เรื่องสั้น : นับได้สิบปี : นฤพนธ์ สุดสวาท

เรื่องสั้น : นับได้สิบปี : นฤพนธ์ สุดสวาท 

        หลังเก็บเมล็ดพันธุ์ตอนไปเยี่ยมญาติเมืองจีน จากวันนั้นนับได้สิบปี

        ด้านหลังทาวน์เฮาส์ไม่เล็กเกินไป อาม่าขุดหลุมแล้วหยอดเมล็ดพันธุ์ พอพ้นปีที่สองต้นก็สูงเท่าขอบประตูครัว แกเฝ้ารดน้ำทุกวัน เก็บขี้หมาหน้าบ้านมาถมโคนต้นเป็นปุ๋ย ถึงปีที่สามก็ออกดอกจึงได้พบสิ่งที่ญาติบอกกล่าว การกระจายเผ่าพันธุ์ ดอกเป็นสีขาว กลีบบานห้าแฉก บางดอกมีเดือยสีน้ำตาลอ่อน หลังจากนั้นหนึ่งเดือนตัวดอกก็โรยรา เดือยที่ว่านั้นเริ่มเป็นลำตัว ส่วนหัว แขนและขาก็สมบูรณ์ภายในเดือนถัดมา ผลจากต้นไม้นี้ยาวหนึ่งฟุต

        แกมีความสุขกับการบำรุงดูแลในทุกเช้า เปิดฟังอุปรากรจีน ท่วงทำนองที่อาม่าฟังแล้วเร้าใจสนุกคนเดียว ข้างบ้านไม่มีใครบันเทิงด้วยในบทร้อง

        ใครก็ว่ากันว่านี่คือคือเริ่มต้นปรากฏการณ์ มีความเป็นไปได้และน่าจะจริง

        ไม่เกินสามเดือนหลังจากนั้น มีคนเห็นเด็กหนุ่มเดินในบ้านแกสี่คน

        อาม่างุนงงในเบื้องต้น แม้รับคำบอกกล่าวก่อนแล้วตั้งแต่อยู่เมืองจีน ดินแดนบรรพบุรุษ ณ ที่ซึ่งพงศ์เผ่ากระจัดกระจายตามหมู่บ้านในหลายหุบเขา ขณะนั้นแกไม่แน่ใจนักว่าตลอดสิบวันที่พบเจอผู้คนโดยเฉพาะเพศชาย ใครกันออกจากมดลูก ใครกันแปลงร่างจากดอกไม้ ลูกชายคนโตของพี่สาวที่เป็นผู้นำหมู่บ้านไม่อาจชี้ชัดได้ว่าใครเป็นใคร พวกเขาแพร่พันธุ์เร็วเกินไป เพราะเพียงหลังจากที่รูปร่างมันคล้ายคนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขายาวแตะพื้น พวกเขาก็เดินจากต้นไม้เข้าตัวบ้าน ไม่มีเสื้อผ้าใส่ อวัยวะเพศแกว่งไปมาน่าอดสู อาม่าเรียกร้องให้ลูกหลานส่งเงินมาเพิ่มขึ้น ซื้อข้าวปลาอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว เด็กหนุ่มสี่คนวัยประมาณสิบแปดปีสูงเท่าๆกัน ใบหน้าเหมือนกัน ขาว ผอมเก้งก้าง ดวงตาชั้นเดียว เส้นผมเกรียนติดหนังหัว คนหนึ่งพิการทางขา เคลื่อนที่ด้วยการกระถดตัว เวทนานัก อาม่าปรึกษาคนที่เหลือ พวกเขาลงมือฆ่าคนพิการ หั่นเป็นท่อนสับแยกย่อยอีกเช่นเดียวกับหมูสับผ่านเครื่องบด ก่อนเอาไปกองโคนต้นที่ผลิตพวกเขาเพื่อเป็นปุ๋ยต่อไป

        บ้านอวลด้วยควันบุหรี่ เสียงเซ็งแซ่การเล่นไพ่ เด็กหนุ่มสูบบุหรี่กันตลอดเวลา พวกเขาสั่งห้ามเปิดฟังอุปรากรจีน หนวกหูรำคาญ หญิงชราเริ่มมองเห็นความเศร้า นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวแกกับโลก วงจรชีวิตที่เงียบงันโลก แทบหยุดหมุนเมื่อไม่ได้เปิดฟัง

        ต่อมาอีกสามเดือนพวกเขาก็จากไป โตเป็นหนุ่มเต็มตัว ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาหายไปไหนคงวนเวียนในเมือง พอพวกเขาจากไปแกไม่คุ้นเคยการอยู่คนเดียว เริ่มเปิดวิทยุฟังการแสดงอีกครั้ง แต่ไม่นานนักหรอก ฤดูการเติบโตพืชพันธุ์หลังบ้านวนมาถึง ดอกสีขาวห้าแฉกคลี่บานอีกครั้งใช้ระยะเวลาเท่าเดิม สลัดกลีบโรยราเป็นตัวตน เวลาเท่าเดิมเพื่อเติบโตพาตัวเองเดินทิ้งต้นไม้เข้าเป็นสมาชิกในบ้าน

        เพศชายเจ็ดคน เจ็ดคนมากเกินข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวเดิมที่มี แกขอเงินจากหลานทุกคนที่มีเบอร์ในโทรศัพท์

        ไม่ใช่แค่บุหรี่ ไพ่ คราวนี้บ้านเต็มไปด้วยกินเหล้า พวกเขาดื่มกันตั้งแต่เช้าหลังชากาแฟแก้วแรก จั่วไพ่สูบยาควันโขมง เมื่ออาม่าบ่นพวกเขาก็ตะโกนด่าทอและไล่หญิงชราไปเดินเล่น จนเย็นย่ำถึงเข้าบ้านปรุงอาหารให้พวกเขากิน มูมมามเสียงดังจนอาม่าเอือมระอา

        “อั๊วอยากได้ผู้หญิงบ้างทำไมไม่มี อีจะได้ช่วยงานบ้านได้” หญิงชราเชื่อแบบนั้น ผู้หญิงจะไม่มาเล่นไพ่ ดื่ม หรือมัวแต่สูบบุหรี่ทั้งวัน

        ใครสักคนพูดว่าเผ่าพันธุ์ของเรามีผู้หญิงคนเดียวพอแล้วเพื่อผลิตทายาท พวกเขาก้มหน้าก้มตาเล่นไพ่ต่อไป ช่วงนั้นข้างบ้านไม่ได้ยินเสียงอุปรากรจีน

 

        วันหนึ่งมีใครสักคนยืนอยู่หน้าบ้าน ผลผลิตชุดแรกนั่นเอง อาม่าจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร อีกทั้งไม่เคยตั้งชื่อ เรียกแต่อาตี๋น้อยทุกคน เขาพาผู้หญิงมาด้วย เมื่อเดินเข้าบ้านก็พบเธอตั้งครรภ์ หญิงชราดีใจน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล โผเข้ากอดเธอพลางหูแนบกับหน้าท้อง ปีนี้อายุแปดสิบสองแล้ว พยายามนึกใบหน้าและชื่อเหลนคนสุดท้อง แกจำไม่ได้ว่าสองหรือสามขวบ หญิงหรือชาย

        “อีท้อง” ตะโกนบอกทุกคนในบ้าน

        พ่อเด็กพูดว่า จะเอาเมียทิ้งไว้อยู่ด้วยฝากให้ดูแล แกยินดี

        ชั้นล่างตลบด้วยควันบุหรี่และกลิ่นเหล้า เสียงโหวกเหวกไม่เหมาะเลยสำหรับเธอ ฝ้ายจะใช้ชีวิตข้างบนบ้านทั้งวัน เมื่อถึงเวลาทำความสะอาดบ้านอาม่าไม่ให้เธอทำอะไร ตอนเข้าครัวเพื่อเลี้ยงเด็กอาม่าเอ็ดว่าคนท้องควรอยู่เฉยๆ ฝ้ายสับสนมึนงง วัฒนธรรมจีนสะใภ้ไม่ต่างจากคนใช้นี่หน่า แต่อาม่ายืนยันว่าไม่ได้ เด็กในท้องคือเชื้อสายแก

        ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เสียงกลองและฉาบรัวอยู่ภายในตัวอาม่า

        ไม่นานเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดก็จากไป จังหวะเดียวกับที่ฝ้ายเสียลูกไปขณะคลอด

        ระหว่างนี้มีความคิดหนึ่งแวบมา อาม่าคิดจะตัดต้นไม้หลังบ้านทิ้ง ฝ้ายเล่าเรื่องเจ็ดคนที่ไปอยู่ข้างนอกพวกเขาเริ่มมีชีวิตในเมือง คนหนึ่งเปิดร้านทัวร์รับแต่คนจีน อีกสองไปค้าขาย อีกคนน่าจะเข้าไปเกี่ยวโยงกับอสังหาริมทรัพย์ ที่เหลือเป็นยังไงเธอไม่ได้ข่าว ไม่มีชาวบ้านพูดถึง มีคนบ่นกันว่าคนจีนเต็มเมือง หญิงชราภาวนาว่าเผ่าพันธุ์เหล่านี้จะไปได้ดี

        ฝ้ายเป็นสาวสวย บ้านเธออยู่อำเภอไกลออกไปทางตอนเหนือ บรรพบุรุษทำสวนเรื่อยมา เธอมาจากที่อากาศเย็นชื้นทั้งปี ไม่คุ้นเคยกับในเมืองมากนัก ดวงตาใสสะท้อนอนาคตแบบเจ้าหญิงในเทพนิยาย แต่ชีวิตจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย เธอพบตี๋น้อยในคืนหนึ่งขณะเดินถ่ายรูปเล่นลานประตูท่าแพ จะเที่ยงคืนแล้วรถแดงไม่มีวิ่งผ่าน เพื่อนอีกสองคนหายไปไหนสักแห่ง เขาชวนเธอเดินเล่นในค่ำคืน ย่ำไปบนเขตกลางเมืองที่ถนนปูด้วยอิฐ แวะอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้เห็นฝั่งตรงข้าม

        ตี๋น้อยรู้ว่ามีโรงแรมอยู่ไม่ไกล

 

        ก่อนฤดูกาลเบ่งบานจะมาถึง ดอกไม้สีขาวห้าแฉกผุดโผล่ในฝัน เด็กหนุ่มยี่สิบคนกรูกันเข้าใช้ชีวิตในบ้าน เมื่อเหลือทนกับสิ่งต่าง ๆ อาม่าตวาดเสียงลั่นแล้วจึงตื่นจากฝัน ต้นไม้อายุสามปีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ใหญ่เกินไปที่จะเลื่อยทิ้ง

        “ก่อนฤดูกาลจะมาถึง” เช้าต่อมาจึงบอกฝ้าย ค้นหาเลื่อยในห้องเก็บของใต้บันไดยื่นให้เธอ “จะมีแต่ความเฮงซวยตามมา”

        “อาม่าไม่อยากได้ลูกหลานแล้วหรือ” ฝ้ายถาม ขณะที่กดฟันเลื่อยแนบลำต้น

        แววตาหญิงชราโศกเศร้าเห็นชัด พอเมื่อนึกถึงสองครั้งที่ผ่านมา อาม่าส่ายหัว

        เสียงอุปรากรจากวิทยุร้องท่วงทำนองสูญเสียโหยไห้ดังถึงหลังบ้าน

        แต่เพียงหลังจากวันนั้น ตอไม้กลับมียอดอ่อนแทงขึ้นมาอีก ทั้งสองตกใจ ต้นกระจายเผ่าพันธุ์กำลังเติบโตอีกครั้ง ขณะที่ฝ้ายออกนอกบ้าน บนถนนหนทางเจอคนเชื้อสายอาม่า เธอเองไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร อาจเป็นหนึ่งในคนที่ออกมาจากบ้าน หรืออาจเป็นเมีย หรือเด็กนั่นอาจเป็นทายาท อาจเป็นได้กระทั่งคนที่พาเธอมาอยู่บ้านหลังนี้ ได้ข่าวว่าแต่ละคนมีเมียเพิ่มอีกหลายคน ลูกก็คงตามมานับไม่ถ้วน พวกเขาหน้าตาแบบเดียวกันผิวพรรณ ท่าที เสียงดังโกลาหลอลหม่าน

        คืนก่อนเข้าพรรษาวัดหน้าบ้านนักท่องเที่ยวมากมาย ฝ้ายเดินเลาะกำแพงวัดหลังจากไหว้พระทำบุญ หน้าประตูบ้านมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ เขาบอกว่าคือหนึ่งในเจ็ด เธอไขกุญแจให้เขาเข้าไป เมื่อทักทายอาม่าเขาก็ทิ้งตัวนอนบนโซฟา กลิ่นเหล้าโชย สั่งให้ฝ้ายไปต้มน้ำร้อนเขาอยากดื่มน้ำชา ร้องหาใบชาที่ดีที่สุดของบ้าน

        “ลื้อต้องไปนอนบ้านตัวเอง” อาม่าไม่พอใจ เขานอนสูบบุหรี่ ควันขาวโขมงชั้นล่าง บรรยากาศเบลอเหมือนม่านหมอกในหุบเขาสูงของจีน “ที่นี่ไม่รับใครแล้ว”

        ดวงตาเขาขมขื่น “อั้วก็เกิดที่บ้านนี้”

        รินน้ำชาลงถ้วยแล้วกาไว้บนโต๊ะ หญิงชราขึ้นห้องไปแล้ว เอือมกับลูกหลาน ฝ้ายเดินขึ้นห้องด้านบนที่อยู่ตรงข้ามห้องหญิงชรา ได้ยินเสียงแกอาบน้ำ

        เป็นตอนที่กำลังปิดประตูเขาก็ตามเข้ามา เธอตกใจร้องเรียกอาม่าแต่ไม่ทัน เขาปิดประตูและอุดปากเธอไว้ คืนนั้นฝ้ายดิ้นขัดขืน แต่สู้แรงเขาไม่ไหว ฝ้ายเจ็บปวดหว่างขา ตี๋น้อยนอนหลับกรนเสียงดังข้างตัว ดวงตาฝ้ายเบิกโพลง แสงจันทร์เกือบเต็มดวงกระจ่างจ้าผ่านผ้าม่านลูกไม้เข้าตัวห้อง

 

        ยังใช้ชีวิตเช่นเดิม เขาจากไปในเช้าวันถัดมา สี่เดือนแล้วไม่พบเขาอีกเลย ฝ้ายตั้งท้องอีกครั้งกับลูกหลานอาม่า หนึ่งในเจ็ดคนที่หน้าตาเหมือนกัน ถ้าเขากลับมาอีกครั้งเธอไม่รู้เลยว่าเขาคนเดิมหรือคนใหม่ ท้องเริ่มโตขึ้น หญิงชราสงสารฝ้าย แปดสิบกว่าปีแล้วประคบประหงมเท่าที่มีแรง อยากเห็นหน้าเด็กท้องเหลือเกิน

        ต้นไม้หลังบ้านไม่ยอมตาย ยังคงพยายามแทงยอดอ่อนขึ้น หลังจากราดน้ำร้อนทุก ๆ วัน ยังเพิ่มโซดาไฟหวังให้ตายถึงราก น้ำมันเบนซินก็เคย สองคนช่วยกันทุกวิถีทาง ท้ายสุดจึงต้องจ้างคนเอามาขุดรากออกไปทิ้งที่กองขยะชุมชน อาม่าเบาใจ การกระจัดกระจายของเผ่าพันธุ์หยุดลง ไม่นานฝ้ายก็คลอดลูก

หน้าตาเหมือนพวกเขาทั้งสองรุ่นที่เดินออกจากบ้านไปทุกประการ เมื่อโตได้หนึ่งขวบภาพยิ่งชัด แกเห็นพวกเขาทุกการเติบโต เหมือนจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็เติบโตจากท้องของมนุษย์ ไม่ใช่ต้นไม้ เขาคงไม่เหมือนพ่อ ฝ้ายภาวนาในใจ ท่ามกลางความว้าวุ่น แต่ไม่นานนักความกังวลเหล่านั้นก็จบลง อาม่าจากไปด้วยโรคชรา

 

        หลังบ้านไม่มีอะไรงอกเงยมาห้าปี ลูกชายของฝ้ายเข้าเรียนชั้นประถมหนึ่งใกล้บ้าน เธอเดินไปรับไปส่งเขาทุกวัน ทุกครั้งที่พบหนุ่มชาวจีนฝ้ายแอบมอง พิจารณาอย่างละเอียดถึงใบหน้า หวาดผวาทุกครั้งที่นักท่องเที่ยวจีนเหล่านั้นเฉียดใกล้ไกล

        ประตูโรงเรียนอ้าเปิด ตี๋น้อยวิ่งโผกอดแม่ หัวเราะและจูงมือกันเดินกลับบ้าน วันนั้นฝ้ายอ้อมกลับอีกทาง เธอนึกอยากได้ผลไม้ติดมือเข้าบ้าน

        ติดกับรั้วผุพังบ้านร้างข้างที่ทิ้งขยะชุมชน คล้ายว่าต้นไม้ต้นหนึ่งกำลังถึงฤดูกาลผลิดอก อีกไม่กี่วัน ดอกสีขาวกลีบห้าแฉกจะผลิบานเป็นปีแรก

 

        ไม่มีใครแน่ใจว่าเริ่มต้นที่ใดแต่ข้อสันนิษฐานหนึ่งคือบ้านอาม่า หลังแกเก็บเมล็ดพันธุ์ตอนไปเยี่ยมญาติเมืองจีน จากวันนั้นนับได้สิบปี

 

...............................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง 

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

          วรรณกรรมออนไลน์