เรื่องสั้น : ซากนักสำรวจ : พงศภัค พวงจันทร์

เรื่องสั้น : ซากนักสำรวจ : พงศภัค พวงจันทร์

 

        เทือกเขาหิมาลัย เจ็ดกิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล

        เราใกล้ถึงจุดหมาย ยอดเขาอยู่ห่างไปไม่มาก ทว่าภาพที่เห็นกลับเลือนรางท่ามกลางพายุหิมะเชี่ยวกราก เชือกเส้นใหญ่ผูกรั้งเราทั้งห้า ป้องกันการสูญหายหรืออุบัติเหตุไม่คาดฝัน ผมจับมันไว้แน่น ผิดกับแขนทั้งสองข้างที่สั่นสะท้าน มวลอากาศเยือกแข็งไหลทะลักสู่ปอด บังเกิดความรู้สึกแสบวาบก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นด้านชา... ผมทรุดลงกับพื้น ลื่นไถลไปตามทางลาด แรงกระชากส่งผ่านเชือกเจ้ากรรมจนคนทั้งกลุ่มเซถลา เคราะห์ดีที่พวกเขาใช้เครื่องมือยึดหินเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที

        พื้นด้านล่างแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ผมลืมตา พบว่าร่างของตนค้างเติ่งอยู่ริมขอบเหว ไม่ตกลงไปเพราะเชือกและน้ำหนักของคนอื่น ๆ ถ่วงเอาไว้ เชือกเส้นนั้นคือเครื่องช่วยชีวิต ทว่าในอีกมุมหนึ่ง มันก็เปรียบเสมือนมือมรณะที่อาจกระชากคนทั้งกลุ่มให้ตกผา ความตายเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด เพราะนั่นเท่ากับว่าจุดหมายอันแน่วแน่จะสาบสูญ พลันประหวัดถึงเด็กหนุ่มผู้จบชีวิตลงด้วยความฝันที่ถูกทำลาย... ผมไม่มีวันลืมคำพูดของอีกฝ่าย มันดังก้องอยู่ในหัวตั้งแต่วินาทีแรกที่ลมหายใจของลูกชายสิ้นสุด

 

                                        . . . . . .

 

        รถบรรทุกพุ่งมาดุจปีศาจ แสงไฟหน้ารถดุจดวงตาแดงฉาน แตรลมกัมปนาทดุจเสียงของผีร้ายที่กำลังเย้ยหยัน ออตโต้ นั่งอยู่ที่เบาะหน้า เด็กหนุ่มคนนั้นไม่รังเกียจชื่อเล่นแบบเด็ก ๆ ไม่รังเกียจความเพ้อฝัน อันที่จริง สิ่งเดียวที่เขาเกลียดคือการเติบโต ออตโต้จับเครื่องมือสำรวจตั้งแต่อายุห้าขวบ แม้จะเป็นของเล่น ทว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝัน จุดหมายสูงสุดหาใช่ใบปริญญา หากแต่เป็นการได้เหยียบย่างสถานที่ที่ยังไม่เคยถูกค้นพบ

        ...ทว่าผมกลับฉีกกระชากความฝันของเด็กคนนั้นอย่างไม่เหลือชิ้นดี

        ม.หนึ่ง ความฝันของออตโต้คือการล่องแม่น้ำไนล์ ม.สองคือการไปเยือนป่าแอมะซอน ม.สาม คือการขึ้นไปปักธงบนยอดเขาเอเวอเรสต์ ม.สี่... ผมยัดเยียดใบปริญญาและชุดนักศึกษาแทนที่ความสำเร็จในจินตนาการ

        ห้วงสำนึกถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกระแทก ยานพาหนะพลิกตะแคง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเหล็กแหลมที่พุ่งทะลุเก้าอี้ข้างคนขับ ดวงตาของออตโต้เหลือกลาน เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นขณะสบตากับผม “ผมผิดหวัง...” แม้จะเจ็บปวดเหลือคณา แต่เด็กชายก็เลือกประโยคนี้เป็นคำสั่งเสีย

        หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ผมหยิบสมุดบันทึกของลูกชายมาอ่าน หน้ากระดาษเต็มไปด้วยตัวอักษร หาใช่เรื่องราวทั่วไป หากแต่เป็นการระบายความรู้สึกทุกข์ระทมอันมีพ่อแท้ ๆ เป็นต้นเหตุ ผมตัดสินใจขายบ้านและกิจการ มุ่งสานต่อความฝันของออตโต้ อุทิศเวลานับสิบปีไปกับการเรียนรู้และฝึกฝน...ทุกผืนป่าที่เหยียบย่ำ ทุกถ้ำลึกและมหาสมุทร ผมวางรูปถ่ายของลูกชายเอาไว้ ไม่ต่างจากนักผจญภัยที่ปักธงบนยอดเขา รอยยิ้มไร้เดียงสานั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ส่องสว่างอยู่ในดินแดนรกร้าง...

 

                                        . . . . . .

 

        ความคิดหวนคืนสู่ปัจจุบัน ผมลืมตา พบว่าตนเองนอนอยู่ในเต้นท์ เคียงข้างเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่ง

        “ไปไหน ?” อีกฝ่ายเอ่ยห้วน ทว่าผมไม่ตอบ ในหัวปรากฏเพียงใบหน้าของลูกชาย มือเอื้อมเปิดประตูเต้นท์ ลมหนาวระลอกใหญ่พัดเข้ามา สัมผัสของมันคล้ายกับร่างไร้วิญญาณ... ผิวของออตโต้เย็นเฉียบ ก่อนจะร้อนระอุยามเคลื่อนสู่เตาเผา ผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นแทบไม่ได้ ภาพทั้งหมดผ่านไปเร็ว หรืออาจเพราะจิตใจที่พยายามปฏิเสธ

        “ภูริต เอ็งรู้ตัวมั้ย เอ็งมันคือตัวถ่วงดี ๆ นี่เอง” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ผมชะงัก มันคล้ายน้ำเสียงของผมยามเอ่ยถึงความฝันของออตโต้ ครั้นหันไปหาผู้พูด กลับสัมผัสได้ถึงความผิดแปลกบางอย่าง... ใบหน้าของอีกฝ่ายช่างคุ้นเคย ราวกับรู้จักกันมาเมื่อหลายสิบปีก่อน ทั้งที่ผมเพิ่งเข้าร่วมทีมในฐานะสมาชิกใหม่ได้ไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ

        “เอ็งเกือบทำพวกเราตายหกครั้ง ทำเครื่องมือและอุปกรณ์สำคัญพังไปอีกสี่ ตั้งแต่ข้าปีนเขามา ยังไม่เคยเห็นใครเป็นตัวถ่วงเท่านี้มาก่อน ถ้าทำไม่ไหวก็กลับไป ลูกชายเอ็งไม่ภูมิใจหรอกที่มีพ่อเป็นตัวถ่วงของกลุ่มแบบนี้”

        เสียงเย็นดังขึ้นอีกหนึ่งคำรบ ผมผุดลุกขึ้น อีกฝ่ายก็เช่นกัน หมัดแรกพุ่งมาปะทะ... ทั้งของมันและของผม เราแลกหมัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถลาออกจากเต็นท์ คลุกหิมะและกระแทกกับก้อนหิน เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ วิ่งเข้ามาห้าม แต่ก็ไม่อาจขัดขวางกำปั้นของผมที่กระหน่ำทุบลงบนใบหน้าของมันได้

        “ตัวถ่วง” อีกฝ่ายพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ความฝันของเอ็งมันก็แค่เรื่องไร้สาระ ปักธงและรูปเด็กปัญญาอ่อนนั่นลงบนยอดเขา ลองหันไปมองรอบ ๆ คนอื่นมาที่นี่เพื่ออะไร ชื่อเสียง ความโด่งดัง ความสำเร็จ... ทั้งของตัวเองและของประเทศ เอ็งมันไม่มีใครจดจำ เป็นแค่เศษเดนไร้ค่า หลงระเริงกับความสำเร็จที่ไม่มีใครรู้เห็น”

        คำพูดนั้นทำเอาผมหยุดชะงัก หาใช่สำนึก หากแต่เป็นสังเวช ตรรกะวิบัติอะไรกัน ? คำจำกัดความของความฝันคือความปรารถนาสูงสุดในชีวิต ขอเพียงเดินตามจุดหมายอย่างลุล่วง เท่านี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ

        ระหว่างที่กำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้น อีกฝ่ายก็ฉวยโอกาส กระทุ้งเข่าที่หน้าท้องของผม ก่อนจะถีบอย่างแรงที่อก ส่งร่างของผมให้ลื่นไถลไปยังปากเหว ครั้งนี้ไม่มีใครเข้ามาช่วย ทุกคนพร้อมใจละทิ้งเจ้าของความฝันไร้ค่า มือทั้งสองข้างพยายามไขว่คว้า ผิวหน้าของผมครูดกับพื้นหิน ทว่าความหนาวกลับทำให้ประสาทสัมผัสด้านชา ดวงตาเปิดปรือมองเห็นออตโต้ ลูกยืนอยู่เคียงข้างอดีตเพื่อนร่วมทีม ห่างออกไป... ห่างออกไปเรื่อย ๆ ...ร่วงหล่น

        ในความมืด... คงเป็นเพียงภาพนิมิต ผมเห็นออตโต้ตอนเด็ก กำลังถือตุ๊กตานักสำรวจวิ่งเล่นอยู่ในสวน ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ ถ่ายวิดีโอความไร้เดียงสาของลูกชาย ในหัวปรากฏความคิดว่าอีกฝ่ายต้องได้ทำตามความฝัน เป็นจังหวะเดียวกับที่รถของบ้านตรงข้ามแล่นมาจอด เด็กชายในชุดนักเรียนเดินลงมาพร้อมถ้วยรางวัลใบใหญ่ หญิงชราผู้เป็นคนขับลดกระจกลง ก่อนจะตะโกนลั่นราวกับต้องการให้คนทั่วซอยได้ยิน

        “ดูสิคะ คุณภูริต ไม่เสียแรงจริง ๆ ที่สนับสนุนความฝันของแก นี่เพิ่งกลับจากงานแข่งตอบปัญหาระดับประเทศ ได้รางวัลชนะเลิศด้วย ว่าแต่น้องออตโต้อยากเป็นนักสำรวจจริงเหรอ ขอให้ได้บินไปดาวเนปจูนเร็ว ๆ นะคะ” พูดจบพร้อมยิ้มมุมปาก... รอยยิ้มยุแหย่เสแสร้ง ! ตั้งแต่อนุบาล หลานชายของหล่อนก็มีความฝัน หมายมั่นจะเข้าโรงเรียนวิทย์-คณิตชื่อดัง หันกลับมามองออตโต้ ทุกคนรู้ดีว่านักสำรวจไม่ถูกบรรจุอยู่ในสาขาวิชาของสถาบันไหน การศึกษาคือคำตอบของทุกสิ่ง และการชอบวิชาที่ไม่มีในหลักสูตรแสดงถึงความไร้อารยะ

        ไม่เพียงเท่านั้น งานวันครบรอบบริษัท เจ้านายยืดอกอย่างภาคภูมิ พาลูกวัยสิบขวบเจ้าของแว่นตาหนาเตอะมาด้วย อีกฝ่ายชิงออกตัวว่าเด็กชายสายตาสั้นถึงแปดร้อยเพราะรักการอ่าน ไม่ใช่นิยายหรือการ์ตูน หากแต่เป็นฮาวทูพัฒนาความคิด ฝ่ายนั้นลงทุนเอาหนังสือตัวอย่างมาโชว์ ภาพนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกและเจ้าของบริษัทผู้ประสบความสำเร็จประดับประดาอยู่บนหน้าปก ปิดท้ายด้วยการเดินมาหาผม อมยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของออตโต้ ดวงตาแฝงประกายคาดหวัง พร้อมบอกว่าเด็กดีอย่างนี้ต้องมีไอดอลเป็นนักธุรกิจระดับโลก ลูกชายของเขารีบยกมือ ประกาศว่าของตัวเองคือสตีฟ จ็อบส์ ครั้นหันมามองออตโต้ เด็กชายหัวเราะ คำตอบสั้น ๆ เพียงห้าพยางค์เปรียบดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงบนตัวผม

        “อินเดียนน่า โจนส์ฮะ”

        นับแต่นั้น ผมไม่สามารถสบตาเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเอ่ยถามทุกครั้งที่พบหน้าว่าออตโต้ไปขุดสมบัติและได้ทองก้อนใหญ่กลับมาหรือยัง

        ...ไม่ได้มีแค่นั้น ที่โรงเรียน ครูศิลปะให้วาดรูปอาชีพในอนาคต ภาพวาดเหล่านั้นติดเรียงอยู่บนบอร์ดหน้าสถานศึกษา หมอ พยาบาล ครู นักธุรกิจ แอร์โฮสเตสส์ ทนายความ นักวิทยาศาสตร์... นักสำรวจเหมืองทองคำ

        “ตายจริง เด็กม.ต้นคนนี้แยกไม่ออกเหรอคะว่าอันไหนคือความฝัน อันไหนคือความไร้สาระ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น ราวกับจงใจให้ผมได้ยิน แม้จะไม่ค่อยข้องแวะกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ แต่ภาพของออตโต้ก็ทำให้ทุกคนรู้จัก เดินไปไหนมีแต่คนทัก เรียนจบลูกจะเป็นอะไร นักสำรวจเหรอ แล้วมหา’ลัยล่ะ ? ธรณีวิทยา ผจญภัยวิทยา หรือจินตนาการวิทยากันแน่

        แม้จะฝืนทำตัวเป็นปกติ ทว่าในใจกลับวิ่ง...วิ่งทั้งน้ำตา ขาทั้งสองก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อถึงบ้าน เด็กชายวัยสิบสี่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ต่อประกอบโมเดลนักสำรวจ ผมตรงเข้าไปกระชากแล้วหักมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปากของลูกชายอ้าค้าง ก่อนจะหุบลงเมื่อผมฉีกโปสเตอร์ตัวละครขวัญใจบนผนังห้องทิ้ง แทนที่ด้วยหนังสือติวสอบมหาวิทยาลัยเอกบริหารธุรกิจที่ลงทุนซื้อตามคำแนะนำของเจ้าของร้าน เด็กรุ่นใหม่ต้องอ่านแนวนี้ นี่แหละคณะที่ลูกคุณต้องเข้า ใช่... เจ้าของร้านหนังสือเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองปราดเดียวก็รู้ว่าลูกชายผมซึ่งไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าต้องการมีอนาคตแบบไหน แต่ในเมื่อทุกคนควรมีอนาคตเดียวกัน ทำอาชีพเดียวกัน เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน ออตโต้ก็ต้องทำแบบนั้น ผมต้องการลูกชายปกติ หาใช่เด็กสติเฟื่องแบบที่เคยถูกคนในสังคมปรามาส...

 

                                        . . . . . .

 

        ความหนาวเหน็บเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับคืน ผมนอนอยู่กลางหิมะ รายล้อมด้วยความว่างเปล่า ครั้นเงยหน้า ก็พบว่าขอบผาอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ผมคงตกกระแทกชะง่อนหิน หาใช่ก้นเหวที่อยู่ลึกลงไปนับร้อยเท่า เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ จากไปแล้ว ทิ้งผม...มนุษย์ผู้เปลี่ยนตัวเองเป็นหุ่นยนต์ ให้สิ้นใจตายอย่างช้า ๆ

        ไม่...ผมจะไม่ทำให้ลูกผิดหวัง ไม่มีเครื่องมือ ไม่มีเสบียงอาหาร ยอดเขาอยู่ห่างไปเพียงเล็กน้อย มากสุดก็แค่หนึ่งถึงสองกิโลเมตร

        มือเปล่าตะกุยน้ำแข็ง ความมุ่งมั่นบั่นทอนความเจ็บปวด น่าแปลก ผมรู้สึกเหมือนร่างของตนกำลังลอย แรงโน้มถ่วงหาได้มีอิทธิพลเหมือนครั้งก่อน ทุกย่างก้าวเคลื่อนไปอย่างไม่มีอุปสรรค ผมกระโดดขึ้นไปบนขอบเหว ตามด้วยหน้าผาสูงชัน ปีนป่ายอย่างชำนาญ สลับกับวิ่งด้วยความเร็วผิดมนุษย์ ทันใด เท้าข้างหนึ่งสะดุดหิน ใบหน้าอัดกระแทกพื้นเต็มรัก หิมะและน้ำแข็งส่งผ่านความเย็นไปถึงสมอง โสตประสาทหนาวสะท้าน ฟันกระทบกันถี่ยิบด้วยความหนาวจับขั้วหัวใจ พลันหางตาเหลือบเห็นบางสิ่ง... โมเดลหักครึ่งซึ่งถูกกระชากจากมือของลูกชายในวันนั้น ใบหน้าพลาสติกปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ คล้ายกับรอยยิ้มของออตโต้

        ผมไม่รอช้า คว้ามันพร้อมลุกขึ้น กระโดดผ่านก้อนหินและซอกเขา... พุ่งทะยานดุจรถบรรทุกมรณะ อาทิตย์ทรงกลดดุจดวงตาแดงฉาน พายุกัมปนาทดุจเสียงของผีร้ายที่กำลังเย้ยหยัน มือของผมยื่นตรง สายไปแล้ว ยอดเขาอยู่ไกลเกินไป ร่างของผมกำลังจะตก มือลื่นหลุดจากการเกาะกุม สายลมเชี่ยวกรากอัดกระแทกจนหมุนคว้าง...

        วินาทีนั้น ธงและรูปของออตโต้ถูกปักลงบนยอดเขาได้สำเร็จ

        ผมทรุดนั่ง หอบหายใจถี่ บรรยากาศหนาวเหน็บอันตรธาน ความเจ็บปวดหายลับราวกับถูกพลังปริศนาฉุดกระชาก ผมล้มตัวนอนแผ่หลากลางหิมะ มองธงและรูปของออตโต้ซึ่งโบกสะบัดตามลมที่พัดเอื่อย ดวงตาของเด็กชายจ้องกลับมา บรรยากาศคล้ายกับตอนที่เรานอนเคียงข้างกันบนพื้นหญ้าของสวนสาธารณะอันอบอุ่น

        อบอุ่น... อบอุ่นดุจเตาผิง

        มวลอากาศหมุนวาบ ผมนอนอยู่บนพื้นไม้ ข้างเตาผิงและโซฟาซึ่งมีร่างของชายในชุดสูทยืนอยู่ ผมหวีตรงดูระเบียบจัด ใบหน้าแม้จะมีหนวดเคราประปราย แต่ก็ยังปรากฏดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์

        ออตโต้ในวัยหนุ่มนั่งอยู่ตรงหน้า จิบของเหลวสีอำพันในแก้วเจียระไน ผมมองภาพนั้นด้วยความฉงน เมื่อครู่ยังอยู่บนยอดเขา ทว่าตอนนี้กลับอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านยุโรปหรูหรา ออตโต้จิบของเหลวอีกครั้ง ก่อนเงยหน้ามองบางอย่างซึ่งตั้งอยู่บนหิ้งติดผนัง... โกศใส่อัฐิของใครบางคน

        “พ่อครับ ผมทำสำเร็จแล้ว ธุรกิจของเราเติบโตเหมือนที่พ่อหวัง สินค้าของผมสามารถตีตลาดต่างประเทศ ขยายใหญ่จนแตกสาขาย่อยหลายพันแห่ง พ่อภูมิใจในตัวผมมั้ยฮะ พ่อเคยบอกเสมอว่าพ่อต้องภูมิใจถ้าผมเดินตามเส้นทางที่พ่อวางไว้ ผมทำสำเร็จ...ความฝันของผมเป็นจริงแล้ว”

        ความฝัน ?... ความฝันของออตโต้คือนักสำรวจ ผมเลี้ยงดูเขามาแต่เล็ก ย่อมรู้ว่าความปรารถนาสูงสุดของเขาคืออะไร

        ทว่าวินาทีนั้น ความมืดเข้ามาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว จิตใจของผมกับชายตรงหน้าคล้ายหลอมรวมเป็นหนึ่ง... รถบรรทุกพุ่งมาดุจปีศาจ แสงไฟหน้ารถดุจดวงตาแดงฉาน แตรลมกัมปนาทดุจเสียงของผีร้ายที่กำลังเย้ยหยัน พาหนะที่เรานั่งอยู่พลิกตะแคง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเหล็กแหลมที่พุ่งทะลุเก้าอี้ข้างคนขับ... พุ่งจากด้านข้าง เฉียดร่างของออตโต้ ก่อนจะปักทะลุหน้าอกของผม ดวงตาทั้งสองเหลือกลาน เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นขณะจับจ้องไปยังใบหน้าของลูกชาย “พ่อผิดหวัง...” แม้จะเจ็บปวดเหลือคณา แต่ก็ยังเลือกประโยคนี้เป็นคำสั่งเสีย พ่อผู้โง่เขลาจบชีวิตโดยไม่รู้ว่าคำพูดของตนจะส่งผลกระทบเพียงใด

        หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ออตโต้หยิบสมุดบันทึกของผมขึ้นมาอ่าน หน้ากระดาษเต็มไปด้วยตัวอักษร หาใช่เรื่องราวทั่วไป หากแต่เป็นการระบายความรู้สึกผิดหวังในตัวลูก ไม่กี่วันหลังจากนั้น เด็กหนุ่มขายโมเดลและอุปกรณ์นักสำรวจทั้งหมด มุ่งสานความฝันของบิดา เร่งอ่านหนังสือและวางแผนอนาคต ทุกสถาบันที่สอบผ่าน โล่รางวัลและประกาศนียบัตรทุกใบ ออตโต้จะวางรูปของผมเคียงข้าง ไม่ต่างจากนักผจญภัยที่ปักธงเมื่อพิชิตยอดเขาได้สำเร็จ

        ความฝันที่แท้จริงของออตโต้ไม่ใช่นักสำรวจ หากแต่เป็นการทำให้ผม... ชายผู้เลี้ยงดูเขามาตลอดชีวิตภาคภูมิใจ เมื่อก่อน ผมเคยเห็นดีกับอาชีพเพ้อฝัน ทว่าภายหลัง กลับถูกความวิบัติของค่านิยมครอบงำ เด็กชายพร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเอง ยินยอมเป็นเครื่องจักรเพื่อแลกมาซึ่งรอยยิ้มและความอบอุ่นที่ผู้เป็นพ่อจะมอบให้

        ผมสบตากับชายหนุ่มตรงหน้า ทันใด ภาพของเพื่อนร่วมเดินทางที่ผลักผมตกหน้าผาก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ใบหน้าของอีกฝ่ายช่างคุ้นตาราวกับรู้จักกันมานาน ใช่... มันคือภาพของชายคนหนึ่งในหนังสือนักสำรวจของออตโต้ นักผจญภัยที่มุ่งพิชิตยอดเขา หากแต่เสียชีวิตระหว่างทาง ดวงจิตของเขาคงวนเวียน เช่นเดียวกับดวงจิตของผมและคนอื่น ๆ ...ผมคือไม่กี่คนที่ทำสำเร็จ อาจเพราะเข้าใจแก่นแท้ของความฝัน หาใช่วนเวียนอยู่กับชื่อเสียง เกียรติยศ และเงินทอง

        บ่วงที่ถูกมัดคลี่คลาย ดวงจิตหวนคืนสู่ปัจจุบัน ผมสานต่อความฝันของลูก ในขณะที่ออตโต้สานต่อความฝันของผม น้ำอุ่นพลันไหลริน อาบใบหน้าและดวงตาอย่างไม่อาจหยุดยั้ง แค่คำพูดเพียงหนึ่งประโยค กลับฝังลึกลงในจิตใจของเด็กชายไปตลอดกาล คำพูดที่ถูกปล่อยออกมาเพียงชั่ววูบ แต่กลับบิดเบือนเส้นทางของเขาไปชั่วชีวิต

        ออตโต้ยิ้ม หาใช่ความสุขในหน้าที่การงาน หากแต่เป็นความสุขยามมองรูปของบิดา ผมกอดเขา แม้ไม่อาจส่งผ่านความรู้สึก หากแต่เป็นการอำลาครั้งสุดท้าย ดวงจิตค่อย ๆ ดับสลาย มุ่งสู่สถานที่ซึ่งควรไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ลมหายใจสิ้นสุด ไม่มีนักสำรวจ ไม่มีความฝัน ไม่มีจินตนาการ ไม่มีเด็กน้อยที่ใฝ่ฝันอยากพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์

        ชั่ววินาทีนั้น ห้วงสำนึกประหวัดถึงสถานที่อันหนาวเหน็บ รูปของออตโต้ยังประดับอยู่บนยอดเขา อนุสรณ์แห่งความฝันถูกทิ้งร้าง เป็นภารกิจที่ไร้จิตวิญญาณ บนยอดเขาไม่ได้มีรูปแห่งความหวัง หากแต่เป็นซากของนักสำรวจ...

        ผู้ถูกทำร้ายจนไม่เหลือความกระหายที่จะผจญภัยอีกต่อไป

................................................................    

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง 

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

          วรรณกรรมออนไลน์