เรื่องสั้น : โลกากระดาษเทา : พงศภัค พวงจันทร์

เรื่องสั้น : โลกากระดาษเทา : พงศภัค พวงจันทร์

 

          โลกใบใหม่ของเธอกำลังจะถือกำเนิด

          หัวใจที่เคยหวงแหนชีวิต บัดนี้ย้ายไปยังหัวใจดวงใหม่ซึ่งส่งแรงสั่นสะเทือนผ่านหน้าท้อง

          หญิงสาวหลับตา ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงถึงขีดสุด เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงร้องไห้ดังมากระทบโสต แม้จะอ่อนแรง แต่ริมฝีปากซีดขาวก็เผยออกเป็นรอยยิ้ม

          แม่สัญญา แม่จะปกป้องลูก จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย ลูกจะต้องเติบโต จะต้องมีความสุข ลูกจะได้ทำตามความฝัน แม่สัญญา...เรไร

. . . . . . .

          บรรยากาศรอบกายหนาวสะท้าน หญิงสาวยืนอยู่ริมหน้าต่าง เบื้องล่าง ลึกลงไปหลายสิบเมตรคือผืนป่าทอดยาวสุดลูกตา ไม่มีทางลง ไม่มีทางหนี ปสุตาอาศัยอยู่ที่นี่...หอคอยที่เปรียบเสมือนโลกทั้งใบ

          สามทศวรรษก่อนหน้า เธอนั่งกอดเข่าอยู่ในเมล็ดเปลือกแข็ง ครั้นเติบโตเป็นต้นกล้า ใครบางคนก็รดน้ำให้จนชุ่ม ป้อนของเหลวเย็นเฉียบลงดิน...เอ่อล้นอยู่ด้านใต้จนปลายรากบวมช้ำ ต้นกล้ากำลังจะเน่าตาย ทันใดนั้น นกตัวเขื่องร่อนระดับพื้น จะงอยแหลมคาบพืชน้อยสู่ท้องนภากว้างใหญ่ มันนำเธอมาคุมขัง บังคับให้เติบโตเป็นต้นไม้แคระแกร็น มีความสามารถในการวาดรูป...จมจ่อมอยู่กับห้วงจินตนาการ

. . . . . . .

          หญิงสาวนอนนิ่ง หน้ากากใสครอบทับปากและจมูก ข้างกายคือหน้าจอแสดงอัตราการเต้นของหัวใจ

          ร่างเล็กเดินเข้ามาหา ลูบฝ่ามืออ่อนระโหยบนเตียงอย่างรักใคร่ หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลายเป็นผู้ป่วย เด็กหญิงตัวน้อยเคยร้องเพลงตามผู้เป็นแม่ ฝ่ายหลังคือจิตรกรผู้รังสรรค์ท่วงทำนองได้ซาบซึ้งกินใจ ทั้งคู่เคยหัวเราะและโอบกอด ครั้นเวลาผ่านไป การเติบโตก็ทำให้ความสัมพันธ์แตกร้าว...

. . . . . . .

          หญิงสาวมีแขนขา มีกิ่งแข็งงอกจากร่างกาย หายใจผ่านใบเขียว ลำลียงอาหารผ่านรากและลำต้น

          บนหอคอยสูงใหญ่ ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ รอบตัวปสุตาคือกระดาษ วันหนึ่ง กิ่งใหญ่หักสะบั้น ความเจ็บปวดแล่นพล่านจนน้ำตารินไหล เธอยังไม่เข้าใจ ทำได้เพียงก้มมองชิ้นส่วนร่างกายของตนบนพื้น

          ท่อนไม้เริ่มเปลี่ยนสี...ค่อย ๆ ปริแตกและผ่ายผอม ในที่สุด ก็กลายสภาพเป็นกระดาษสีเทาขุ่น หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม กระดาษแผ่นนี้ผิดปกติ แทนที่จะเป็นสีขาวกลับเป็นสีเทา ครั้นลองใช้พู่กันแต่งแต้ม ก็สัมผัสได้ถึงความพิเศษ

          สีน้ำสีขาว...ครั้นปรากฏบนพื้นผิวสีเทา กลับเด่นชัดยิ่งกว่าลายเส้นใด ๆ ที่เคยวาด ทั้งวัน ปสุตาจมอยู่กับกระดาษแผ่นนั้น ถ่ายทอดความรู้สึกเหงาหงอย โศกเศร้า เปี่ยมสุข...ทุก ๆ ประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมาตลอดสามสิบปี ลายเส้นสีขาวกลายเป็นภาพที่เธอไม่เคยเห็น ใบหน้าแย้มยิ้มของสิ่งมีชีวิตเพศหญิง เจ้าของผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม ฉับพลัน หัวใจที่เคยหวงแหนชีวิต บัดนี้ย้ายไปยังหัวใจดวงใหม่

          ...เพียงปกป้อง ย่อมสามารถทำได้ทว่าเธอต้องการมากกว่านั้น

          ปสุตาไม่อยากให้มันถูกคุมขัง

          ด้านนอก แสงอาทิตย์ส่องสว่าง มือข้างหนึ่งคว้ากระดาษ ยื่นออกไปจนสุดแขน เสร็จแล้วต้องทำอย่างไร? เธอไม่อาจปล่อยให้กระดาษแผ่นนี้ปลิวไปกับสายลม หากพายุพามันไปยังแหล่งน้ำ เมื่อนั้นเจ้ากระดาษคงร้องไห้โหยหวน นั่นคือวันแรกที่หญิงสาวสัญญากับตนเองว่าจะหาทางออกจากขุมนรกให้จงได้

          ตกเย็น เจ้านกบินกลับมา ดวงตาคมปลาบกราดเกรี้ยว เป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันแรกที่ทำความรู้จัก ปสุตาเคยถามหาเหตุผลที่อีกฝ่ายพาตนมา แต่กลับได้รับคำตอบว่า ‘ข้ารู้สึกหวงแหน’...คำ ๆ นั้นแสดงออกผ่านการทำร้าย จะงอยปากจิกทึ้งผิวหนัง ฉีกกระชากเปลือกไม้และก้านใบ

          ตามปกติ หญิงสาวจะร้องไห้ ทว่าครั้งนี้กลับมองไปยังกระดาษแผ่นนั้น เพียงเห็นลายเส้นอันวิจิตร ก็เกิดกำลังใจจนไม่แยแสต่ออาการบาดเจ็บ

. . . . . . .

          ร่างเล็กยังคงฮัมเพลงไม่หยุด จากจังหวะเนิบช้าเริ่มกลายเป็นเนื้อร้อง...ภาวนาให้อีกฝ่ายกลับมา โหยหาไออุ่นและอ้อมกอดจากร่างบอบช้ำ

          ร่างบนเตียงพลิกตัว ส่งเสียงสะอื้นพร้อมน้ำตาที่รินไหล สติยังคงหลุดลอย แต่ก็เป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่ ‘ผู้สูญเสีย’ ต้องการสื่อ

. . . . . . .

          ทุกครั้งที่ลมพัดจนกระดาษพับย่น หญิงสาวจะกระวีกระวาดไปรีดให้เรียบ ยามที่น้ำฝนสาดกระเซ็น ก็จะรีบนำผ้าผืนบางมาซับอย่างทะนุถนอม ลายเส้นสีขาวปรากฏเป็นรอยยิ้ม ปสุตายิ้มตอบ มีความสุขทุกครั้งเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพสะอาดสมบูรณ์

          นกร้ายบินกลับมา ครั้งนี้สีหน้าปรากฏรอยยิ้ม มันสั่งให้ปสุตานั่ง สบตากันท่ามกลางแสงจันทร์สลัว หญิงสาวเกือบผุดยิ้ม...สีหน้าอารีของอีกฝ่ายกลับมาแล้ว ดังเช่นคืนแรกที่ทั้งคู่พบกัน นั่นทำให้เธอกล้าพอที่จะแนะนำรูปวาดให้อีกฝ่ายรู้จัก...รูปที่ถือกำเนิดจากความสุขและความเศร้า แน่นอนว่าเจ้านกเองก็มีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกเหล่านั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่แยแส มันสนใจเพียงเธอ จะงอยแหลมจิกลงบนใบหน้าของคู่ชีวิต ปสุตายกมือปัดป้อง เจ้านกเห็นดังนั้นจึงตวัดหัว ใช้จะงอยปากฟาดร่างเล็กตกเก้าอี้ เธอคว้ากระดาษไว้ในอ้อมแขน นกกักขฬะใช้กรงเล็บกระชากมันออกไป กระดาษส่วนหนึ่งขาดเป็นรู อีกส่วนฉีกออกจนเกิดเป็นรอยแยกบนใบหน้าของรูปวาด

          ปสุตาไม่สนใจสิ่งอื่น เธอพุ่งเข้าหาแล้วตบลงบนใบหน้าของเจ้านกสุดแรง

          ...ตลอดคืนนั้น เสียงกรีดร้องของหญิงสาวแผดลั่น นกร้ายจิกทึ้งเหยื่อจนสาแก่ใจ กระดาษสีเทายับย่นตกอยู่ในซอกผนัง มองเห็นภาพแห่งความโหดร้ายที่ไม่อาจลบเลือนจากห้วงทรงจำ

. . . . . . .

          บทเพลงใกล้จะสิ้นสุด ร่างเล็กสัมผัสได้ว่าท่วงทำนองกำลังส่งไปถึงดวงจิตของร่างไร้สติ

          ความคิดถึง ความรัก ความหม่นเศร้า...ได้โปรด ท่วงทำนองเหล่านี้จะทำให้อีกฝ่ายลืมตา

. . . . . . .

          รอยเลือดถูกทิ้งไว้เป็นทาง...ปสุตาลากสังขารไปตามพื้น โอบกอดกระดาษแผ่นนั้นทั้งน้ำตา บรรจงใช้เทปใสแปะที่รอยขาด

          กระดาษขยับ บอกเป็นนัยว่าเจ็บ หญิงสาวกำชับให้อดทน กระดาษเปล่งคำพูดออกมาเป็นครั้งแรก

          “เจ็บ! หยุดได้แล้ว”

          ปสุตาส่ายหัว ใช้เทปใสแปะลงไปจนมิด

          “บอกให้หยุดไง! หนูเกลียดแม่!”

          มือเขียวซีดพลันหยุดชะงัก ก่อนจะเริ่มแปะเทปใสต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงโวยวายของกระดาษดังขึ้นตลอดช่วงเช้า ปสุตายอมให้เป็นเช่นนั้น เธอยอมถูกเกลียด ดีกว่านิ่งเฉย มองรูปวาดฉีกขาดโดยไม่ทำอะไร

          เย็นวันนั้น เสียงกระพือปีกดังขึ้นอีกครา หญิงสาวกอดกระดาษน้อยไว้แนบอก นกร้ายพยายามไขว่คว้า ทว่าเธอกลับวิ่งหนี มันตะโกนด้วยความโกรธ รีบบินไปขวางหน้า ก่อนจะสะบัดหัว ตวัดกระดาษสีเทาลอยออกนอกหน้าต่าง

ปสุตารู้สึกราวกับหัวใจแตกสลาย เธอพุ่งตัวออกไป แต่กลับถูกกรงเล็บคว้าร่างเอาไว้ ดวงตารื้นน้ำจับจ้องกระดาษแผ่นน้อยปลิวหาย เบื้องล่างคือป่าทึบ แต่ใครจะรู้ ภายใต้แมกไม้เขียวอาจเป็นแม่น้ำเชี่ยวกราก

          ‘เรไร...ได้โปรดกลับมาหาแม่ เรไร...’

          เจ้านกดึงปสุตามาแนบอก ก่อนจะจิกทึ้งลงบนกิ่งก้าน หญิงสาวร้องไห้ ไม่อาจสู้แรงของเดรัจฉาน ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น...ท่วงทำนองอันคุ้นหู หากแต่นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ใด มันคือบทเพลงเอื่อยช้า เปี่ยมด้วยมนต์ขลังจนทำให้น้ำตาเอ่อท้นยิ่งกว่าเก่า

          ความคิดถึง ความรัก ความหม่นเศร้า...ทุก ๆ ความรู้สึกที่เธอมอบให้กระดาษแผ่นน้อยล้วนผสมผสานอยู่ในบทเพลง

          กระดาษสีเทาคงกำลังร้องเรียก มันกำลังเจ็บปวด ทรมาน ครวญหา โศกเศร้า...ความคิดดังกล่าวสั่งให้ปสุตากระโดด ปะทะร่างของเดรัจฉานจนล้ม เธอวิ่งไปหยุดที่หน้าต่าง แมกไม้สีเขียวรอรับอยู่เบื้องล่าง ด้านหลัง นกร้ายพยุงตัวเองลุกขึ้น แววตาแข็งกร้าวดุจลุกเป็นไฟ กรงเล็บแหลมกางออกเป็นสัญญาณว่าหากอยู่ต่ออาจได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต

          วินาทีนั้น หญิงสาวก็ทิ้งร่างสู่มวลอากาศ ลอยละลิ่วสู่ผืนป่ารกครึ้ม ไร้ซึ่งสิ่งใดรองรับ

. . . . . . .

          ความทรงจำอันเจ็บปวดฉายชัดอยู่บนภาพถ่าย ใบหน้าของปสุตาถูกรายล้อมด้วยกรอบรูป อุ้มเด็กน้อยในชุดเสื้อผ้าสีชมพูไว้ข้างกาย ใบหน้าไร้เดียงสาแย้มยิ้ม ในขณะที่ฝ่ายแรกทำได้เพียงยิ้มมุมปาก

ร่างเล็กมองมันพร้อมกัดฟัน ปล่อยโฮออกมาทั้งที่ปากยังร้องเพลง...นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงในภาพ

. . . . . . .

          สรรพเสียงรอบกายแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ปสุตาพบว่าตนเองนอนอยู่บนผืนดินชื้นแฉะ ไม่กี่นาทีก่อนหน้า หญิงสาวหล่นกระแทกกิ่งไม้ เศษแหลมปักทะลุเนื้อหนัง บาดผิวจนเลือดออก ครั้นเงยหน้า ก็เห็นหอคอยตั้งตระหง่าน เธอเป็นอิสระจากสถานที่ที่คุมขัง

          ทันใด ทำนองเพรียกหาก็ดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ปสุตาลุกขึ้น กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเสียงนั้น...เรไรกำลังขอความช่วยเหลือ เรไรอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย

          ตอนนั้นเอง เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านบน นกร้ายบินวนเหนือยอดไม้ ด้วยขนาดที่ใหญ่เกินกว่าจะแทรกตัวเข้ามา กระนั้น ปีกที่โบกสะบัดก็ส่งแรงลมมหาศาล ปสุตาล้มลง ศีรษะกระแทกก้อนหิน มั่นใจว่าไม่มีโอกาสรอดชีวิต

          ...แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เรไรก็อาจไม่รอดเช่นเดียวกัน

          นกร้ายกระแทกกิ่งไม้ ปราการใกล้พังทลาย หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอด ลุกขึ้นแล้วออกวิ่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ยอดไม้หักโค่น เดรัจฉานบินเรี่ยพื้น จะงอยแหลมพุ่งตรงมายังแผ่นหลัง เสียงเดียวที่ปสุตาได้ยินคือบทเพลงหม่นเศร้า

          ตุบ...

          ร่างเล็กสะดุด กลิ้งตกเนิน ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน บทเพลงชัดขึ้นเรื่อย ๆ ...ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ...

          “เรไร...” ในหัวของปสุตาเหลือเพียงรอยยิ้มของเด็กหญิง รอยยิ้มที่เธอวาดขึ้น และปรารถนาให้คงอยู่ตลอดไป กระดาษสีเทาแผ่นนั้นคือชีวิตที่หวงแหน...ยิ่งกว่าโลกทั้งใบของตนเอง

          เดรัจฉานบินลัดเลี้ยว ปสุตาวิ่งกะเผลก ท่วงทำนองอยู่อีกไม่ไกล อาจเป็นข้างหน้า...

          โครม!

          เสียงปะทะดังขึ้น ต้นไม้ต้นหนึ่งหักโค่น ศีรษะของเจ้านกกระแทกวัตถุหนักแข็งเต็มแรง ร่างนั้นร่วงลงกับพื้น...แน่นิ่ง ไม่ติงไหว

          หญิงสาวเงยหน้า ต้นไม้เมื่อครู่หาได้หักโค่น หากแต่ ‘ขยับ’ อย่างเจาะจงเป้าหมาย ทันใด สรรพสิ่งรอบตัวก็เปล่งเสียง เป็นทำนองที่กำลังตามหาอยู่ ต้นไม้นับสิบหลอมรวมเป็นต้นเดียว หยั่งรากโอบรัดเนินเขาประหนึ่งอ้อมกอดที่เธอถวิลหา เจ้าของเสียงที่ปสุตาไล่ตาม หาใช่กระดาษใบน้อย...หากแต่เป็น ‘ที่นี่’

          ดินแดนมาตุภูมิ...สถานที่ที่เลือนรางในห้วงทรงจำ

          ...ร่างเล็กนั่งกอดเข่าอยู่ในเมล็ดเปลือกแข็ง ครั้นเติบโตเป็นต้นกล้า ใครบางคนก็รดน้ำให้จนชุ่ม ป้อนของเหลวเย็นเฉียบลงดิน...เอ่อล้นอยู่ด้านใต้จนปลายรากบวมช้ำ

          เธอเคยเติบโต ณ ผืนดินแห่งนี้...ถูกรดน้ำมากเกินจนทรมานและปรารถนาชีวิตใหม่

          ที่ผ่านมา เหล่าต้นไม้ส่งเสียกเรียก ทว่าปสุตาไม่ได้ยิน กระทั่งมีกระดาษสีเทาใบน้อย เปรียบดั่งปราการขวางกั้นถูกเปิดออก หญิงสาวทำร้ายกระดาษเพราะไม่ต้องการให้มันเจ็บหนัก ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่มอบสายน้ำแห่งชีวิต ปสุตาเพิ่งเข้าใจ เธอเงยหน้า ขณะเอ่ยถ้อยคำที่ไม่เคยพูดตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา 

          “แม่...”

          ต้นไม้เหล่านั้นพร้อมใจกันขยับ ตอนนั้นเอง หางตาของหญิงสาวก็เหลือบเห็นสิ่งที่ตามหา...กระดาษสีเทาตกอยู่บนพื้น ใกล้กับจุดที่เธอยืนอยู่ ครั้นวิ่งเข้าไป กลับต้องหยุดชะงัก จุดที่กระดาษตกอยู่คือแอ่งน้ำ ปสุตาช้อนมันขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนจะพบว่ารูปวาดเด็กหญิงได้เลือนหายไปเสียแล้ว

          ร่างผอมทรุดลง โอบกอดกระดาษยับย่นด้วยหัวใจที่แตกสลาย ตอนนั้นเอง รถกระบะคันใหญ่ก็พุ่งจากความมืด แสงไฟสาดกระทบนัยน์ตาของปสุตา...นัยน์ตาที่มีเพียงความว่างเปล่า ไม่เหลือแม้แต่ชีวิตจิตใจ

. . . . . . .

          หญิงชราร่างเล็กกำลังร้องเพลง...แบบเดียวกับที่เคยร้องกับลูกสาว ฝ่ายหลังนอนไม่ได้สติ หล่อนลูบฝ่ามืออ่อนระโหยอย่างรักใคร่ ทันใดนั้น ราวกับปาฏิหาริย์ ปสุตาลุกขึ้นพร้อมกรีดร้อง เรียกชื่อเรไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้นหันมาเห็นใบหน้าของหญิงชราก็หยุดชะงัก หวนนึกถึงความทรงจำเมื่อไม่กี่วันก่อน

          “เรไร...”

          ผู้เป็นแม่พยักหน้า “ลูกไปสบายแล้ว...”

          น้ำตาของปสุตารินไหล เจ้าของท่วงทำนองที่เรียกเธอกลับมาหาใช่ลูกน้อย หากแต่เป็นแม่...ผู้ที่มอบความรักจนเกินความจำเป็น ดูแลใกล้ชิดดั่งไข่ในหิน เธอหนีออกจากบ้านตั้งแต่วัยรุ่น กระทั่งมีลูกสาว จึงเลือกกลับสู่มาตุภูมิ หนีจากชายกักขฬะผู้รังแต่จะทำร้าย ทว่าโชคชะตากลับกลั่นแกล้ง อุบัติเหตุพรากเด็กหญิงไปอย่างไม่มีวันกลับ สติของปสุตาหลุดลอย ติดอยู่ในห้วงจินตนาการ ผูกพันกับกระดาษสีเทาใบน้อย

          กระดาษแผ่นนั้นจากไปแล้ว...พร้อมกับรูปที่เธอวาด ไม่มีวันหวนกลับคืนอีก

          “แม่...ช่วยหนูออกมา..”

          ร่างเล็กพยักหน้า “เพลงที่แม่เคยร้องให้ลูกฟังไงล่ะ”

          “หนูก็เคยร้องเพลงนั้นให้เรไรฟังเหมือนกันค่ะ” น้ำตาของหญิงสาวไหลคลอเบ้า ก่อนจะโผเข้ากอดอีกฝ่าย...ผู้ที่ช่วยชีวิตเธอจากโลกแห่งความฝัน สถานที่ที่เต็มไปด้วยการไล่ล่า ท่วงทำนองอันอบอุ่นพาเธอกลับสู่การมีชีวิต ไออุ่นจากอ้อมแขนที่แม้ไม่ได้สัมผัสมานาน หากแต่ตราตรึงไม่เคยลืม

          ปสุตาหวนคิดถึงใบหน้าของลูกสาว แม้ไม่อาจกลั้นน้ำตา แต่กลับปรารถานาที่จะอยู่ในอากัปกิริยาเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน ความรักของผู้เป็นแม่ทุเลาได้กระทั่งความเศร้าโศกจากการสูญเสียที่สะเทือนใจที่สุด

          เรไรจากไปแล้ว เรไรไม่มีวันกลับมา เรไรจากไปแล้ว...จากไปแล้ว

          เธอบอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเป็นไปได้ ปสุตาก็อยากติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้...ดินแดนที่เปี่ยมด้วยความรักและความเข้าใจ

          โลกใบใหม่ของหญิงสาวถือกำเนิดขึ้นด้วยบทเพลงแห่งความรักนี้เอง

 

                                    ...................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์