เรื่องสั้น : จินตภาพ : อนุสรณ์ วิวัธนชัย

เรื่องสั้น : จินตภาพ : อนุสรณ์ วิวัธนชัย 

        วินเป็นชายกลางคน  เขามาอยู่อเมริกาได้เกือบสามสิบปีแล้ว  ตอนมาถึงครั้งแรกวินอาศัยอยู่กับเพื่อนที่ลอสแอนเจลิส  ต่อมาหลังจากแต่งงาน  วินจึงย้ายมาอยู่แซนดิเอโก้  วินเคยมาเที่ยวและชอบแซนดิเอโก้เพราะแซนดิเอโก้เป็นเมืองที่สงบ  ไม่ใหญ่โตเหมือนลอสแอนเจลิส

        แซนดิเอโก้เป็นเมืองใหญ่อันดับที่แปดของอเมริกา  และถือได้ว่าเป็นเมืองที่สวยงาม  และมีอากาศดีที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ  แต่อากาศของแซนดิเอโก้จะแตกต่างกันมาก (แซนดิเอโกเป็นชื่อ ของซิทตี้และเคาตี้) ระหว่างส่วนที่อยู่ใกล้ทะเลกับส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินที่ภูมิประเทศเป็นแบบกึ่งทะเลทราย  และส่วนที่เป็นภูเขาที่มีหิมะตกในช่วงหน้าหนาว  ส่วนที่วินอาศัยอยู่คือส่วนที่อยู่ใกล้ทะเล  หน้าร้อนอากาศจะอยู่ระหว่างยี่สิบห้าถึงสามสิบเซลเซียส  หน้าหนาวอากาศจะอยู่ระหว่างสิบห้าถึงยี่สิบสองเซลเซียส  มีลมพัดเข้ามาจากอ่าวทําให้เย็นสบาย  ท้องฟ้าสีครามสดใส ตลอดปี  แถมความชื้นต่ำทําให้ไม่เหนียวตัว และที่สําคัญไม่มียุง !

        วินมีอาชีพขับรถรับจ้าง  หรือที่เรียกว่าขับรถแท้กซี่  วินจึงมีโอกาสเห็นแซนดิเอโก้แทบจะทุกซอกทุกมุม  ย่านที่วินทํามาหากินอยู่เป็นประจํา  คือบริเวณดาวน์ทาวน์  ซึ่งกระจายอยู่บนที่ราบรอบอ่าว  แถบริมอ่าวนี้มีชื่อว่า “เอมบาคาเดโร่” ซึ่งเป็นภาษาสแปนิช  แปลว่าที่จอดเรือ

        คนขับแท็กซี่จะทํางานเป็นสองกะ  กะละสิบสองชั่วโมง  กะที่นิยมกันมากที่สุดคือ  กะแรกเริ่ม ตีสี่ เลิกสี่โมงเย็น  กะที่สองทําตั้งแต่สี่โมงเย็นไปจนถึงตีสี่

        วินกับพาร์ตเน่อร์ตกลงเปลี่ยนกะกันตอนแปดโมงเช้า  พาร์ตเน่อร์ทําช่วงแปดโมงเช้าถึงสองทุ่ม  วินจะเริ่มประมาณสามถึงสี่ทุ่ม  วินรับคนที่ไปทานอาหารกลับบ้าน  หรือรับคนจากบ้านไปเที่ยวบาร์  และรับกลับมาส่งบ้านหลังบาร์เลิกตอนตีสอง  พอตีสี่ก็เริ่มรับคนไปสนามบิน ฯลฯ

        แหล่งเที่ยวตอนกลางคืนของแซนดิเอโก้  มีอยู่สี่ห้าแห่ง  แหล่งที่ใหญ่ที่สุดคือ  แก๊สแล้มป์ควอเต้อร์อยู่ในดาวน์ทาวน์  เป็นแหล่งบันเทิงของคนทุกเพศทุกวัย  แหล่งที่สอง ที่สาม และที่สี่คือ  โอเชี่ยนบีช  มิชชั่นบีช  และแปซิฟิคบีช  เป็นแหล่งบันเทิงของคนหนุ่มคนสาวที่มีอายุระหว่างยี่สิบเอ็ด ถึงยี่สิบห้าปี  ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา  แหล่งสุดท้ายคือ ฮิลเครซ เป็นแหล่งบันเทิงของบรรดาเกย์ และเลสเบี้ยน

        วินมีลูกค้าประจําอยู่หลายคน  บางคนวินจะขับไปส่งที่ทํางานอาทิตย์ละห้าวัน  จันทร์ถึงศุกร์ บางคนวินจะรับส่งเวลาเขาไปเที่ยวบาร์ตอนกลางคืน  ลูกค้าประจําคนหนึ่งของวินชื่อ สตีฟ วิน จะขับไปส่งเขาที่ทํางานเดือนละสองถึงสามครั้ง  สตีฟทํางานห่างจากบ้านของเขาซึ่งอยู่ในดาวน์ทาวน์ขึ้นไปทางเหนือประมาณยี่สิบนาที  อยู่ในเขตเมือง ลาโฮญ่า ซึ่งเป็นเขตที่คนมีฐานะดีอาศัยอยู่  บ้านเรือนแถว ลาโฮญ่า สวยงามมาก มีบริษัทผลิตยาชื่อดังของโลก  และสถาบันวิจัยทางการแพทย์อยู่หลายสิบบริษัท  สตีฟทํางานเป็นหัวหน้า รปภ. อยู่ที่บริษัทผลิตยา  เขาเข้างานหกโมงเช้า วินจะมารับเขาประมาณตีห้าครึ่ง บนหัวมุมถนนสายที่แปด  สตีฟใช้บริการของวินมาเกือบสองปีแล้ว ทั้งสองจะคุยกันเรื่องร้อยแปด  วินค่อนข้างจะสนิทกับสตีฟมากกว่าผู้โดยสารรายอื่น ๆ เพราะระยะทางที่ไปส่งสตีฟใช้เวลาขับนานกว่าของผู้โดยสารประจําคนอื่น  ซึ่งถัวเฉลี่ยเพียงสิบถึงสิบสองนาที

        สตีฟเป็นคนอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน รูปร่างใหญ่ ลงพุง สูงประมาณหกฟุต เวลาได้ยินเรื่องถูกใจเขาจะหัวเราะเสียงดัง  จากภาพภายนอก ดูเขาเป็นคนอารมณ์ดี  สตีฟอายุห้าสิบเจ็ดปีแต่เขาดูแก่กว่าอายุจริงมาก  ผมบางขาวไปทั้งหัว หนังใต้ตาทั้งสองข้างบวมเป็นกระเปาะ  เขามีปัญหาเกี่ยวกับขาและเท้า  ข้อเท้าและขาข้างขวาของเขาจะบวมเป็นประจํา  เขาจะต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่เขาจะขึ้นรถของวินได้  เพราะเขางอขาขวาไม่ได้เต็มที่ทําให้เขาเดินเหินและขับรถ ลําบาก  จากคําบอกเล่าของเขา  นี่คือเหตุผลที่เขาต้องมาพึ่งพาบริการของวิน

        ตอนช่วงตีห้าครึ่ง หัวมุมถนนที่เขายืนรอวินยังค่อนข้างมืด  โดยเฉพาะขณะนี้ซึ่งเป็นหน้าหนาวเพราะมีต้นไม้ใหญ่บังแสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างถนน  ทําให้หัวมุมถนนนั้นอยู่ในเงามืด  จะมีสว่างบ้าง ก็จากแสงไฟที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา  ที่หัวมุมมีป้ายบอกให้รถหยุดเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ  เวลาที่มีลมพัดใบไม้จะไหว  ทําให้ดูเหมือนเงาตะคุ่ม ๆ นั้นเคลื่อนไหวไปมา  สตีฟจะยืนพิงป้ายรอผมอยู่ที่นี่  ผู้คนที่ออกมาวิ่งออกกําลังตอนเช้าหรือพาหมามาเดิน  จะหลีกเลี่ยงการเดินผ่านจุดนั้น เพราะเงาตะคุ่ม ๆ ดูน่ากลัว  วินเคยบอกเขาและแนะนําให้เขารออยู่หน้าบ้านที่เขาอยู่  เขากลับหัวเราะชอบใจ และให้เหตุผลว่า ถนนหน้าบ้านของเขาเป็นทางตัน ถ้าวินเข้าไปก็จะต้องเลี้ยวรถกลับเสียเวลาเปล่า ๆ

        จากคําบอกเล่าของสตีฟ  เขามีลูกสาวหนึ่งคนเรียนแผนกพยาบาลอยู่ที่แซนดิเอโก้สเตทฯ  ลูกชายวินก็เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้  ทั้งสองก็เลยคุยกันเกี่ยวกับลูก ๆ เสมอ  เราพูดถึงอันตรายของเด็กสมัยนี้ที่โตขึ้นมาท่ามกลางการระบาดของ ยาเสพติด เหล้ายา และงานปาร์ตี้ต่าง ๆ ของพวก นักศึกษา ฯลฯ

        สตีฟจะพูดตลอดเวลาว่า เขาคอยสอดส่องดูแลพูดคุยกับลูกเสมอในเรื่องเหล่านี้  เพราะลูกเขาเป็นผู้หญิง  ดูท่าทางเขาภูมิใจลูกสาวของเขามากที่เธอเข้าใจและเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี  เขาชมลูกสาวเสมอว่าเป็นเด็กดีและฉลาด

        ช่วงระยะหลังสตีฟใช้บริการของวินถี่ขึ้น  เขาบอกวินว่าลูกสาวของเขาซึ่งตอนนี้เรียนจบแล้ว และทํางานเป็นพยาบาลอยู่ในเมืองที่อยู่ทางเหนือขึ้นไป เอารถเขาไปใช้เพราะรถที่เธอใช้อยู่เกิดอุบัติเหตุพังเสียหาย  เธอยังไม่มีเงินพอที่จะซื้อรถใหม่  เขาจึงให้เธอยืมรถไปใช้ก่อน  เพราะที่ทํางานของเธออยู่ไกลกว่า และกะที่เธอทําเป็นช่วงดึก

        คืนวันพฤหัสวันหนึ่งสตีฟโทรมาขอให้วินไปรับเขาตอนตีห้าครึ่งของวันรุ่งขึ้น  แต่พอตอนรุ่งเช้าก่อนเวลานัด  เขาโทรมายกเลิก  โดยบอกว่าเขาไม่ค่อยสบายจะไม่ไปทํางาน  ขอให้วินมารับเขาวันจันทร์ตอนเจ็ดโมงเช้าแทน

        “อ้าว...ทําไมไปสายนักล่ะ” วินไม่แน่ใจว่าจะไปส่งเขาได้ เพราะวินจะต้องเอารถมาส่งให้พาร์ตเน่อร์ตอนแปดโมงเช้า  ช่วงระหว่างหกโมงครึ่ง ถึงแปดโมงครึ่ง ไฮเวย์ทุกสายที่วิ่งขึ้นเหนือจะแน่นคลั่กไปด้วยรถ  โดยเฉพาะไฮเวย์สายแปดศูนย์ห้าที่วินใช้ขับไปส่งเขา  รถจะติดกันมากที่สุด

        “ผมไม่ได้ไปที่ทํางาน  แต่อยากให้คุณช่วยไปส่งที่โรงพยาบาล  ตอนนี้ขาผมบวมมากเดินแทบไม่ได้”

        เช้าวันจันทร์  วินไปรอเขาที่หัวมุมถนนสายที่แปด แต่ไม่เห็นสตีฟ ตามปกติเขาจะมาก่อนเวลา และเป็นคนรอวินเสมอ  วินรอจนเจ็ดโมงห้านาทีจึงโทรไปหาเขา

        “ฮาย สตีฟ  ผมอยู่ข้างล่าง  จะให้ช่วยอะไรหรือเปล่า”

        “เออดี...” เสียงสตีฟอ่อนระโหย “ขึ้นมาช่วยหน่อยก็ดี  ผมเดินไม่ไหวจริง ๆ”

        ที่หน้าอพาร์ตเม้นต์  มีกระดิ่งไฟฟ้าอยู่หลายอัน  แต่ไม่มีป้ายบอกว่าอันไหนเป็นของใครยกเว้นของผู้จัดการ  วินจึงกดกระดิ่งอันนั้น  ผู้จัดการซึ่งอยู่ในห้องทางด้านหน้าสุดของอพาร์ตเม้นต์ออกมาเปิดให้  เขาใส่เสื้อคลุมทับชุดนอนเป็นผ้าซาตินสีชมพูสดมันละเลื่อม  มีลวดลายปักดิ้นสีทองสวยงามอยู่บนอกซ้าย  เขายิ้มและแนะนําตัวว่าเขาชื่อรอนเป็นผู้จัดการที่นี่  จากกริยาท่าทางและการแต่งกาย  วินพอจะเดาได้ว่ารอนเป็นชายที่มีรสนิยมทางด้านใด  ขณะวินกําลังพูดกับรอน สตีฟคงได้ยินจึงส่งเสียงเรียกให้วินขึ้นไปข้างบน

        บนชั้นที่สอง  สตีฟนั่งรอวินอยู่  เขาไม่ได้ใส่รองเท้า  วินมองเท้าของเขาแล้วตกใจ  มันดูเหมือนเท้าของตุ๊กตายางที่สูบลมเข้าไปเกินขนาด  เท้าและนิ้วเท้าบวมเป่งจนดูเหมือนว่ามันกําลังจะระเบิดออกมา  เขาใช้มือซ้ายจับราวบันได  มือขวาโอบไหล่วิน  ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนตัววินจะได้ยินเขาทําเสียงฟืดฟาด  เหมือนหายใจไม่ทัน  เนื้อตัวของเขาขาวซีดจนน่ากลัว  เราใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะลงถึงชั้นล่าง  เพราะสตีฟจะยืนพักทุกครั้ง  ก่อนที่จะก้าวลงสู่กระไดขั้นต่อไป

        ที่ชั้นล่าง เขาขอนั่งพักบนโซฟาในล้อบบี้  รอนเข้ามาถามสตีฟว่า เขาจะเอาน้ำดื่มหรือจะให้เรียกรถพยาบาลหรือไม่

        “ไม่เอา” สตีฟตอบแบบไม่มีหางเสียง แถมยังโบกมือไล่อีกด้วย ทําเอาวินประหลาดใจกับกริยาของเขา เพราะไม่เคยเห็นเขาทํากริยาเช่นนี้มาก่อน แต่วินก็พอเข้าใจ คนแบบสตีฟคงไม่ค่อยสบอารมณ์กับผู้ชายแบบรอน  รอนค้อนสตีฟสองวง ก่อนจะถอยออกไปยืนดูอยู่ห่าง ๆ

        สตีฟหลับตา หายใจขัด ๆ วินยืนมองเขาสักพัก จึงใช้มือแตะไหล่เขาเบา ๆ พลางพูดขึ้นว่า

        “สตีฟ...ผมคิดว่าเราควรจะเรียกรถพยาบาล”

        สตีฟลืมตาขึ้นมองวิน “พูดเป็นเล่นน่า...” เขาพูดพลางพยายามหัวเราะอ้าปากกว้าง

เพื่อปลอบใจตัวเอง

        จากจุดที่วินยืนอยู่ทําให้เขามองเข้าไปเห็นในปากของสตีฟ ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้มของเขา

ซีดจนเป็นสีเทา ดูเหมือนกับปากของคนที่ตายไปแล้ว

        “ไม่เล่นหรอกสตีฟ...” วินพูดพลางส่ายหน้า

        “ถ้างั้นก็โอเค” สตีฟพูดจบ ค่อย ๆ หลับตาต่อ  วินมองไปที่รอนแล้วกํามือยกขึ้นแนบแก้มเหมือนกําลังโทรศัพท์ พลางพยักหน้าให้เขาโทรเรียกรถพยาบาล 

        วินมองสภาพของสตีฟแล้วต้องถอนใจ  เขาคงอ่อนเพลียจนไม่มีแรงที่จะลืมตา  วินไม่อยากจะเชื่อว่าลูกสาวของเขาซึ่งเป็นพยาบาล จะปล่อยปละละเลยพ่อถึงขนาดนี้  วินนึกด่าอยู่ในใจก่อนจะถามสตีฟว่า

        “แล้วโทรไปบอกลูกสาวหรือยัง”

        “โทรไปแล้ว...โทรไปก่อนที่คุณจะมาอีก” สตีฟหยุดเพื่อหายใจพลางถามวินอย่างเกรงใจว่า

        “...ถ้ายังไงช่วยอยู่เป็นเพื่อน จนกว่ารถพยาบาลจะมาถึงได้มั้ย”

        เขาลืมตามองหน้าวิน  วินสัมผัสได้ถึงความกลัวที่ผ่านออกมาทางสีหน้าและแววตาของสตีฟ วินหวลคิดไปถึงแววตาของลูกชายที่มองมาที่วินในวันแรกที่วินพาเขาไปส่งที่โรงเรียน จนวินก้าวขาออกจากโรงเรียนแทบจะไม่ไหว

        “ไม่มีปัญหา” วินพูดพลางบีบหัวไหล่เขาเบา ๆ ให้เขาอุ่นใจ  รถพยาบาลกับรถกู้ภัยของหน่วยดับเพลิงมาถึงภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที  บุรุษพยาบาลสี่คนแยกกันทํางานอย่างรวดเร็ว  คนแรก จดชื่อ อายุ อาการ ฯลฯ ขณะที่อีกสามคนช่วยกันใส่ท่อออกซิเจนช่วยหายใจ จับชีพจร ฟังหัวใจ วัดความดัน และยกสตีฟออกไปบนเก้าอี้ที่ดูเหมือนบัลลังก์ฮ่องเต้ที่มีคนหามข้างหน้าและข้างหลัง พวกเขาทําทุกอย่างด้วยความรวดเร็วน่าชมเชย  วินเดินไปส่งสตีฟถึงรถพยาบาล  และสัญญาว่าจะโทรไปหาเขาในวันรุ่งขึ้น

        ตอนสายวันรุ่งขึ้นขณะที่วินยังหลับอยู่  ทางโรงพยาบาลได้โทรมาหา พยาบาลได้เบอร์วิน จากมือถือของสตีฟ และอยากทราบว่า วินเกี่ยวดองเป็นญาติกับสตีฟหรือไม่

        “เป็นเพียงคนรู้จักกันเท่านั้นครับ” วินชักงงว่าทําไมพยาบาลจึงโทรมาหาเขา

        “แล้วคุณรู้จักญาติพี่น้องสตีฟบ้างหรือเปล่าคะ” คุณพยาบาลถามต่อไป ซึ่งทําให้วินยิ่งงงหนัก

        “...ทําไมคุณไม่ถามลูกสาวของสตีฟล่ะครับ  เธอควรจะไปเยี่ยมพ่อเมื่อวานนี้...แล้วสตีฟเป็นอย่างไรบ้างครับ”

        “ไม่มีใครมาเยี่ยมเลยค่ะ  ส่วนอาการของสตีฟ เราบอกอะไรไม่ได้เพราะคุณไม่ได้เป็นญาติกับเขา...ขอโทษด้วยค่ะ”

        วินนิ่งคิดสักพัก จึงนึกได้ว่าสตีฟบอกว่า ได้โทรไปหาลูกสาวก่อนที่วินจะไปถึง ฉะนั้นเบอร์ของเธอ ควรจะอยู่ในโทรศัพท์ของสตีฟ  วินจึงบอกให้พยาบาลเช็คดู

        “ไม่มีค่ะ ดิฉันเช็คดูแล้ว”

        “..??..”

        หลังจากนอนครึ่งหลับครึ่งตื่น  เพราะรู้สึกสังหรณ์ใจเรื่องสตีฟ  เย็นวันนั้นวินจึงแวะไปคุยกับ รอนผู้จัดการอพาร์ตเม้นต์ของสตีฟ  และเรื่องราวของสตีฟที่วินได้ยินจากปากของรอนเล่นเอาวินงง อ้าปากค้าง

        “สตีฟจากไปแล้วเมื่อบ่ายวันนี้” รอนพูดเสียงเรียบ ๆ

        “โอ๊ะ...” วินนึกอยู่เหมือนกัน  แต่ก็ยังไม่วายตกใจ

        “แล้วลูกสาวมีโอกาสได้พบกับสตีฟก่อนที่เขาจะสิ้นลมหรือเปล่าครับ”

        “ทางโรงพยาบาลค้นทางอินเตอร์เน็ต  พบน้องสาวของสตีฟอยู่ในชิคาโก้  จากคําบอกเล่าของน้องสาว สตีฟไม่เคยแต่งงานมีครอบครัว  และสตีฟไม่ได้ติดต่อกับทางญาติพี่น้องในชิคาโก้มาเกือบสิบปีแล้ว...”

        “เป็นไปได้ยังไงครับ...สตีฟบอกกับผมเองว่า ลูกสาวอยู่กับเขาที่นี่” วินพูดออกมาอย่างงง ๆ

        “ตลอดเวลาสิบปีที่สตีฟอยู่ที่นี่  เขาอยู่โดยลําพังคนเดียว  ผมไม่เคยเห็นแขกเหรื่อหรือใครมา เยี่ยมเยียนเขาเลย” รอนมองหน้าวินนิ่งก่อนพูดต่อ

        “สตีฟเป็นคนอารมณ์ร้าย โดยเฉพาะเวลาที่ เขาเมา และเขาจะเมาตลอดเวลา !” รอนพูดพลางส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเอือมระอา

        วินอ้าปากค้าง จากที่วินเคยเห็น สตีฟโกนหนวดโกนเครา ใส่เสื้อผ้าสะอาด ชุดที่เขาใส่ ประจําคือ เสื้อโปโลกับกางเกงสีกากี วินไม่เคยได้กลิ่นเหล้าจากลมหายใจของเขาแม้แต่เพียงครั้งเดียว วิน ทอดสายตาออกไปที่ถนนแล้วนึกได้

        “สตีฟเพิ่งบอกผมว่า ลูกสาวเขาขับรถประสบอุบัติเหตุ  รถพังเสียหาย  เขาต้องเอารถบิวอิคของเขาไปให้ลูกสาวใช้”  วินนึกถึงช่วงระยะเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่เขาใช้บริการของวินแทบทุกวัน

        “เท่าที่ผมรู้  สตีฟขึ้นรถเมล์ไปทํางานทุกวัน  เขาไม่เคยมีรถ...ไม่ว่ารถอะไรทั้งสิ้น” รอน ตอบอย่างมั่นใจ

       

        คืนนั้นวินจอดรถนั่งรอผู้โดยสารอยู่หน้าโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งในดาวน์ทาวน์  เขาใช้ฝ่ามือ เคาะเบา ๆ บนขอบหน้าต่างตามจังหวะเพลงคริสต์มาสที่ดังอยู่ในรถ  ตาก็คอยชําเลืองมองไปทางซ้ายมือซึ่งเป็นทางเข้าออกของโรงแรม  บางครั้งก็ชําเลืองไปทางขวามือบนจอวิทยุรับส่งซึ่งมี หมายเลขบอกตําแหน่งคิวที่จะไปรับผู้โดยสาร  ถ้าตําแหน่งคิวของเขาเลื่อนขึ้นมาอยู่หมายเลขหนึ่ง หมายความว่าเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม  เพราะถ้ามีผู้โดยสารโทรเข้ามาที่ศูนย์เพื่อขอรับบริการ ทางศูนย์จะส่งข้อความมายังเขาทันที  เขาต้องตอบรับภายในสิบวินาที ไม่เช่นนั้น ทางศูนย์จะส่งข้อความไปให้คนขับรถที่มีคิวรองถัดจากเขาไปทันที  ส่วนตัวเขาจะตกไปอยู่ตําแหน่งท้ายสุด  ต้อง เริ่มต้นใหม่อีก  อาศัยที่วินเป็นคนมีอัธยาศัยดี  เขาพูดคุยกับผู้โดยสารเสมอจึงทําให้เขามีผู้โดยสารประจําพอสมควร  ไม่ต้องหวังพึ่งการเรียกจากทางศูนย์แต่เพียงอย่างเดียว

        เนื้อที่ของโรงแรมแห่งนี้คลุมยาวตลอดทั้งบล็อก  ด้านหน้าของโรงแรมเป็นกระจกใสสูงขึ้นจด เพดาน  มองเข้าไปเห็นตัวล็อบบี้กว้างขวาง  มีชุดรับแขกวางเป็นระเบียบสวยงาม  ที่มุมทั้งสองของล็อบบี้ด้านหน้าใกล้กับกระจก มีต้นคริสต์มาสสูงใหญ่ที่ถูกประดับประดาอย่างสวยงามตั้งอยู่  ที่โคนต้นมีกล่องของขวัญห่อด้วยกระดาษหลากสีวางซ้อนกัน  บนกิ่งสนถูกฉีดด้วยสเปย์สีขาวที่มองดูคล้ายมีเกร็ดหิมะเกาะอยู่  บนยอดต้นสนมีดาวดวงใหญ่ประดับด้วยไฟกระพริบแพรวพราวสวยงาม

        ชายไร้บ้านแต่งตัวมอมแมมเข็นรถช้อบปิ้งของซุปเปอร์มาร์เก็ตผ่านมา ในรถบรรจุสมบัติส่วนตัวของเขาซึ่งสกปรกจนวินมองไม่ออกว่าเป็นอะไรบ้าง  เขาหยุดมองต้นคริสต์มาสทางหัวมุมถนนด้านทิศใต้  เขามองไล่ขึ้นไปอย่างช้า ๆ จากโคนต้นขึ้นไปจนถึงยอด แล้วมองกลับลงมาถึงโคนต้นอีก เขาทําแบบนี้อยู่สองถึงสามครั้งพลางขยับผ้าห่มขาดรุ่งริ่งที่คลุมตัวเขาอยู่ไปมา เขาเข็นรถอย่างช้า ๆ แล้วไปหยุดมองต้นคริสต์มาสตรงหัวมุมถนนด้านทิศเหนือในกริยาเดียวกัน

        วินมองชายผู้นั้นด้วยความรู้สึกที่หดหู่  เขาคงวาดภาพตัวเอง แวดล้อมไปด้วยลูกเมีย ที่กําลัง วุ่นวายกับการเปิดของขวัญในเช้าของวันคริสมาสที่อบอุ่น

        วินกวาดสายตาไปรอบ ๆ มองผู้คนที่เดินผ่านไปมาพลางนึกในใจว่า ในกลุ่มคนเหล่านี้จะมีคนอีกกี่สิบกี่ร้อยคน ที่เป็นแบบสตีฟ  วินนึกแล้วสงสารคนเหล่านี้อย่างจับใจ  พวกเขาไม่มีครอบครัว ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีเพื่อน พวกเขามีเหลืออยู่อย่างเดียวคือ “จินตนาการ !

       

        สังคมอเมริกันที่คนต่างชาติมองอย่างผิวเผินแล้วคิดว่าเป็นสังคมที่ “เฟรนด์ลี่” และ “อบอุ่น” คนอเมริกันอาจจะคุยกับคนแปลกหน้าได้อย่างสนิทสนม  แต่พวกเขาจะหยุดอยู่แค่วาจา พวกเขาจะไม่ปันใจให้ใคร หรือไว้ใจใคร  คนอเมริกันเป็นนักแสดงโดยกําเนิด ถัวเฉลี่ยคนอเมริกันหนึ่งคนจะมีบทแสดงอย่างน้อยที่สุดสามบท คือบทที่ทํางาน บทที่บ้าน และบทเมื่อออกสังคม  เพื่อนหรือความเป็นเพื่อนแบบที่คนไทยรู้จัก มีอยู่เพียงในหนังฮอลลีวู้ด  เหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ ที่สร้างให้ดูสนุก ๆ

       

        สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่เปล่าเปลี่ยว  ตัวใครตัวมันโดยเฉพาะในกลุ่มคนผิวขาว พวกเขาถูกสอนให้แข่งขันกันระหว่าง พี่น้อง ผัวเมีย ญาติมิตร แทนที่จะสอนให้รักใคร่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  ที่พูดมานี้ไม่ได้หมายความว่า สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่ไม่ดี การแข่งขันกันทําให้ชาติเจริญก้าวหน้า รู้จักช่วยตัวเอง  เพราะพวกเขารู้ว่า ไม่มีใครจะช่วยพวกเขา นอกจากตัวเขาเอง  เปรียบเทียบกับสังคมที่เกื้อหนุนกันแบบคนไทย ทําให้คนไม่มีความกระตือรือร้น ไม่รู้จักช่วยตัวเอง คนในสังคมก็เห็นแก่พวกพ้อง ถือเพื่อน ถือญาติพี่น้องแทนที่จะสนับสนุนคนดีมีความสามารถ  ถ้าคะแนนเต็มคือสิบ  ไม่มีสังคมใดจะได้คะแนนเต็มสิบเลย !

        ช่วงก่อนตาย สตีฟคงควบคุมตัวเองไม่ได้ กินเหล้าเมาทุกวัน จึงตื่นไม่ทันรถเมล์ซึ่งออกจากดาวน์ทาวน์ตอนตีห้า  เช้าวันจันทร์ที่วินเจอกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย  เขาบอกวินว่าเขาไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าวันศุกร์

       

        วินเชื่อคําพระที่ว่า “...การตาย คือการก้าวพ้นไปจากทุกข์” เพราะคืนหนึ่ง หลังสตีฟจากไปได้ไม่นานวินขับรถผ่านไปทางถนนสายที่แปด  ตรงป้ายบอกให้รถหยุดที่หัวมุมถนน  จากหางตาวินเห็นภาพลาง ๆ เหมือนคนโบกมือไหว ๆ ให้วินอย่างมีความสุขใต้แสงไฟรุบหรู่ลอดผ่านใบไม้ที่ไหวไปมาตามแรงลม.

 

.................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

  

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

           วรรณกรรมออนไลน์