เรื่องสั้น : จดหมายจากผู้ชายตึก ๑ ชั้น ๒ ห้อง ๕ : กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น : จดหมายจากผู้ชายตึก ๑ ชั้น ๒ ห้อง ๕ : กิตติศักดิ์ คงคา

 

            บริษัทฉันไม่เคยประกาศรับสมัครงาน

            หรือหากจะให้ขยายลงไปให้ชัด บริษัทฉันไม่เคยประกาศรับสมัครงานเป็นภาษาไทย เพราะนั่นไม่มีประโยชน์ ฉันใช้วิธีการถาม แนะนำตาม ๆ กันมา และหาผ่านนายหน้ามากกว่า บริษัทของพ่อทำโครงการรับเหมาก่อสร้าง มูลค่าหลักสิบล้านไปถึงร้อยล้าน กระจายตัวหลายแห่งอยู่ตามจังหวัดแถบปริมณฑล ส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านจัดสรรราคาไม่แพง คุณภาพการผลิตไม่สูง เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ไม่มาก แต่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง

            ฉันเรียนจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแต่ก็มาช่วยงานพ่ออย่างเต็มตัว ไม่ใช่เรื่องบัญชี แต่เป็นเรื่องทรัพยากรบุคคล หากใครทำกิจการรับเหมาก่อสร้างจะรู้ ธุรกิจแบบนี้ต้องการคนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ใช่คนไทย ในอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ไม่มีคนไทยคนไหนอยากจะมาแบกอิฐแบกปูนวันละ ๘ ชั่วโมง ยกเว้นเสียก็แต่คนที่ไม่มีทางเลือกมากนักอย่างพวกแรงงานข้ามชาติ ตอนแรกฉันบ่นกับพ่อว่าฉันทำงานไม่ตรงสาย แต่ผ่านไปสักปีสองปีฉันก็คิดว่าไม่ใช่ วิชาบัญชีคือการจัดการกับตัวเลข และคนเหล่านี้ก็จัดเป็นตัวเลข เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ฉันจะต้องบันทึกลงในบัญชีงบดุล

            มีพาสปอร์ตไหม  ประโยคแรกสุดสำหรับการสัมภาษณ์งาน ผู้ชายตรงหน้าเพิ่งมาสมัครงานใหม่ เพื่อนคนงานที่อยู่ในแคมป์ก่อสร้างของฉันแนะนำมาอีกที  ไม่มีครับ  เสียงนั่นตอบ ก้มหน้างุด ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่  ที่นี่ไม่รับคนงานผิดกฎหมาย  ฉันตอบกลับไปเสียงเรียบ ใบหน้าตรงหน้าจึงเงยขึ้นมอง แต่ฉันไม่สนใจจะมอง  ขอผมทำงานเถอะครับ เพื่อนผมบอกว่าเดี๋ยวก็มีเปิดให้ไปลงทะเบียน  พวกคนงานพวกนี้ก็แบบนี้ รู้มาก บอกเตี๊ยมกันมาทุกอย่าง  แต่ต้องจ่ายค่าเอกสารเองนะ บริษัทฉันไม่ออกให้  ฉันน่าจะพูดประโยคนี้มาหลายร้อยครั้งแล้ว  ได้ครับ  หลังจากนั้นฉันจึงให้เขากรอกใบสมัครงาน

            เขาที่ว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่ลึกไปในหุบเขาแถบประเทศพม่า ให้ความว่าหนีข้ามฝั่งมาเพราะภัยความมั่นคง ปรกติเขาน่าจะมีบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนที่ฝั่งไทยออกให้คนจากพื้นที่สูง แต่เขาอาจจะเพิ่งข้ามฝั่งมาเลยยังไม่มีเอกสารอะไรเลย  แผลที่แขนไปโดนอะไรมา  ฉันถามขณะเดินพาเขาไปที่ห้องพัก  โดนยิง แต่แค่ถาก ๆ ครับ  เขาตอบ  แล้วทำงานได้ปรกติไหม  นั่นคือเรื่องสำคัญ  ปรกติครับ  ฉันพยักหน้ารับ ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ เขาอาจจะแค่ขับรถมอเตอร์ไซค์ล้มก็ได้ ใครจะไปรู้

            นี่ห้องพัก ปรกติต้องอยู่ห้องละสองคน แต่ตอนนี้ห้องพักยังไม่เต็ม ก็อยู่คนเดียวไปก่อน  ฉันพูดพร้อมยื่นกุญแจให้ อีกฝ่ายยกมือไหว้และรับไว้ ทุกครั้งที่บริษัทฉันเริ่มต้นเดินหน้าโครงการ สิ่งแรกที่ต้องทำคือสร้างที่พักคนงานก่อน ฉันจึงมีบ้านชั่วคราวอยู่ในเขตก่อสร้างจำนวนมาก  ห้ามออกนอกเขตที่พักกับที่ทำงาน เข้าใจใช่ไหม ถ้าถูกจับขึ้นมา รับผิดชอบเองนะ  ฉันย้ำอีกครั้ง เขาตอบรับทราบเป็นอย่างดี ฉันจึงก้มลงเขียนที่หัวกระดาษทะเบียนคนงานว่า ช๑๒๕ นั่นแปลว่า ฉันได้รับคนงานชายที่พักอยู่ตึก ๑ ชั้น ๒ ห้อง ๕ ไว้เป็นพนักงานของบริษัทเรียบร้อยแล้ว

            ช๑๒๕ เป็นคนงานที่ทำงานได้ขยันขันแข็งมาก หากฟังจากคำบอกของเพื่อนร่วมงานอย่าง ช๓๑๘ และ ญ๒๒๗ เล่า หากเปรียบเทียบกับค่าแรงที่ต้องจ่ายแล้ว (บริษัทฉันให้ค่าแรงพนักงานถูกกฎหมาย ๓๒๐ บาทต่อวัน และพนักงานผิดกฎหมาย ๒๘๐ บาทต่อวัน) ช๑๒๕ เรียกได้ว่าทำงานได้เกินเงิน ฝีมือการผสมปูนค่อนข้างจะเป็นระเบียบเรียบร้อย ฝีมือฉาบก็สวย ระหว่างวันก็ไม่มีการนั่งอู้ หลบไปเข้าห้องน้ำนาน ๆ หรือแอบออกไปสูบบุหรี่

            ในทุกต้นเดือนบริษัทจะออกเงินกู้ก้อนเล็กให้กับคนงาน มูลค่าไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท สำหรับคนที่ต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาใช้แต่ไม่มีเงินก้อน ฉันคิดดอกเบี้ยแค่ ๕ % ต่อเดือน ถือว่าไม่แพงเลยสำหรับการมีไมโครเวฟหรือพัดลม จำกัดวงเงินให้คนละชิ้น ผ่อนหมดถึงจะขอซื้ออย่างอื่นเพิ่มได้ ส่วนคนงานที่ถูกกฎหมาย บริษัทปล่อยกู้ก้อนใหญ่ให้ได้สำหรับการซื้อรถจักรยานยนต์ ดอกเบี้ยเพียง ๑๐ % ต่อเดือน แต่ต้องค้ำประกันไว้ด้วยพาสปอร์ตเพื่อป้องกันการหลบหนี

            ตอนแรกที่เข้ามาทำงานใหม่ ๆ ฉันเคยถามพ่อว่าทำไมปล่อยเงินกู้ให้กับคนงานด้วย แต่ละคนเป็นใครจากไหนบ้างก็ไม่รู้ หากหนีไปเฉย ๆ ก็จะกลายเป็นหนี้สูญเสียเปล่า ๆ แต่พอพ่ออธิบาย ฉันก็เข้าใจ บริษัทจำเป็นต้องสนับสนุนให้พนักงานก่อหนี้ เพราะเมื่อมีเงินต้องผ่อน มีดอกเบี้ยต้องจ่าย คนงานเหล่านี้ก็จะไม่คิดเรื่องลาออกไปไหน การจะขอให้ทำงานล่วงเวลาก็ง่าย ยิ่งคนงานมีภาระทางการเงินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อบริษัท นั่นแปลว่าเราสามารถใช้ภาษาเงินคุยกันรู้เรื่อง

            ไม่ผ่อนอะไรบ้างเหรอ ลองดูพัดลมสิ ไม่แพงนะ ตัวละ ๗๐๐ ก็มี  ฉันเอ่ยถาม ช๑๒๕ ตอนที่เขาแวะมารับเงินค่าแรงงวดแรกที่ฉัน ๕,๗๘๐ บาทต่อเดือน หักค่าน้ำค่าไฟค่าที่พักและค่าอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว  ไม่ดีกว่าครับ  เขาตอบสั้น ๆ แปลกกว่าทุกคน ฉันยักไหล่ กรมจัดหางานกระทรวงแรงงานเปิดรับจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่เข้าประเทศมาอย่างผิดกฎหมายแล้วนะ วันจันทร์เจ็ดโมงตรงมารอที่หน้าตึก ๒ เดี๋ยวฉันจะพาไป  เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ตั้งคำถาม คงจะรู้กระบวนการมาก่อนดีอยู่แล้ว  นับเป็นวันหยุดนะ ไม่ได้ค่าแรง  ฉันพูดต่อ  ครับ

            ฉันพา  ช๑๒๕  ช๔๑๖  ญ๕๑๔ และ ญ๓๒๙  มาจัดการเรื่องเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกกฎหมาย กระบวนการไม่ได้ยุ่งยากมาก แต่ฉันไม่ได้มีหน้าที่เตรียมเอกสารให้ใคร คนที่ต้องการขึ้นทะเบียนจึงต้องเลือกที่จะจ้างนายหน้าจากบริษัทข้างนอกมาจัดการเอกสารให้ทั้งหมดด้วยค่าใช้จ่าย ๑๘,๐๐๐ บาท หรือจะจัดเตรียมเอกสารและมายื่นเรื่องด้วยตนเอง ร้อยทั้งร้อยเลือกจ้าง ไม่มีใครอ่านภาษาไทยออก และการติดต่อหน่วยงานราชการก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยนักสำหรับแรงงานข้ามชาติเหล่านี้

            มีเงินจ่ายหรือเปล่า  ฉันถามขณะที่เรียกตัวแทนรับทำเอกสารมาคุย  มีไม่ถึงครับ  ช๑๒๕ ตอบ  ไม่เป็นไร เอามาเท่าที่มี ที่เหลือผ่อนได้ ดอกเบี้ยเดือนละ ๕ %  ฉันพูดอย่างท่องได้ขึ้นใจ ช๑๒๕ พยักหน้ารับ ก่อนจะใช้มือขวาจับมั่นไปที่แขนซ้าย บิดโดยแรงจนดังกร๊อบ แขนซ้ายของเขาหลุดออกมาทั้งดุ้น ช๑๒๕ ส่งซากอวัยวะมาให้ฉัน และฉันส่งต่อให้คนรับทำเอกสาร ฉันนัดหมายกำหนดการตรวจร่างกายอีกเล็กน้อย ก่อนจะพาคนงานกลับไปทำงานจนหมดเวลางาน

            ช๑๒๕ มาพบฉันที่สำนักงานตอนเวลาพักเที่ยงในอีกเกือบสัปดาห์ให้หลัง ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะมาขอลาป่วย แต่ไม่ใช่  ผมอยากส่งจดหมายกลับไปที่บ้าน เพื่อนบอกว่าให้มาติดต่อที่นี่ครับ  ฉันพยักหน้ารับ  ส่งกลับไปให้เมียเหรอ  ถ้ามีภาระทางบ้านก็จะดีหน่อย คนเหล่านี้มักจะทำงานยืด  ลูกครับ  ฉันหยิบแฟ้มที่จดรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งจดหมายและพัสดุขึ้นมา  ส่งไปในเมืองหรือหมู่บ้านในที่สูง  ฉันถาม  หมู่บ้านในที่สูงครับ  เขาตอบและอธิบายข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบ้านเกิดให้ฉันฟัง 

            ค่าส่ง ๑,๐๐๐ บาทต่อครั้ง เฉพาะจดหมายไม่รวมพัสดุ ระบุวันที่จดหมายจะส่งไปถึงแน่นอนไม่ได้ เพราะต้องฝากนายหน้าให้ถือขึ้นเครื่องบินไปจากแม่สาย ลงลาซิ่วที่พม่า แล้วหาคนเดินเท้าต่อเข้าหมู่บ้านอีกที  ฉันอธิบายยาวเหยียด กำลังจะพูดว่าราคานี้อาจจะแพงไปสำหรับเขา แต่ ช๑๒๕ พยักหน้ารับหนักแน่น ยื่นจดหมายตรงหน้ามาให้ ไม่มีแม้คำต่อรองสักเสี้ยววลี หลังจากนั้นเขาจึงใช้มือควักดวงตาข้างขวามาให้ ฉันรับไว้ด้วยความเงียบงัน

            หลังจากที่ ช๑๒๕ ฝากจดหมายฉบับนั้นให้ฉันส่งให้ ฉันก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย จนกระทั่งผ่านไปเกือบเดือน นายหน้าจัดการเอกสารนัดหมายวันเข้าไปติดต่อที่กรมจัดหางานได้แล้ว ฉันจึงต้องพาเขาและคนงานอีกสามคนขึ้นรถกระบะไปอีกครั้ง  ค่าตรวจร่างกาย ๑๕๐ บาท ค่าตรวจโควิด ๓๕๐ บาท  ฉันพูด ช๑๒๕ พยักหน้าและกระชากหูซ้ายจนขาดและส่งมา ฉันเอื้อมมือไปรับและส่งบัตรสีชมพูกับใบ พต.๔๘ ให้  นายหน้าจดข้อความที่ลูกนายฝากมาให้นายด้วย แต่เป็นภาษาไทยนะ เขาโทรมาบอกจากแม่สาย ฉันจดไว้ให้เป็นภาษาไทย ถ้าว่างก็มารับที่สำนักงาน  เขาพยักหน้ารับ

            ช๑๒๕ ดูจะตื่นเต้นกับจดหมายที่ได้รับพอสมควร ฉันไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเขาจะแปลกใจอะไรนักหนา จดหมายที่ค่าส่ง ๑,๐๐๐ บาท นายหน้าก็ย่อมจดหรือขอถ้อยความอะไรมาบอกคนส่งอยู่แล้วเพื่อยืนยันว่าจดหมายถึงจริง  เขาโทรมาแปลให้เป็นภาษาไทย ฉันจดไว้ให้ตามเขาบอก อ่านภาษาไทยออกไหม ฉันเขียนภาษาตามที่ลูกนายบอกไม่ได้นะ ฉันเขียนไม่เป็น  ฉันพูดกับเขาพร้อมยื่นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือให้  พออ่านออกครับ  เขารีบหยิบจดหมายและออกไปจากสำนักงาน

            คนส่วนใหญ่ส่งจดหมายกลับบ้านแค่ปีละครั้งหรือสองครั้ง ยิ่งในยุคสมัยที่สามารถใช้แอปพลิเคชันโทรหากันข้ามประเทศกันอย่างง่ายดาย นั่นก็แทบไม่มีใครจ้างนายหน้าส่งจดหมายแล้ว จะมีก็แต่คนงานที่มาจากที่สูงที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึง แต่ ช๑๒๕ กลับมาในหนึ่งเดือนให้หลังพร้อมกับจดหมายหนึ่งฉบับ  ๑,๐๐๐ บาท  เขาอาจจะคิดถึงลูกมากเป็นพิเศษ คนส่งจดหมายพยักหน้ารับ ก่อนจะนั่งลงกับพื้น ใช้มือทุบข้อเท้าจนหลุด วางตั้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะค่อยกระถดตัวไปกับพื้นออกจากห้องไป

            ช๑๒๕ ได้ค่าแรงโดยเฉลี่ยหลังหักค่าที่พักค่าอาหารและค่าจิปาถะแล้วประมาณ ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือน นอกจากนี้เขายังต้องผ่อนจ่ายค่าทำเอกสารอีกเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท (รวมดอกเบี้ยแล้ว) ฉันคำนวณในใจคร่าว ๆ ก็พบว่าเขาเหลือเงินไม่ถึง ๓,๐๐๐ บาทต่อเดือนในการกินอยู่ส่วนตัวทั้งมื้อเช้าและเย็น เขาหาเงินมากกว่านี้ไม่ได้ ช่วงทดลองงาน ๓ เดือนแรก บริษัทของฉันไม่จ่ายค่าล่วงเวลา แต่เขาก็ยังมา มาส่งจดหมายกลับบ้านทุกเดือน

            หลังจากรับหน้าที่ติดต่อส่งจดหมายให้ ช๑๒๕ มาเกิน ๕ ฉบับ ฉันก็สงสัยจนอดรนทนไม่ได้ว่าเขามีอะไรต้องคุยกับลูกนักหนาจึงถึงขั้นว่าต้องส่งจดหมายหาทุกเดือน เขาแทบจะเป็นคนเดียวที่ใช้บริการส่งจดหมายของบริษัทแล้ว ฉันถือวิสาสะแกะจดหมายฉบับที่ ๖ ออก และขอให้คนงานที่ไว้ใจได้เรื่องริมฝีปากช่วยแปลให้แลกกับเหล้าขาวหนึ่งขวด ตอนแรกฉันคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสงคราม ความไม่สงบ การปะทะกันระหว่างชนกลุ่มน้อยกับทหารพม่า แต่ไม่ใช่ ในจดหมายฉบับนั้นไม่ได้พูดถึงเลย

            จดหมายของ ช๑๒๕ ทั้ง ๖ ฉบับ (ฉันทำสำเนา ๕ ฉบับแรกไว้ด้วย) ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรที่แปลกพิสดารเลย เขาเล่าชีวิตอันเรียบง่ายในการอยู่ในบ้านหลังใหม่นี่ ชมว่าอาหารไทยที่นนทบุรีอร่อยกว่าที่เชียงราย บ่นว่ากำแพงสังกะสีอบความร้อนมากตอนกลางวัน เล่าว่าแมวจรที่หลงทางมาในหมู่บ้านชอบกินลูกชิ้นปิ้ง  อยู่ที่นี่เหมือนได้ชีวิตใหม่ ...แต่เหงา  ประโยคในจดหมายเล่าไว้แบบนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าของจดหมายจะยังปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ไม่ได้

            ฉันถามย้ำหลายต่อหลายครั้งเพราะไม่มั่นใจว่าเนื้อความในจดหมายแปลถูกหรือไม่ แต่พนักงานที่รับค่าจ้างไปก็ยืนยันหนักแน่นว่าถูกต้องทุกคำแน่นอน ฉันฟังเรื่องเล่าจดหมายแต่ละฉบับที่เหมือนสมุดจดบันทึกประจำวันความในใจเหล่านั้นอย่างสับสน พนักงานคนหนึ่งที่เหลือเงินใช้เดือนละไม่ถึง ๓,๐๐๐ บาท ยอมควักเนื้อเดือนละ ๑,๐๐๐ บาทเพื่อส่งจดหมายแบบนี้หรือ ฉันเก็บความสงสัยรอวันที่จดหมายตอบกลับฉบับล่าสุดจากลูกเขาจะได้เวลามาถึง

            จดหมายจากลูกนาย นายหน้าจดมาให้ ฉบับนี้เขาเล่าว่ายาวหน่อยนะ สงสัยนายส่งจดหมายบ่อยจนเขาเริ่มสนิทกับลูกนายแล้วมั้ง  ฉันพูดพร้อมยื่นกระดาษที่เขียนให้ด้วยลายมือฉันให้เหมือนเดิม ดวงตาของ ช๑๒๕ ยังวูบไหวตื่นเต้นไม่เปลี่ยน ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาตอนนี้จะปราศจากหูซ้าย ดั้งจมูก เนื้อแก้มขวา สันกราม และปลายคางไปแล้ว แต่ดวงตาที่ยังเหลืออยู่เพียงดวงเดียวของเขาก็ยังสดใสไปด้วยประกายความหวังที่ยังไม่ดับมอดลง

            หน้านายซีด ๆ ป่วยหรือเปล่า  ฉันเอ่ยเรียกก่อนที่คนตรงหน้าจะหันหลังเดินจากไป  มีไข้นิดหน่อยครับ เดี๋ยวก็หาย  ช๑๒๕ ตอบ  ไปหาหมอสิ โรงพยาบาลรัฐไม่แพงหรอก อาจจะไม่ถึงพัน ถ้าเงินไม่พอก็มายืมไปก่อนได้  ฉันแนะนำด้วยความหวังดี  ขอบคุณครับ เดี๋ยวจะลองไปดูครับ  อีกฝ่ายพยักหน้า ทูนจดหมายจากลูกไว้แนบอก ใช้แขนที่เหลืออยู่ข้างเดียวค่อย ๆ ลากตัวเองไปตามพื้น ตอนนี้ช่วงล่างตั้งแต่สะโพกลงไปของเขาไม่เหลืออะไรเลย

            จนถึงวันครบกำหนดที่ต้องไปรายงานตัวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ช๑๒๕ ก็ไม่มาปรากฎตัวตามเวลา ๑๑.๐๐ น. ที่นัดหมาย ปรกติเขาไม่เป็นคนเหลวไหล กอปรกับยังจำสีหน้าซีดเซียวในครั้งล่าสุดที่พบกันได้ดี ฉันจึงตัดสินใจไปหาเขาที่ห้อง ตึก ๑ ชั้น ๒ ห้อง ๕ รู้โดยไม่ต้องเปิดข้อมูลอะไร เพราะชื่อ ช๑๒๕ ก็บอกทุกอย่างไว้ครบถ้วนอยู่แล้ว ฉันไปถึงหน้าห้องสังกะสีเก่าในเวลาเกือบเที่ยง อากาศร้อนระอุแผ่ออกมาจากทุกทิศทาง

            ฉันเคาะประตูอยู่สามครั้ง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับ ฉันตะโกนเรียกเข้าไป แต่ก็ยังไร้เสียงตอบรับอีกเช่นกัน ฉันตัดสินใจโทรให้พนักงานที่ออฟฟิศเอากุญแจสำรองที่สามารถไขเข้าห้องคนงานทุกห้องมาให้ ฉันยืนรออย่างกระวนกระวาย กุญแจห้องมาถึงตอนกริ่งบอกพักเที่ยงดังลั่นค่ายพอดี ฉันไล่พนักงานที่เอากุญแจมาให้กลับเพราะตรงกับเวลาพัก หลังจากนั้นจึงนำกุญแจที่เพิ่งได้มาไขห้องเข้าไป และเมื่อประตูเปิดออกกว้าง ภาพตรงหน้าก็ทำให้ฉันตกตะลึง

            ห้องคับแคบจนแทบจะไม่มีทางเดินนั่นมีสิ่งของแปลกหน้าบางอย่าง นั่นคือโต๊ะเขียนหนังสือที่น่าจะต่อประกอบขึ้นด้วยเศษไม้เหลือใช้จากงานก่อสร้าง สภาพเอียงกะเท่เร่พิโยกพิเกน บนโต๊ะซอมซ่อนั่นมีกระดาษวางอยู่ระเกะระกะ ทั้งกระดาษใหม่ที่ยังไม่มีร่องรอยเขียน ทั้งกระดาษถอดความจากลูกที่เขียนขึ้นด้วยลายมือฉัน มีปากกาเก่า ๆ วางอยู่สองสามด้าม บางด้ามเปิดฝาคาไว้ หัวปากกาบุบบิ่นเหมือนผ่านการเคาะมาจนนับครั้งไม่ถ้วน

            แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก ร่างกายของ ช๑๒๕ ต่างหากที่ทำให้มือของฉันเย็นเฉียบ เขาในตอนนี้เหลือสภาพเป็นก้อนเนื้อสีแดงก่ำก้อนหนึ่ง ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดใหญ่น้อย วางตั้งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือนั่น และเต้นอย่างเป็นจังหวะ  หลึบดึบ หลึบดึบ  เสียงนั่นก้องกังวานอยู่ในหู ฉันมองซ้ายมองขวาอย่างตัดสินใจไม่ได้ สาวเท้าเดินตรงเข้าไป กระดาษใบที่วางไว้บนสุดมีรอยเขียน คงจะเป็นจดหมายฉบับที่ ๗ เพียงแต่มันยังไม่ถูกพับและส่งมาจนถึงมือฉันเท่านั้นเอง

            ผมไม่เหลือเงินจะส่งจดหมายแล้ว แต่ผมขอจดหมายตอบกลับได้ไหม ลดให้ผมเหลือสัก ๕๐๐ บาทจะได้ไหมครับ ผมเหลือเงินอยู่เท่านี้  ก้อนเนื้อนั่นเต้นเป็นจังหวะ กลายเป็นคำพูด กลายเป็นสิ่งที่ฉันเข้าใจ ฉันกำมือแน่น มือที่เขียนจดหมายตอบเขามาตลอดเวลาที่ผ่านมา  นี่นายรู้ทุกอย่างอยู่แล้วเหรอ  ฉันตอบไปเท่ากระซิบ เบือนหน้าไปทางอื่น ต้องการจะหลบสายตา ถึงแม้ว่าก้อนเนื้อตรงหน้าจะไม่มีดวงตาเหลืออยู่ แต่ฉันก็ไม่อาจสู้หน้า ช๑๒๕ อย่างตรงไปตรงมาได้

            ลูกของผมตายไปตั้งแต่หนีออกมาจากหมู่บ้านพร้อมผมแล้วครับ เป็นไข้ป่า ความจริงผมส่งจดหมายไปเพราะว่าอยากรู้ว่าหมู่บ้านผมยังอยู่ดีหรือเปล่า หากถูกกวาดล้างไปแล้ว จดหมายคงไปไม่ถึง แต่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้จดหมายกลับมา  ชิ้นเนื้อของ ช๑๒๕ ตอบ  ก็รู้แล้วยังจะส่งให้เปลืองเงินอีกทำไม  ฉันก้มหน้า  ผมรู้สึกเหมือนมีเพื่อน รู้สึกเหมือนลูกยังอยู่ รู้สึกเหมือนมีบ้านให้กลับไป  ก้อนเนื้อนั่นบีบและคลายเป็นจังหวะ เปลี่ยนแปลงมาเป็นการรับรู้ ฉันเอื้อมมือไปคว้ากระดาษที่มีแต่ภาษาที่ฉันอ่านไม่ออกนั่นไว้  ช่างเถอะ ครั้งนี้ฉันไม่คิดเงิน

            ครั้งนี้รบกวนช่วยเขียนหัวกระดาษให้หน่อยได้ไหมครับ ...ด้วยชื่อผม  ก้อนเนื้อนั่นร้อง  ชื่ออะไร  ฉันหันไปถาม  ผมชื่อแซอาย / แซอาย  เขาตอบและฉันก็ทวนความ นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันตั้งใจสบตาเขาอย่างตรงไปตรงมา ช๑๒๕ ไม่สิ แซอาย ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ผิวขาวแต่กร้าน มีรอยกระและฝ้ากระจายอยู่เต็มใบหน้า ผมหยักศก มีรอยแผลเป็นบนแก้มซ้ายและแขนขวา และที่สำคัญ เขามีดวงตาใสบริสุทธิ์อันประกอบสร้างขึ้นด้วยความหลงใหลใฝ่ฝันอย่างที่ใครสักคนบนโลกควรจะมี

 

            เขาชื่อแซอาย

            เขามีชื่อ มีชีวิต ...และเป็นมนุษย์

 

 .......................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

 

 

           วรรณกรรมออนไลน์