เรื่องสั้น : เรื่องมันยาว เล่าให้สั้น : จำลอง ฝั่งชลจิตร

 

เรื่องสั้น : เรื่องมันยาว เล่าให้สั้น : จำลอง ฝั่งชลจิตร

 

          ก้าน สมมติชื่อง่าย ๆ เขาจะได้เป็นตัวละครสมจริง  อายุย่างสามสิบ รูปร่างสูงใหญ่ แขนขาใหญ่สมตัว ผิวดำแดง  ตั้งชื่อสมมติเราสามารถเล่าเรื่องจริงบ้าง เกินเลยไปบ้างโดยไม่รู้สึกผิด ขืนเล่าเรื่องจริงทั้งหมดก็ไม่แตกต่างจากอ่านข่าวคนหายในหนังสือพิมพ์หัวสี ยิ่งเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ใครเขาจะสนใจ ยุคนี้ต้องต่อเติมเสริมแต่ง ละเลงไข่ใส่สีทุกเช้าเย็น  เอาอย่างข่าวเด็กหญิงบ้านกกกอกหายออกจากบ้าน  เด็กเสียชีวิตเกือบปีตำรวจยังจับคนฆาตกรไม่ได้  ยอดคนเสพข่าวยังไม่ลด  

          สมมติเขาขึ้นมาแล้ว  เราจะให้เล่นบทอะไรถึงจะเหมาะสมกับรูปร่าง สติปัญญาและอุปนิสัยใจคอ

          เล่าแต่พอสังเขป ว่าทุกเย็นหลังเลิกงานกลับบ้านเช่า นั่งพักพอหายเหนื่อยก่อนอาบน้ำชำระเหงื่อไคล ซึ่งไหลมากกว่าพ่อบ้านย่านหลังวัดทุกคน  ก้านต้องอาบสิบห้านาทีเนื้อตัวถึงสะอาด กินข้าวพร้อมเมียและลูก ๆ  นั่งสูบบุหรี่หมดมวน  ดีดก้นแดงวาบลงคูน้ำเหม็นเน่าหน้าบ้าน ขี่มอเตอร์ไซค์ด่างแดงคันเก่าไปโรงสนุกเกอร์ จะใช้สนุกเกอร์คลับก็เกรงคนรักษาไทยจะติเอาได้

          เมียชื่อจุไร อายุยี่สิบแปด สูงเทียมหัวไหล่ผัว  ผิวขาว เป็นคนหน้าตาดี ขยันงานบ้าน ชื่อจุไรก็สมมติขึ้นมาอีก ชื่อจริง จุรี จิราหรือยาจิตอย่าเสียเวลาคิด อย่าคิดให้เสียเวลา เลือกเอาสักวลี

          ผัวออกไปเล่นสนุกฯ พนันกับเพื่อน ๆ ระดับเดียวกัน เธอไม่เคยห้ามปราม เขาอุตส่าห์อดหลับอดนอนไปจับไม้คิวเดินรอบโต๊ะสี่เหลี่ยมคืนละสามสี่กิโล พอได้ค่ากับข้าวสองร้อยสามร้อย คืนไหนเกมจบเร็ว สามทุ่มเขาถึงบ้าน ถ้าจบช้าสักนิดสี่ทุ่มไม่เคยเกิน เพื่อนระดับเดียวกันก็จริง ฝีมือกลับต่างกันคนละระดับ 

          สมัยหนุ่มห้าวก้านเคยมีไม้คิวส่วนตัว ตอนอยู่กินกันใหม่ ๆ  กลางดึกคืนหนึ่งเขาละเมอจับไม้คิวผิวมันวาวลาดตระเวนรอบเตียง  เธอเอามือแตะข้างตัวผัวไม่อยู่ ยื่นมือเปิดไฟเห็นผัวจรดไม้บนง่ามนิ้วมือ  หัวไม้กำลังจ่อตรงดั้งจมูก เธอตกใจหวีดร้อง ตาโต นั่งตัวสั่นงก ๆ  คิดจะทิ่มตาให้บอดกันหรืออย่างไร เขาลืมตาออกจากฝันละเมอ สองมือจับไม้คู่ชีพกระแทกหัวเข่าทีเดียวหักสะบั้น ทั้งโกรธทั้งอับอาย  นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาเลือกใช้ไม้ตามมีตามเกิดในโรงสนุกเกอร์

          ทุกคืนพอเข้าประตูปิดบ้าน ก้านล้วงกระเป๋ากางเกงขาสั้น ได้ค่าเกมสามร้อยยื่นให้เมียร้อยห้าสิบ บางวันสองร้อย  รุ่งเช้าจุไรขี่ไอ้แดงไปตลาดซื้อเนื้อหมูผักปลามาต้มแกงผัด แบ่งลูกหญิงสอง หนึ่งชายคนสุดท้องเพิ่งเข้าประถมหนึ่งไปกินมื้อเที่ยง

          ก้านเป็นคนขึ้นลงของประจำบริษัทขนส่งเอกชน  แบกทั้งกล่องทั้งลัง อยู่โยงบนรถเวียนไปส่งถึงบ้านหรือร้านค้า เพื่อนบ้านเห็นเขามีแรงเต็มลำแขน เปรย ๆ ให้ได้ยินว่าอยากเลื่อนตู้เย็น ย้ายตู้เสื้อผ้า   “เรื่องสมองผมไม่ถนัด” เขาพูด  “ถ้ายกตู้หามเตียงเท่าไรเท่ากัน  วันไหนพี่ ๆ อยากให้ผมช่วยไม่ต้องเกรงใจ”

          กินข้าวอิ่มขี่มอเตอร์ไซค์ไปโรงสนุกเกอร์โทรม ๆ ใต้โรงแรมสองดาว นักเล่นเป็นสามล้อ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนใช้แรงแบกหาม ทุกคืนภายในห้องชั้นสอง มีเสียงเอะอะ โห่ฮิ้วเฮฮา ลูกขาวแดงชมพูดำกระแทกโป๊กเป๊กสลับเสียงขากถุยดังต่อเนื่อง ควันบุหรี่คละคลุ้ง   แพ้ชนะก้านกลับมาเห็นหน้าลูกเมียทุกคืน 

          เขากลับมานอนบ้านพันหรือสองพันคืนนับเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่กลับเพียงคืนเดียว อนาคตของผู้เกี่ยวข้องทุกคนกระเด้งกระดอนเหมือนก้อนขี้ยางตกพื้นปูน

          ตัวเลขบางตัวน่าแปลก  ปกติพันครั้ง  ผิดปกติครั้งเดียว  ครั้งเดียวกลับส่งกระทบมากกว่า

 

  

          กลาง ๆ ปี 2542 ผมอยากได้โต๊ะเก้าอี้ชุดใหม่ ติดต่อร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราซื้อขายกันเรียบร้อย จึงเอ่ยปากขอแรงก้าน เขายิ้มและตอบตกลงโดยไม่อิดออด กลับถึงบ้านเขายกโต๊ะเก้าอี้ราวยกหมอน  จะให้อะไรตอบแทนก็ไม่เอาสักอย่าง

          บ้านอยู่ห่างกันสามร้อยเมตร เราอาจพบกันบ้างตรงร้านสะเต๊ะ หรือตอนผมเดินจากหมู่บ้านผ่านบ้านเขาไป

          กว่าผมจะทราบว่าก้านไม่กลับบ้านเกือบสองปี  มานึกถึงเขาอีกครั้งก็ตอนโต๊ะไม้ยางพาราพังใช้การไม่ได้  ก้านหายตัวไปครบยี่สิบสองปี  ผมพบจุไรหน้ารถข้าวเหนียวไก่ครั้งหนึ่ง เธอถามว่าพี่สบายดีไหม  ผมตอบว่าสบาย ไม่กล้าถามความคืบหน้าเรื่องสะเทือนใจ

          สามสี่วันหลังทิ้งเศษโต๊ะเก้าอี้ไม้ยาง  ผมเกิดอยากรู้ความเป็นไปของก้านขึ้นมา  บ่ายสองโมงหลังร้านขนมจีนเก็บโต๊ะเก้าอี้  ผมเดินเล่น ๆ ออกไปนั่งโต๊ะหินอ่อนหน้าร้าน ค่อย ๆ เลียบ ๆ เคียง ๆ ข่าวล่าสุดของก้าน

          แม่ค้าสะเต๊ะรถเข็น  รู้จักกันมาตั้งแต่เธอเรียนชั้นประถม “แกสูญไปอยู่กับครูอนุบาลโรงเรียนเอกชน  นุ้ยว่าคงไปเห็น ไปชอบกันที่ไหนสักแห่ง  ตอนไปใหม่ ๆ น้าจุไรนั่งร้องไห้เสียใจอยู่บ้าง  ลูกสามคนยังเล็ก ๆ  บ้านเช่าเดือนเก้าร้อย แกรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าหาเงินเลี้ยงลูก”

           “มันไม่ยอมไปแจ้งตำรวจ  ไม่แจ้งว่าผัวหาย  ทำไมหรือ...ตอนมามันยังไม่รู้ว่าผัวมาจากไหน” แม่ค้ากล้วยแขก อายุหกสิบเล่าต่อ

           “ช่วงลูก ๆ เรียนน้าจุไรทำงานหนัก กลางวันซักกลางคืนรีด ลูก ๆ นิสัยดีนะ ตอนนี้ไอ้หญิงลูกคนโตบรรจุเป็นครูมาหลายปี  น้องสาวได้งานเป็นหลักแหล่ง ไอ้เขียวลูกชายขยันงาน  บ้านยายตลับลูก ๆ รับราชการทำกรุงเทพฯ มีบ้านอยู่ที่อื่น ๆ ลูกสาวคนโตตายหลังเกษียณราชการไม่กี่ปี ไอ้หญิงกู้เงินสหกรณ์ซื้อให้แม่อยู่ มันก็อยู่ แต่งงานมีลูกสาวน่าเอ็นดู อายุเพิ่งสามขวบ”

          คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างอายุหกสิบสอง บ้านอยู่ชานเมือง  “ตอนแรก ๆ จุไรได้ผัวสักคนไม่ใช่หรือ...”

          แม่ค้ากล้วยแขกกับแม่ค้าสะเต๊ะมองหน้ากัน  แม่ค้าสะเต๊ะรู้เรื่องนี้ดี ตอนนั้นสองคนอยู่บ้านใกล้กัน

           “ได้แหละ...สักคน...พอได้ผัวใหม่จุไรอยู่กินสบายขึ้น  ไม่รู้ว่าผัวทำงานอะไร มันซื้อสร้อยทอง สร้อยมือให้เมีย คนนินทาว่าผัวขายยาบ้า จุไรมันแอบขายเอาเงินให้ลูกสาวเรียนหนังสือ แล้วหาของปลอมมาใช้แทน  ตอนหลังผัวมันรู้เลยไปเสียอีกคน คราวนี้มันดีใจ” แม่ค้ากล้วยแขกค่อย ๆ เล่า

           “น้าก้านสูญไปสามปี แกแอบมาหาน้าจุไร มาหาลูก ๆ  ยอมรับหมดว่าได้เมียใหม่   เช่าบ้านอยู่เหมือนกัน พ่อแม่ฝ่ายหญิงเขาไม่ชอบ ไม่ให้เข้าบ้าน แกเลิกตีสนุกฯ แกยังแบกหามขึ้นลงของ  แต่ไปทำกับอีกบริษัทอยู่นอกเมือง” แม่ค้าสะเต๊ะวัยห้าสิบเล่า

           “ตอนนั้นมันไป ๆ มา ๆ มาแลเมีย แลลูก  ตัวยังใหญ่ แขนขายังใหญ่เหมือนเดิม  เคยเห็นตอนหนุ่มอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็อย่างนั้น  ได้ข่าวว่าเป็นเบาหวาน”

           “อาทิตย์ที่แล้วฉันเพิ่งพบแกที่โรงพยาบาลเทศบาล  แกเห็นฉันแกดีใจเรียกเสียงดัง ถามว่าฉันมาทำไม ฉันว่าหมอนัดตรวจความดัน แกหัวเราะ แกว่าหมอนัดมารักษาเบาหวานเหมือนกัน” แม่ค้าสะเต๊ะว่า

           “เช้ามืดวันจันทร์มันกับเมียใหม่ขี่มอเตอร์ไซค์มาบ้านจุไร  เมียเป็นคนนิสัยดี อยู่กันยี่สิบปีไม่มีลูกเต้า สองคนมารับลูกสาวไอ้หญิงไปเลี้ยง เย็นวันศุกร์ถึงเอามาส่ง” แม่ค้ากล้วยแขกเล่า

           “ไหนใครบอกว่าเดี๋ยวนี้ก้านกับเมียไปสร้างบ้านใหม่แล้ว” มอเตอร์ไซค์รับจ้างรับส่งผู้โดยสารไปย่านนั้นบ่อย ๆ คงได้ยินข่าวมาบ้าง

          แม่ค้ากล้วยแขกพูด  “พ่อตาแม่ยายรักลูกสาว รักนิสัยขยันงานของไอ้ก้าน เลยแบ่งสวนมังคุดให้ตั้งสามสี่ไร่ได้สร้างบ้านของตัวเอง  มีเวลารับหลานไปเลี้ยงดู”

           “น้าจุไรก็พลอยมีความสุขไปด้วย  ลูก ๆ มีงานทำทุกคน แยกบ้านแยกเรือนเป็นของตัวเอง  ฉันไม่เห็นแกรังเกียจเมียใหม่น้าก้าน พูดจาหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรค้างคาใจ”

           “ชีวิตคนเราช่างต่าง ๆ นานา ที่ทำท่าจะล้มกลับลุกขึ้นมาได้...ได้ดีเสียด้วย” มอเตอร์ไซค์รับจ้างสบตาผมชั่ววินาที

          ห้าวันก่อน ขณะขี่รถไปส่งผมออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ  เขาบ่นว่าลูกชายเกิดกับเมียเก่าพาเมียยังไม่รู้ประสีประสามาขออาศัย  เขาเกรงใจเมีย ยิ่งหล่อนไม่พูดอะไรยิ่งเกรง  

          ลูกชายเคยทำงานก่อสร้าง  เดินสายไฟก็ทำได้ ตอนนี้คบเพื่อนเก่า ๆ เอาแต่เล่นยาบ้าการงานไม่ทำ  “ช่วงโควิดบางวันขี่รถได้ไม่ถึงร้อย  เมื่อวานไม่ได้สักบาท  ผมไปโรงพยาบาลมหาราชเต็มวัน...หมอนัดไปตรวจความดัน รับยากลับมากินสองปีกว่าแล้ว...ปวดหัวกับพวกนี้... เรื่องลูกชายทุกอย่างลงบนผมทั้งเพ  วัน ๆ เอาแต่นอน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน”

 

           (15 มิถุนายน 2564)

 

..................................................................................

 

 จำลอง ฝั่งชลจิตร

ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2561

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                   “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                   บทกวี : นั่นแหละ : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

 

                   บทกวี : อ่านฟ้า : ชมัยภร แสงกระจ่าง

 

                   เรื่องสั้น : วันตะวันดับบนดาวมรสุม : วีรพร นิติประภา

 

                   บทกวี : ภ า พ พ บ : สถาพร ศรีสัจจัง

 

                   บทกวี : โควิดหนึ่งเก้า : อัคนี หฤทัย

 

                   เรื่องสั้นเม่นแคระน้ำจืด : กล้า สมุทวณิช

  

                   บทกวี กลับตาลปัตรศุ บุญเลี้ยง

 

                   บทกวี : กางจอ กลางแจ้ง : โชคชัย บัณฑิต'

 

                  บทกวี : 1 + 1 = 1 : มนตรี ศรียงค์

 

                 บทกวี : ที่นี่เมืองไทย : นิภา บางยี่ขัน

 

//.....................