เหนื่อยกันแทบแย่ เดี๋ยวก็คงต้องเหนื่อยกันอีก เฮ้อ !'
'ตกลงมันเป็นเรื่องดวงซวยหรือเรื่องการเมืองกันแน่ ?'
ครูแต๋วถามบ้าง
'ยังบอกไม่ได้ครับ ต้องลากคอไอ้นั่นมาให้ได้ก่อน'
'นัดเดียวแท้ ๆ' ผมคราง 'หัวหน้าผมเล่าให้ฟังว่าเข้าแสกหน้าพอดี อะไรมันจะขนาดนั้น ? ถ้าเป็นคราวเคราะห์อย่างครูแต๋วว่าก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมืองก็ถือว่าแผนเหนือชั้นทีเดียว บ้านเมืองเราทำไมถึงเป็นอย่างนี้นักก็ไม่รู้ ชอบฆ่าชอบแกงแล้วก็เอาฆาตกรมาเป็นผู้บริหาร อย่างนี้ท้องถิ่นมันจะพัฒนาไปได้ยังไง ?'
'ไหนพี่ลองสรุปเรื่องให้ฟังอีกทีซิ หนูชักงง ?' ไก่ถาม 'หนูฟังว่าถูกพวกวัยรุ่นยิงไม่ใช่รึ ?'
'ก็ใช่ ! แต่พี่คิดเป็นตุเป็นตะต่อไปอีกนะซี อย่างที่เรารู้ ๆ ผลการเลือกตั้งออกมา ครูชะลอไม่ได้อย่างที่ไก่คาด คะแนนไม่ติดฝุ่นเลย แต่อีกสองคน - ชนะกันแค่คะแนนเดียว คนชนะก็พากันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านอาหาร คืนนั้นเขาว่า มีวัยรุ่นสองโต๊ะนั่งกินเหล้าเขม่นกัน เขม่นไปเขม่นมาก็ยกพวกตีกัน ตีไปตีมาก็ยิงกัน แต่มันยิงกันแค่นัดเดียว ก่อนพากันเผ่นกระเจิงขี่มอเตอร์ไซค์หายไปกันหมด ปล่อยให้ว่าที่นายกนอนตายจมกองเลือด พวกบอดี้การ์ดเองก็ตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึง จะซัดเข้าให้บ้าง ไอ้พวกนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว'
'หนูก็ได้ยินมาอย่างนั้นแหละ แล้วที่พี่ว่า...'
'เออ ! พี่ก็บ่น ๆ ไปแต่ก็ไม่ได้ว่าใครหรอกนะ คนเราคิดกันได้นี่ ตำรวจเองก็คงคิด หรือว่าไงดาบ ?'
นายดาบยิ้ม ๆ ผมพูดต่อ
'คือถ้าตายเพราะถูกลูกหลงก็ถือว่าซวย แต่ถ้าถูกสั่งเก็บ ก็ออกจะแนบเนียนอยู่ ต้องมีการวางแผน มีการติดตามความเคลื่อนไหว มีการสะกดรอยตาม เผลอ ๆ เกลืออาจเป็นหนอนอีกต่างหาก จากนั้นทำเป็นให้วัยรุ่นทะเลาะกัน สบโอกาสก็ส่องโป้งเข้าให้'
สาวไก่พยักหน้าอยู่หงึกหงัก
'ฮื่อ ! ก็อาจเป็นไปได้ แล้ว...'
ผมไม่ทันได้กล่าวอะไรอีก เพราะเห็นคนทั้งหลาย ณ ที่นั้นพากันลุกขึ้นยืน จึงลุกขึ้นตาม ค่อย ๆ เดินช้า ๆ ติดหลังพวกเขาเหล่านั้นไป
'ไปสู่สุคตินะครับกำนันเดช ตำรวจเขากำลังทำงานอยู่ ผมเองก็อาจไปทำหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้งอีกครั้ง สิ่งใดที่ผมเคยล่วงเกินขออโหสิกรรม'
ผมพร่ำภาวนาอยู่ในใจ วางดอกไม้จันทน์ลงในถาดหน้าหีบบรรจุศพบนเมรุแห่งนั้น ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สมองมีแต่ความสับสนวุ่นวาย... เลือกตั้งคราวนี้ กำนันเดชได้หมายเลขหนึ่ง หมวดทีปได้หมายเลขสองและครูชะลอได้หมายเลขสาม แต่ผู้ชนะกลับเป็นหมายเลขสูญ - เวรกรรม !!
บ่ายแก่มากแล้ว ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
'เหลืออีกวัด หมวดทีป ปลงบ่ายสามโมง ตำรวจคงปวดหัวพิลึก !’
................................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”