เรื่องสั้น : สา-ระ-ถี : สุรวัฒน์ ชูผล
เรื่องสั้น : สา-ระ-ถี : สุรวัฒน์ ชูผล
มองจากระยะไกล หน้าบ้านผมอยู่บนเนินหลังเต่าพอดี ถนนดินแดงยาวคดเคี้ยวขึ้นลงเนินตามธรรมชาติของบ้านชนบทที่อยู่ใกล้ภูเขา ผมเพิ่งรู้ว่าบ้านอยู่สูงกว่าใครเพื่อนก็ตอนที่นั่งรถสองแถวประจำทางแล้วแวะบ้านไอ้กบเพื่อนร่วมห้อง เพื่อดูของเล่นที่พ่อมันส่งให้ พัสดุกล่องใหญ่ห่อมาอย่างดีติดตราไปรษณีย์ไทยหรา เด็กบ้านนอกอย่างผมไม่รู้มูลค่ามันหรอก แค่เห็นมีแถบสติกเกอร์มีรอยพิมพ์เป็นทางการ กล่องใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม ก็เหมาว่ามันดีที่สุดแล้ว น้อยคนนักจะได้มีโอกาสสัมผัสความตื่นเต้นเร้าใจ
พอแกะกล่องสีน้ำตาลออก เห็นตุ๊กตาหุ่นยนต์นอนอวดรูปโฉม ผมก็แทบคลั่งแล้ว !
ไอ้กบมีอะไรก็เจ๋งกว่าใครในบรรดาเพื่อน ทุกคนต่างมีฐานะพอ ๆ กันแหละ จะมีแต่ผมที่ด้อยกว่าคนอื่น ตอนเป็นเด็กก็ไม่ค่อยรู้สึกดอกว่ามันต่างกันแค่ไหน ไม่รู้ความจนความรวยคืออะไร รู้แต่เราเล่นด้วยกัน อีกคนคือไอ้หนั่น ไอ้หนั่นก็อยู่ในก๊วนเดียวกัน บ้านมันอยู่ถัดไปจากผม ส่วนไอ้กบอยู่ต้นทาง – ผมคิดว่าไอ้หนั่นน่าจะจนเพราะมันก็ธรรมดาเหมือนผม จนกระทั่ง...
เช้าวันที่ไอ้หนั่นขี่รถจักรยานขึ้นเนินมานั่นแหละ ผมยืนอ้าปากค้าง จักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ใหม่ ! สีแดง คาดสติ๊กเกอร์สีขาวโคตรเท่ “ไอ้หนั่นจักรยานใครวะ !” ผมร้องตะโกนตอนมันขี่ผ่านลงเนินไปอย่างรวดเร็ว มันเหลียวหันมาหัวเราะร่า ผมได้แต่ยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก จะวิ่งก็ไม่วิ่ง เพราะไม่คิดว่าไอ้หนั่นมันจะจอดรอ
แต่พอผมร้องเรียกมันอีก มันเลยจอดห่างไปตั้งโยชน์ มันว่าเบรคไม่อยู่เพราะตอนขี่ขึ้นเนินออกแรงเต็มที่ พอพ้นเนินก็แล่นฉิวยังกับจรวด
“เป็นไงล่ะจักรยานใหม่ สวยละซีมึง” มันยืนขี่ขึ้นเนินมา ขี่วนไปมาไม่ยอมให้ผมได้จับ
“เจ๋งกว่าหุ่นยนต์เสียอีก”
“คันเท่าไหร่วะหนั่น”
“ไม่รู้ แต่แพง ของแท้ด้วย”
“แพงกว่าหุ่นไอ้กบมั้ย”
“แพงกว่าพันเท่า !”
ผมเห็นด้วยกับมัน หุ่นนั่นไม่มีอะไรไปมากกว่าเปิดไฟกระพริบ ส่งเสียงครางแฮ่ ๆ แล้วเดินหน้าถอยหลัง ผมเองก็มีจักรยานแต่วงล้อมันเบี้ยวไปตั้งแต่ขี่ตกคูข้างทาง แม่ไม่ยอมเปลี่ยนให้ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ปล่อยมันนอนเท้งเต้งไว้
“ไม่ต้องเปลี่ยนดอก ยังไงเอ็งก็นั่งสองแถวอยู่แล้วนี่ - จะไปเสียเงินทำไม บอกแล้วให้รักษาของ...” แม่ตั้งท่าบ่นใส่ผม ไอ้หนั่นบอกให้ผมไปเอากระเป๋า
“มึงจะไปกับกูเปล่า มาเร็ว ๆ ซี”
ผมวิ่งไปซ้อนท้าย มันก็ขี่ลงเนินหนีอีก ผมก็วิ่งตามมันจนหอบ
รถสองแถวก็มี แต่โอกาสได้ซ้อนท้ายจักรยานสวย ๆ มันเท่อย่างบอกไม่ถูก ที่สำคัญมันให้ผมเป็นคนขี่เข้าโรงเรียนด้วย
...
จักรยานไอ้หนั่นจอดราวกับรถในห้าง นักเรียนรุ่นน้องตั้งแต่ประถมหนึ่งขึ้นมาต่างแวะเวียนมาส่องหน้าห้องเรา “เฮ้ยน้อง ! อย่าแอบมาขี่เล่นน่ะ” เสียงเพื่อนในห้องต่างออกตัวแทนเจ้าของอย่างไอ้หนั่นที่ไม่ได้ใยดีอะไรนักหนา
“ปล่อยมันลูบไป อย่าไปเอ็ด เดี๋ยวครูก็ว่าเอาดอกมึง”
ไอ้กบนั่นแหละคนแรกที่ไปโบกไม้โบกมือไล่เด็ก ๆ
“ชิ่ว ชิ่ว ไปให้พ้น เดี๋ยวจักรยานเป็นรอยเจอดีแน่”
...
ผมนั่งเท้าคางที่หน้าต่างดูการออกท่าของไอ้กบ ไม่รู้มันจะวางก้ามไปทำไม รถก็ไม่ใช่ของตัวเองซะหน่อย ผมคิดตอนขี่ผ่านกลุ่มนักเรียนหญิงแล้วมันเท่ มีเสียงคนร้องทักว่า ‘รถจักรยานสวย’ ผมเหลือบไปมองแอบยิ้มหัวใจพองโต
ไอ้หนั่นมันต้องขี่ไปโรงเรียนทุกวัน มันก็ต้องผ่านหน้าบ้านผม
และผมก็ได้ซ้อนท้ายมาโรงเรียน ไม่ต้องเสียเงินค่ารถสองแถว
แถมไอ้หนั่นยังให้ขี่อีกด้วย บอกแล้วเท่ชะมัด!
...
“รถจักรยานใคร ? แล้วทำไมเอ็งไม่ขึ้นสองแถว หึ ?” แม่เท้าสะเอว อีกมือจับตะหลิว ท่าแกเหมือนจะตีผม แต่เปล่าดอกแกกำลังเหนื่อยทำกับข้าว ผมปฏิเสธเรื่องขึ้นรถสองแถว ผมไม่ได้อยากได้รถจักรยาน แค่จะบอกว่าผมจะซ้อนท้ายเพื่อนไปโรงเรียนแทน
“เอ็งซ้อนท้ายเพื่อนไปโรงเรียน งั้นแม่ไม่ต้องให้เงินก็ได้ – ใช่มั้ย ?”
ผมหน้าชาไปชั่วขณะ เพิ่งรู้ตัวว่าไม่น่าไปเล่าเรื่องรถจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์เท่ ๆ ของไอ้หนั่นเลย
“ไม่เกี่ยวกันสิแม่ !” ผมรีบเดินหนีก่อนจะเสียเปรียบไปกว่านี้
...
รุ่งเช้า ผมมายืนดักรอมันตั้งแต่เจ็ดโมง กว่าไอ้หนั่นจะมาก็โน่นแหละ เกือบแปดโมงเพราะมันตื่นสาย โรงเรียนอยู่ปากทางราวห้ากิโลเท่านั้น มันไม่ไกลถ้านั่งรถสองแถวแค่อึดใจเดียว แต่ถ้าเดินผมก็ไม่เอาดอก
แสงแดดส่องพ้นแนวต้นไม้มา จากเนินที่ผมยืนเห็นไอ้หนั่นปั่นจักรยานมาแต่ไกล พอมาถึงมันก็เปลี่ยนให้ผมขี่แทน เพราะมันขี้เกียจ “มึงขี่แทนกูเลย” ผมขี่ มันกระโดดขึ้นซ้อน จักรยานแล่นลงเนินแบบไม่ต้องออกแรง ผมรู้สึกเป็นคนสำคัญขึ้นมาทันที !
ผมรู้สึกเป็นเจ้าของจักรยานนิด ๆ แต่ไม่กล้าพูดออกไป แต่มันรู้สึกท่วมท้นจริง ๆ
...
วันที่สอง ผมตื่นแต่เช้ากว่าเดิมอีก ราวหกโมงครึ่งผมเอาเก้าอี้มานั่งรอไอ้หนั่นหน้าบ้าน ผมกลัวจะพลาดกับมันนะ แต่ผมตื่นเช้าไปหน่อยเลยนั่งหลับตอนที่มันมาเรียกอยู่ จะบอกความจริงก็เขินอาย ไอ้หนั่นให้ผมขี่จักรยานเหมือนเคย มันเปรยว่าชักขี้เกียจขี่มาโรงเรียนแล้ว นั่งรถสองแถวสบายกว่ากันเยอะ
ผมกลัวมันเปลี่ยนใจจึงอาสาว่าจะเป็นคนขี่เอง ไอ้หนั่นว่า
“งั้นมึงมาหากูที่บ้านซี จะได้ออกไปโรงเรียนพร้อมกัน”
...
วันถัดมา ผมตื่นแต่เช้าอีก สะพายกระเป๋าแล้วเดินย้อนกลับไปที่บ้านไอ้หนั่น จากเนินที่ผมยืนอยู่มองเห็นบ้านมันอยู่ลิบ ๆ รอบนี้ผมเหมาขี่รถจักรยานตั้งแต่ต้นจนจบ พอช่วงบ่ายผมชักปวดขา เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ระยะทางมันชักไกลกว่าตอนแรก ไอ้หนั่นเองก็ดูไม่สนใจนัก ตอนขี่เข้าโรงเรียนก็ไม่มีใครสนใจแล้ว ทุกคนรู้ว่ามันไม่ใช่จักรยานของผม...
...
วันที่สี่ ผมตื่นสาย ตื่นมาก็แปดโมงแล้ว ออกมานั่งรอไอ้หนั่นก็ไม่เห็นมัน เดินไปถามแม่ แม่ก็ว่าไม่รู้ ก็พอดีรถสองแถวเที่ยวเช้าบีบแตรเรียก ในรถมีนักเรียนเต็มแน่น ผมลังเล คนขับตะโกนถามไม่ไปแน่หรือ ? ผมอึกอัก ตัดสินใจนั่งรอไอ้หนั่น
แล้วมันก็ขี่มาจริง ๆ แต่ขี่มาแบบทุลักทุเล มันว่า มันก็รอผมอยู่ที่บ้านตั้งนานไม่เห็นผมไปซักที ผมอ้างว่าช่วยแม่หุงข้าวอยู่
ทั้งที่ความจริงผมเองก็เริ่มปวดขาไม่ไหว
...
วันที่ห้า ผมก็ตื่นสายเหมือนเดิม มานั่งเก้าอี้รอ รถสองแถวตะบึงขึ้นเนินมาพร้อมบีบแตรเป็นระยะ ๆ แต่ผมตั้งใจแล้วว่าเดี๋ยวไอ้หนั่นคงขี่มารับผม เพราะเมื่อวานมันรับปากว่าจะแบ่งกันขี่คนละครึ่งทาง
รถสองแถวจอดตรงหน้าผมพอดี คนขับเป็นลุงก้มหน้ามาถาม
“เอาไงไปเปล่าไอ้หนู ? นี่คันสุดท้ายแล้วนะ”
พอดีแม่เดินออกมา “อ้าวทำไมไม่ไปเล่า ค่ารถก็ให้ทุกวันยังจะงกอีก ไอ้ลูกคนนี้” แม่พูดเสร็จหันไปคุยกับลุงคนขับ ทั้งสองรู้จักกันดี
“นี่ถ้าเพื่อนไม่มา เอ็งได้เดินไปโรงเรียนแหละ” แม่พูดก่อนเดินเข้าบ้านไป
ผมชะเง้อมองหาไอ้หนั่น แต่ก็ไม่เห็นมันมาซักที
รถสองแถวแบกนักเรียนเต็มคันออกไป เสียงคุยเซ็งแซ่ ก่อนที่รถจะลงเนินแล่นฉิว เสียงไอ้หนั่นตะโกนมา ผมตกใจหันรีหันขวางหามัน แต่กลับไม่เห็น แต่ที่จริงตัวมันอยู่ในรถสองแถว ผมหันไปเห็นไอ้หนั่นโผล่หน้าออกมากวักมือให้ผมวิ่งตามไป รถกำลังแล่นลงเนิน ผมไล่ไม่ทันพวกมันก็เอาแต่หัวเราะจนรถแล่นไปไกล
ผมหอบแฮ่ก ๆ แล้วกันไอ้หนั่น ทำไมมันทำแบบนี้ !
...
“กูขี้เกียจขี่ ไม่ไหวแล้ว แล้วเอ็งก็ไม่ไปช่วยกันขี่ ?” ไอ้หนั่นมันต่อว่าผมในห้องเรียน ผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน บ้านมันดันอยู่ปลายเนินโน่นแน่ะ ไกลชะมัด !
แล้วรุ่งเช้าอีกวันระหว่างที่ผมเดินย้อนไปที่บ้านมัน ผมเห็นมันกลายเป็นคนซ้อนไปเสียฉิบ ไอ้เพชรขี่วิ่งผ่านหน้าผมไป ไอ้หนั่นร้องตะโกนว่า
“ไอ้เพชรมันอาสาขี่ให้กูแล้ว ฮ่า ๆ” ทั้งสองคนโบกมือผ่านไป ผมอ้ำอึ้งได้แต่มองตามรถจักยานสีแดงคันเท่
ในห้องเรียนผมเหลือบมองรถจักรยานเป็นระยะ ไม่รู้ทำไมถึงมอง รู้สึกอยากขี่ พรุ่งนี้ผมจะไปบ้านมันแต่เช้า ผมจะอาสาขี่ให้ไอ้หนั่นทั้งไปทั้งกลับเลยทีเดียว
...
เสียงไก่ขันดังตั้งแต่ตีสี่ ผมลืมตาตื่น เสียงแม่ขยับตัวไปมา ผมนอนคิดว่าจะตื่นสักกี่โมงดี กี่โมงดีนะ แล้วผมก็ม่อยหลับไปอีก… ผมสะดุ้งตื่น! เพราะแม่เอาตีนเขี่ยว่าสายแล้ว ผมใส่เสื้อคว้ากระเป๋า น้ำก็ไม่อาบ วิ่งมาหน้าบ้านพอดีกับที่ ไอ้หนั่นเพื่อนยากกำลังขี่รถจักรยานแล่นลงเนิน มันและไอ้เพชรที่ซ้อนท้ายอยู่ส่งเสียงเฮฮากระตู้วู้ยังกับเด็กผู้หญิง ผมร้องตะโกนเรียกชื่อมัน ไอ้หนั่นโบกมือให้ มันพูดอะไรไม่รู้
ผมมองตามอย่างเสียใจ – ไหนบอกจะให้กูขี่ไงเล่า !
...
อาทิตย์ต่อมาผมเลิกสนใจเรื่องจักรยานแล้ว ขึ้นรถสองแถวดีกว่า ยังไงแม่ก็จ่ายค่ารถอยู่ดี ผมเจอไอ้กบที่หน้าบ้าน มันแซวผมว่าไม่ไปเป็นสารถีให้ไอ้หนั่นมันเล่า ผมเบะปากบอกขี้เกียจ ขี่รถจักรยานขึ้นเนิน เมื่อยจะตาย ไม่ไหวแถมยังต้องซ้อนอีกคนด้วยซ้ำ ไอ้กบว่าน่าจะผลัดกันขี่จะได้ไม่เหนื่อยนัก ผมว่ามันได้ไอ้เพชรช่วยแล้ว เห็นมันซ้อนกันยังกับคู่รักไททานิค ผมทำท่าสยายกางปีกล้อเลียนทั้งที่อิจฉา
“กูว่าไอ้หนั่นมันจะไม่ไหวเอานะซี ขี่พาไอ้เพชรไปโรงเรียนทุกวัน” ผมไม่ค่อยเข้าใจที่มันพูดนัก
“เดี๋ยวมันสองคนก็ผลัดกันขี่เองแหละ” ผมไม่ใคร่ใยดีนัก
รถสองแถวมาถึงโรงเรียนตามเวลาพอดี ผมยังไม่เห็นสองคนนั้น เสียงเพลงเคารพธงชาติดังขึ้น ผมกระหยิ่มยิ้มย่องถ้าขี่รถจักรยานกับไอ้หนั่นเป็นต้องได้เข้าโรงเรียนสายทุกที
ทำเท่แต่ถูกจดชื่อหน้าโรงเรียน
เสียงโหวกเหวก เพลงชาติกำลังจบลงพอดี ผมหันไปหาต้นเสียงที่ประตูโรงเรียน ไอ้หนั่นขี่จักรยานเข้ามาจอด มีไอ้เพชรซ้อนท้าย ครูผู้ชายช่วยประคองแขนมันลงมายืน ที่ขามันใส่เฝือกอ่อนอยู่ ครูส่งไม้เท้าค้ำยันให้ไอ้เพชรพยายามประคองตัวเดินเขยก ๆ ไปที่ห้องเรียน ไอ้หนั่นจูงจักรยานไปจอดที่คอกรถ ท่าทางมันเหนื่อยหอบ ไอ้กบยืนอยู่ข้างหลังผมมันว่า
“กูบอกแล้วว่ามันจะขี่ไม่ไหว พรุ่งนี้ช่วยมันขี่หน่อยซี บ้านมึงก็ทางเดียวกันนี่”
ผมหน้าชาเพราะอะไรไม่รู้ ก่อนตอบไอ้กบไปว่า
“เออ ๆ เดี๋ยวกูเป็นสารถีให้พวกมันเอง...”
...........................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”