เรื่องสั้น : แม่น้ำประจำตัว : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

เรื่องสั้น : แม่น้ำประจำตัว : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

 

1

เธอจากคุณไปในฤดูร้อน วันนั้นมีฝนหลงฤดูตกลงมา สาดซัดและเทกระจาดไปทั่วทั้งเมือง ราวกับหยดฝนเล็ก ๆ เหล่านั้นคืออณูความเจ็บปวดของคุณ

        หลังเธอจากไปคุณได้ยินเสียงแม่น้ำ เป็นเสียงที่ใหญ่กว่าลำธาร ไหลเอื่อย ๆ อยู่ในหูของคุณ เสียงนั้นกลบลบเลือนสุ้มเสียงในชีวิตประจำวัน สรรพสิ่งรอบตัวคุณมีเสียงแม่น้ำเป็นฉากหลัง ราวกับแม่น้ำทุกสายมาบรรจบกันในหูและโสตประสาทของคุณ แม้เมืองที่คุณอาศัยอยู่จะไม่ติดทะเล

        คุณทำงานในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ไม่ไกลกับย่านมหาวิทยาลัย เข้างานกะกลางคืน เพราะกลางวันเต็มไปด้วยเสียงรบกวน กลางคืนไม่วุ่นวายนัก ถ้าไม่นับวัยรุ่นที่มาซื้อเหล้าเบียร์ หรือนักศึกษาที่มาซื้ออาหารแช่แข็งกับเครื่องดื่มชูกำลัง กลางคืนแทบจะไม่ค่อยมีลูกค้า

       

2

        คุณตื่นมาแล้วพบว่าเสียงแม่น้ำหายไป แต่กลับปวดหนึบในช่องหู เหมือนมีหินกรวดก้อนเล็ก ๆ อุดสุ้มเสียงของแม่น้ำไว้ คล้ายฝายที่ชะลอไม่ให้น้ำไหลเร็ว การได้ยินของคุณกลับคืนมา คุณสดับฟังเสียงของสรรพสิ่งรอบกาย เสียงแตรรถประจำทาง เสียงพัดลมเบอร์สาม เสียงเครื่องบินบนน่านฟ้า คุณได้ยินเสียงเหล่านั้น แต่คุณไม่ได้ยินเสียงแม่น้ำเป็นฉากหลังอีก

        คุณลองใช้คอตตอนบัดเขี่ยหู ค่อย ๆ หมุนช้า ๆ เผื่อว่ามีสิ่งแปลกหลอมหลุดหล่นออกมา อาจเป็นทรายเม็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แต่ไม่มีสิ่งใดร่วงหล่นออกมา มีแค่คอตตอนบัดที่เปลี่ยนสีจากขาวเป็นเหลือง

        คุณลองหาวิธีแก้ปัญหาหูอื้อ ลองกระแอมกระไอและกลืนน้ำลาย หรือเคี้ยวหมากฝรั่งก็ไม่หาย เหมือนหูข้างซ้ายของคุณถูกปิดตาย การได้ยินลดลงครึ่งหนึ่ง แต่มันก็ทำให้คุณรับฟังโลกทั้งใบมากขึ้น

        คุณนึกถึงคำสอนของแม่ ตอนเด็ก ๆ คุณสมาธิสั้น ชอบพูดชอบซักถาม พูดไม่หยุด แม้กระทั่งบนโต๊ะกินข้าว แม่บอกคุณว่า

        “อวัยวะไหนที่พระเจ้าสร้างมาให้แค่หนึ่ง ลูกต้องใช้ให้น้อย แต่หากสิ่งไหนมีสอง สิ่งนั้นสำคัญกว่า”

        “ดวงตา หู มือ ขา” คุณนั่งไล่เรียงอวัยวะที่เป็นคู่

        “ใช่จ่ะ หูมีสองข้าง ลูกควรฟังให้มากกว่าพูด”

        “หัวใจมีดวงเดียว แสดงว่ารักได้คนเดียว” พ่อคุณพูดเสริม

        “แต่หัวใจคนเรามีสี่ห้องนะครับ” คุณพูดจบแล้วโดนแม่ดุ สั่งให้นั่งกินข้าวเงียบ ๆ

        คุณหูอื้อติดกันสามวันไม่หาย จึงตัดสินใจไปหาหมอที่คลินิก

       

3

        คลินิกหมอตั้งอยู่ชั้นล่างสุดของห้างสรรพสินค้า ไม่ไกลจากที่พักคุณ หลักจากยื่นบัตรประชาชนและแจ้งอาการป่วยหน้าห้องตรวจ รอไม่นานหมอก็เรียกชื่อคุณ

        หมอวัยกลางคน ไว้ผมทรงแสกกลาง สวมแว่นกรอบเหลี่ยมสีเทา คาดไฟฉายอันเล็กสีดำไว้ที่หน้าผาก หมอรับไหว้คุณแล้วเอ่ยถามอาการ

        “ผมรู้สึกหูอื้อข้างเดียวครับ เคยได้ยินเสียงแม่น้ำ แต่เสียงนั้นหายไป”

        “เสียงอะไรนะ” หมอถามคุณขณะเตรียมเครื่องมือ

        “เสียงแม่น้ำครับ”

        “เอาล่ะ งั้นหมอขอดูหน่อย หูข้างไหนนะ ?” คุณชี้ไปที่หูข้างซ้าย

        หมอส่องไฟฉายและที่ตรวจเข้าไปในหู

        “มีเชื้อราอยู่ในหู” หมอพูดจบแล้วสำรวจมองคุณ

        “คุณกลับไปตัดเล็บด้วยนะ เชื้อโรคอยู่ในนั้น”

        คุณก้มลงมองเล็บตัวเอง เห็นเศษสีดำในซอกเล็บเหล่านั้น

        “นั่งนิ่ง ๆ นะ เดี๋ยวหมอเอาออกให้” หมอฉีดน้ำยาเข้าหู สอดแท่งเหล็กเข้าไปในหูคุณ แล้วเริ่มจัดการกับเชื้อราเหล่านั้น

        คุณปวดจี๊ดจนขบฟันแน่น แสบปนเสียวและเริ่มร้าวในช่องหู

        “ทนนิดนึงนะ ไม่เจ็บหรอก เหมือนมดกัด” หมอพูดขณะสาละวนอยู่กับช่องหูของคุณ

        “หาหมอมากี่ที่ก็บอกว่าเจ็บเหมือนมดกัด” คุณสบถในใจ นึกไปถึงตอนที่ฉีดวัคซีนในวัยเด็ก หรือตอนผ่าฟันคุดสมัยมัธยมปลาย หมอทุกคนบอกเหมือน ๆ กัน ว่าเจ็บเหมือนมดกัด

        “เสร็จแล้ว เรียบร้อย หมอจ่ายยาหยอดหูให้นะ ยากินไม่ต้อง อีกหนึ่งสัปดาห์หากยังไม่หาย ให้กลับมาพบหมอใหม่” หมอเก็บเครื่องมือไปวางในอ่างล้างหน้า แล้วถามต่อ

        “ว่าแต่ ที่บอกว่าได้ยินเสียงแม่น้ำ นั่นเป็นแม่น้ำแบบไหน ?”

        “ผมก็ไม่แน่ใจ คงเป็นแม่น้ำทั่วไป ที่ไหลตลอดเวลา”

        “ใต้พื้นคลินิกตรงนี้ อาจมีแม่น้ำไหลอยู่ บางที แม่น้ำหลายสายอาจไหลเชื่อมต่อกันใต้ผืนดินที่เรายืนอยู่” หมอพูดจบแล้วเคาะส้นรองเท้าหนังกับพื้น

        “แล้วหมอเชื่อเรื่องแม่น้ำประจำตัวไหมครับ ? ผมว่าแต่ละคนก็มีแม่น้ำบางสายอยู่ในตัว”

        “มีแม่น้ำไหลเวียนอยู่ในร่างกายเรา แบบนั้นหรือเปล่า ?” หมอถามคุณขณะถอดถุงมือยาง

        “ครับ”

        “หมอไม่รู้หรอก เมืองนี้ไม่ได้ติดทะเล แต่ถ้าจะมีก็คงเป็นแม่น้ำสีแดง”

        “แม่น้ำสีแดง ?”

        “เลือดไงล่ะ ไหลเวียนทั่วร่างกาย” หมอบอกคุณแล้วโยนถุงมือยางสีขาวลงถังขยะสีดำ

        “จริงด้วยครับ”

        “ถ้าได้ยินเสียงที่อยากฟังแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาหาหมอนะ” หมอบอกคุณ ก่อนจะเรียกชื่อคนไข้รายถัดไปเข้าห้องตรวจ

       

4

        คุณออกมารับยาตรงหน้าเคาน์เตอร์ เจ้าหน้าที่บอกวิธีใช้ยาหยอดหูให้คุณ ยาหลอดเล็กสีใส ราคาเท่ากับค่าแรงรายวันของคุณ กลับถึงห้องพักคุณนอนตะแคงเอียงขวาบนหมอน หยอดยาลงไปในหูข้างซ้ายห้าหยด แล้วรอสิบนาที

        คุณหยอดยาวันละสี่ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ซึ่งเป็นเวลาก่อนเข้ากะไปทำงาน เมื่อหูคุณได้ยินข้างเดียว คุณจึงตั้งใจฟังเสียงที่ถูกละเลยมากขึ้น

        คุณชอบเสียงเปิดปิดของประตูเลื่อนร้านสะดวกซื้อ เสียงเพลงจากตู้เติมเงินสดหน้าร้าน เสียงของบรรดาตู้แช่ เสียงขณะยิงบาร์โค้ดสินค้า หรือเสียงของลูกค้าที่มายืนเถียงกันขณะเลือกซื้อของ

        คุณฟังทุกเสียงเหล่านั้น เก็บซับไว้ทุกอณูของเสียง เหมือนแผงไข่ที่ติดไว้บนผนังห้องซ้อมดนตรี

        ครบหนึ่งสัปดาห์ ยาหยอดหูของคุณหมดแล้ว เสียงแม่น้ำที่อยากได้ยินก็ไม่กลับมา บางที แม่น้ำสายของคุณ คงแห้งขอดไปเสียแล้ว หูยังคงอื้ออยู่ แต่ไม่ปวดหนึบและเจ็บร้าวเหมือนวันแรก ๆ คงมีเชื้อราบางตัวเติบโตเงียบ ๆ อยู่ในช่องหูซ้ายของคุณ

        แม้คุณจะได้ยินแค่ข้างเดียว แต่คุณไม่คิดจะกลับไปที่คลินิกหมอแห่งนั้นอีก

        ตอนนี้คุณมีหูแค่หนึ่ง แต่หัวใจกลับเป็นศูนย์ เพราะเธอจากคุณไป และคุณก็รักได้แค่คนเดียว.

 

.................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

 

                วรรณกรรมออนไลน์