เรื่องสั้น : ฉันขี้นินทาหรือเขาไม่เมตตากันแน่ : วรันทร สิงห์งาม

เรื่องสั้น : ฉันขี้นินทาหรือเขาไม่เมตตากันแน่ : วรันทร สิงห์งาม

 

          มันอยู่ที่ฉันมักเป็นพวกช่างสังเกตเกินเหตุและหาผลเกินไป ฉันให้ความรู้สึกกับสิ่งเล็กๆ ที่สายตาดันเห็นแบบที่พระท่านว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญ อันทำให้ฉันรู้สึก ฉันไม่ตั้งใจใส่ใจจับผิด แต่ความคิดและความรู้สึกมันมาก จนข้ามผ่านปัญหาเล็กๆไม่เคยได้

 

          เต๋าว่าไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากสิ่งเล็กๆ ควรแก้ไขจากจุดเล็กๆ เมื่อปัญหาและกิเลสใหญ่โตเราจะหาจุดเริ่มต้นที่ควรแก้ไขไม่เจอ

 

          ปีเก่าผ่านไปปีใหม่ บางครั้งคำบางคำของใครต่อใคร ที่ไม่ได้ตั้งใจเอ่ยความ สำหรับฉันมันคือความจริงแท้ที่ไร้การประดิษฐ์ เมื่อครุ่นคิดฉันวนถามตัวเองซ้ำ ๆ ฉันจดจำหาความระกำนี้มาชอกช้ำใจทำไม ทำไมไม่ปล่อยผ่านปล่อยเลยไปเหมือนใครต่อใครที่ใจพระใจบุญ ขนาดฉันชอบอ่านธรรมะ ฉันก็ไม่ได้มีใจพระใจอภัย หรือฉันมันคนขี้อิจฉาหรืออย่างไร ฉันถามตัวเองบ่อยมาก และตกตะกอนเป็นคำตอบแต่เพียงผู้เดียวว่า

 

          “เราไม่ได้อยากเจอคนใจพระใจธรรม เราแค่อยากเจอคนที่ทำใจปกติต่อกันก็พอ”

 

          เมื่อพระธุดงค์ท่านออกเคี่ยวกรำเพื่อค้นหาธรรมะ อันเป็นทางหลุดพ้น ท่านต้องใช้ความอดทนและการสละออกจนสิ้น ความเด็ดเดี่ยวเพียงทางเดียวที่เป็นทางตรง มุ่งสู่การสิ้นกิเลสเข้าสู่พระนิพพาน ท่านต้องขัดเกลาสันดานและมีใจอันแน่วแน่ การส่ายแส่ในความสงสาร ไม่สามารถเข้าถึงนิพพานที่ต้องมีด่านแห่งอรหันต์ ใจต้องแกร่ง ตัดให้ขาด ปราศจากการหันหลังกลับ ที่ฉันเล่ามาตรงนี้ใช่ว่าเราต้องแกร่งเช่นท่าน แต่การพูดบอกว่า ประนีประนอมหรืออภัยนั้น เรามีแก่นกลางที่ส่ายเซเป๋ไปหรือเปล่า เรามุ่งเอาความดีว่าใจกว้าง รักทุกสิ่ง เยี่ยงนี้ไม่น่าจะพ้นทุกข์ได้จริงในโลกใบนี้ เราแบกทุกอย่างไม่ได้แม้กระทั่งดีมากมายก็ต้องตัด อันว่าชั่วก็ต้องตัดเช่นกัน แต่ก็นั่นแหละไม่มีใครอยากแกร่งหรืออยากพ้นทุกข์อย่างฉันว่าหรอก ทุกคนอยากโอบกอดกิเลสอันเป็นเหตุแห่งใจให้เพิ่มพูนตัณหาเรื่อยไปโดยที่เราไม่สามารถรู้เท่าทัน หรือรู้เท่าทันเราก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยมันไปใครๆเขาก็เป็นกัน หลายสิ่งที่ฉันได้อ่านได้ฟังธรรมะนั้น เลยสอนฉันให้สวนทางกับโลกโลกีย์ แต่ด้วยเหตุนี้ฉันเลยตำหนิผู้คนที่ฉันได้เห็นผ่านตา จนฉันรู้สึกกับตัวเองว่า ฉันมันคนขี้นินทาขี้อิจฉาหรือเปล่า

 

          เธอเป็นลูกคุณหนูเกิดในครอบครัวมีหน้ามีตา แถมเป็นคนสวยสง่า ชายใดเห็นเป็นต้องเหลียวตาแลมอง อันว่าโปรไฟล์ดีไม่มีที่ติต้องยกให้เธอ ครอบครัวเธอมีร้านกาแฟริมน้ำ มีธุรกิจโรงแรม อยู่ในละแวกที่เป็นทำเลทองของธุรกิจท่องเที่ยว เธอสวย พูดเพราะ ดูเป็นกันเอง ฉันชื่นชมเธออย่างมาก ฉันตามไอจีเธอเพราะเธอสวยและน่ามอง และในฐานะที่ฉันเป็นลูกน้องลูกจ้างที่รู้จักกันมานาน ครอบครัวเธอจัดว่าผู้ดีพูดเพราะ ไม่มีคำพูดรุนแรงกินแคลงใจลูกน้อง เป็นกันเองไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง แต่ก็มีระยะบางอย่างที่เราก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของความเมตตา

 

          ฉันทำงานที่นี่มานานเกินหกปี เล่าความจริงที่แสนธรรมดาก็มีทั้งดีและไม่ดี ฉันได้เงินเดือนมากพอกับความรู้และระยะเวลาที่ทำงานมา แต่ไม่มีสวัสดิการอะไร ฉันเป็นลูกจ้างต่างด้าว ไม่มีอะไรรับรอง แต่ก็นั่นแหละเราตกลงกันว่าเป็นเช่นนั้น ฉันไม่เคยได้โบนัส เจ้านายจัดจำพวกการให้โบนัสว่า “เงินพิเศษ”ซึ่งมันก็ไม่เคยถึงคำว่าโบนัส เราทำงานตามแต่แรงมี ไม่มีลาพักร้อน ไม่มีลาป่วย ลากันทีเราก็ฝากเพื่อน ฝากน้อง แต่ก็พะอืดพะอมเพราะเขาดูว่ามันกินแรงคนอื่น ร้านไม่เคยปิดถ้าไม่มีเหตุฉุกเฉิน ตรุษจีนทีปีละครั้งเราเฝ้ารอซองแดง มีปีหนึ่งฉันจำได้แม่น เขายื่นซองแดงและพูดว่าอ่ะ “ขำขำ”และในซองนั้นมีเงินสามร้อย ไม่ต้องเปรียบต้องเปรยกับการกินหรูอยู่แพงของเขา คำพูดพี่เดย์พ่อครัวโรงแรมใกล้ๆ ร้านกาแฟคือ “เรามันจน ก็ต้องอดทน เขารวยก็เงินเขา”ฉันเคยพูดสวนพี่เดย์ในวันที่อับเฉาว่า

 

          “แต่เราทำงานให้เขานะพี่เดย์”

 

          เขาทานโอมากาเสะแทบทุกอาทิตย์ เราแทบไม่เคยได้รับของฝากอันเป็นทานน้ำใจแบบง่ายๆ มีอยู่บ้างคือเทศกาลปีใหม่ แต่ที่เราได้บ่อยคือของเหลือที่เขาจะทิ้งหรือไม่กินแล้ว มีอยู่ครั้งที่เขายื่นขนมที่ค่อนข้างแพงพร้อมกับสตอว์เบอร์รี่ลูกโตให้ฉัน ฉันดีใจกับขนมที่หน้าตาน่าทาน แต่เมื่อเพื่อนฉันเห็นขนมกับสตอว์เบอร์รี่ที่น่าทาน มันก็บอกว่า

 

          “นี่จะเน่าแล้วกินไม่ได้ละมึง”

 

          หรือแม้บางครั้งขนมที่ไม่เสียไม่เน่าแต่ที่เขาให้เราคือขนมที่เขาไม่กิน มีอีกครั้งนั่นล่ะ เช่นเค้กเหลือครึ่งชิ้น ขนมถูกกัดครึ่งคำยัดใส่รวมกันมากับขนมที่ยังทานได้ นั่นคือสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ ไอ้คำว่า “นี่ขนมเราซื้อมาฝาก”สิ่งนั้นแทบไม่มี จะมีอยู่ครั้งมั้งที่เจ้านายมากับหนุ่ม แล้วเขาเดินมาบอกให้เราสั่งอะไรกินกันตามใจชอบแล้วเขาก็จ่าย ฉันก็ถือเป็นเรื่องที่น่าดีใจแม้มีไม่บ่อยนัก

 

          พี่เดย์พ่อครัวโรงแรมยิ่งแล้วใหญ่ ทำงานไม่มีวันหยุด ไม่มีวันหยุดคือทั้งปีไม่มีวันหยุด ค่าแรงห้าร้อยต่อวัน

 

          ชั่วโมงทำงานจะมากจะเหนื่อยกว่าแปดชั่วโมงก็ห้าร้อย

 

          ดีที่มีประกันสังคมมีเงินพิเศษบ้างตามแต่ความพอใจของเจ้านาย แต่ไอ้ของฝากของที่เจ้านายอยากให้กินนั้นไม่เคยมีเช่นกัน มีแต่ของเหลือ ถ้าเจ้านายไปทานร้านอาหารหรูเมื่อกินเหลือเขาก็จะห่อมาให้พี่เดย์ บางครั้งเรายังพูดกันขำๆ

 

          “ว่าเรามันเป็นหมาโชคดีที่มีเจ้าของรวย”

 

          น้องอีกคนที่สนิทเคยทำงานที่โรงแรมเล่าให้ฟัง เจ้านายให้เอาเช็คไปขึ้นเงินสองใบ ใบละ หนึ่งบาทห้าสิบสตางค์ รวมเช็คสองใบเป็นเงินสามบาท น้องเล่าให้ฟังด้วยความขำขื่น ไม่เคยพบเคยเจอ ลูกค้าที่พักโรงแรมวีนบ่อยกับอาหารเช้าที่ไม่คุ้มกับค่าที่พัก พี่เดย์พ่อครัวเล่าแกมขำแกมบ่น เจ้านายลดงบอาหาร เช่น กล้วยครึ่งลูก หรือผลไม้ราคาถูก ไม่ให้มีน้ำผลไม้ ไม่ให้มีโยเกิร์ต นับปริมาณอาหารการทานของแต่ละคนอย่างกระมิดกระเมี้ยน บางครั้งพี่เดย์ทำงานหนักจนหน้ามืด พอบอกเจ้านายว่าป่วย เขาก็ว่า

 

          “หาเรื่องป่วยอะไรตอนนี้”

 

          ทั้งที่พี่เดย์ทำงานหนักแบบไม่ได้พักเลยทั้งปี เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เราเหล่าลูกจ้างนินทา แต่มันก็ไม่เคยมีการเยียวยาอะไรให้ดีขึ้น นอกจาก

 

          “อดทน เพราะเรามันจน”แบบพี่เดย์ว่า

 

          บางครั้งทั้งบ่นทั้งสงสารแขกที่มาพักในโรงแรม ว่ามาไม่คุ้มค่าที่พัก

 

          พวกเราปรับทุกข์ระดับลูกจ้าง และนี่ก็คือมีบ้างที่เรามักนินทาเจ้านาย ฉันวนเวียนอยู่กับคำถามกระจิริดที่ควรจะมองข้าม แต่ใจฉันมันก็กระเสือกกระสนพยายามเอามารู้สึกรู้สา ฉันพอจำได้ว่าแม่ไม่เคยสอนแต่ทำให้เห็น

 

          “ให้ของใครต้องให้ของที่ดี”

 

          มีเงินหน่อยค่อยมีของฝาก ยามลำบากถ้าอะไรที่ดีมีเราก็แบ่งปัน

 

          แต่เราไม่เคยให้ของเหลือของเน่า เราจะให้ทานเขาเราก็ต้องนึกถึงบุญที่จะกลับมา เรื่องความรู้สึกที่ซับซ้อนนี้ไม่อาจจะสอนกันได้ ฉันเพียงแต่รู้สึก มันเป็นตะปุ่มตะป่ำในส่วนลึกที่ฉันแกะไม่ออก จะด่านินทาเขาว่าตระหนี่ถี่เหนียวก็ไม่ใช่ ของกินของใช้เขาก็ใช้จ่ายอย่างจริงจังไม่จำกัดจำเขี่ย แต่ก็จะมีเนี่ยเรื่องกระจิริดกระจ้อยร่อยสิ่งละอันพันละน้อย ที่พอรวมกันมันทำให้เป็นกิเลสอย่างหยาบที่เห็นได้ชัด

 

          ฉันจำได้บ้างมีธรรมะเคยฟังจาก แปดสิบเอ็ดบท ของเต้าเต๋อจิง

 

          "อะไรที่เพิ่งเกิดขึ้นเราจะจัดการและแก้ไขมันได้ง่าย"

 

          สันดานที่ต่อเนื่องกิเลสมาเนิ่นนานก็เช่นกัน เราไม่รู้เลยว่าจิตวิญญาณเราจดจำการกระทำอันเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่หาข้อเปรียบเทียบดีชั่วไม่ได้นั้น มีมากแค่ไหน เราสะสมบ่มเพาะนิสัยอะไรไว้บ้าง ฉันจะยกตัวอย่างง่ายๆที่ฉันพอเข้าใจไว้ดังนี้

 

          ป้าของฉันสอนบักหล่าหลานน้อยว่าอย่าตักกับข้าวกักตุนใส่ในจาน มันเป็นการรับประทานที่คนอื่นจะมองเราไม่ดี

 

          พ่อของฉันสอนฉันว่าอย่าเอาเท้าไปเตะหมา แม้จะเป็นการเล่นกับเขา เพราะแค่เขาเกิดเป็นหมาก็น่าสงสารแล้ว

 

          แม่ฉันสอนว่าการให้ของกินกับใคร เราต้องให้ของดีของที่เราทานแล้วว่าดีว่าอร่อย

 

          สิ่งเหล่านี้คือการขัดกิเลสอย่างละเอียด ไม่มีชี้ดีชี้ชั่วว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวไม่ควรใกล้ แต่สิ่งละอันพันละน้อยคือการบ่มเพาะจิตใจให้เราอ่อนน้อมถ่อมตนในหนทางชีวิต เราไม่สามารถด่าใครว่าดีว่าชั่วได้เต็มปาก แต่พอจะมองออกว่าใครมีจิตใจดีงามที่น่าชื่นชม น่าอยู่ใกล้ให้ความเคารพ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ขัดเกลากิเลสที่ง่ายปล่อยปละละเลยจนเป็นกิเลสกองใหญ่ที่ขัดยาก

 

          พอปล่อยมันรวมตัวเข้าไปนานนานก็กลายเป็นกิเลสตัณหาสันดานอย่างหยาบ

 

          หาทางแก้ลำบาก บางคนลักขโมย บางคนโกหกเพื่อผลประโยชน์ บางคนโลภลุ่มหลง จนตื่นฟื้นคืนกลับหาทางชำระต้นตออันเป็นหลักที่พาตนมาทุกข์มาเศร้าไม่เจอ จนแล้วจนรอดจะต้องจากโลก ก็ไม่มีทางหวนกลับหารากเดิมอันบริสุทธิ์แท้จริงได้เลย

 

          โลกยังคงวนเวียนเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ความเหนื่อยหนักของจิตใจก็หาต้นหาปลายไม่เจอ บางคนก็มุ่งหวังเอาปลาย แต่ระหว่างทางอันเป็นแกนกลางกลับไม่ขัดเกลา บางคนว่าการเอาสาระกับเรื่องเล็ก คือพวกคิดมาก แต่เพราะเราไม่เคยคิดเรื่องนิดเรื่องน้อยนี่หรอกหรือ หลายคนจึงใช้คำว่า ทนอยู่ ทนต่อ ทนเอา แบกแต่ความทุกข์ความเศร้า หาสุขเล็ก ๆ แทบไม่เจอ เขาแทบจะไม่เคยเรียนรู้การขัดเกลาให้เบาสบายกับเรื่องง่าย ๆ การสละบางอย่างออกระหว่างทางจึงไม่เคยมีใครใส่ใจให้ค่า พระอรหันต์ได้สอนเป็นการแสดงให้เห็นชัดว่า

 

          “ชีวิตเมื่อยิ่งเติบใหญ่การสละออกจากใจจะทำให้เราเบาสบาย”

 

          ยิ่งสัมภาระน้อยการเดินทางไกลยิ่งเบาสบาย การกอบโกยอะไรไว้เสียมากมายคำพระว่าไว้ก็เอาอะไรไปไม่ได้อยู่ดี

 

          หลวงปู่มั่นเคยตอบคำถามญาติโยมที่ถาม ถึงการถือวัตรถือศีลในป่าต้องถือกี่ข้อ

 

          หลวงปู่มั่น ก็กล่าวเอาไว้ว่า

 

          “ถือศีลข้อเดียว คือรักษาใจ เพราะตัวนี้พาไปดีไปชั่ว”

 

          นี่แหละคือสิ่งที่ต้องย้อนมองส่องตนให้บ่อย อย่าปล่อยให้ใครชมหรือด่า เราขัดเองเรารู้เองว่าสะอาดพอหรือไม่ อย่าปล่อยให้ความหมองมัวที่มาจากหลายทิศหลายทางจับเป็นฝุ่นละอองหนา จนเรามัวแต่พูดว่า ก็มันเป็นแบบนี้ มันมีมาของมันเอง แล้วปล่อยเฉยเมยไม่ใส่ใจ สิ่งนี้จะพาเราไปสู่ความสกปรกที่รกจนหาทางออกไม่เจอ

 

          ฉันก็ได้แต่ย้ำคิดย้ำทำว่าสิ่งที่ฉันนินทาน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ถ้าเราเห็นแง่มุมที่ต่างในดีในชั่ว แต่ที่ฉันพร่ำพูดนี้คือฉันไม่อยากให้ระหว่างทางผู้คนต้องสร้างความขุ่นมัวในใจโดยไม่รู้ที่มาที่ไปก็เท่านั้นเอง

 

                                                ........................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์