เรื่องสั้น : ตาสว่าง : อนุสรณ์ วิวัธนชัย

เรื่องสั้น : ตาสว่าง : อนุสรณ์ วิวัธนชัย

 

          สมัยเป็นเด็ก  โตชอบวิ่งไล่ตามดูฝรั่ง  โบกไม้โบกมือ  พูดภาษาอังกฤษเท่าที่จะนึกออก  โตทึ่งในความเป็นฝรั่ง  นับตั้ง แต่สรีระภายนอก  ผมสีทองละเอียด  ดวงตาสีฟ้า  สีเขียว  สีเทา  สวยงามดูไม่น่าที่จะเป็นลูกตาคน  มันน่าจะเป็น ลูกแก้วสวย ๆ เหมือนที่โตมีอยู่ในกระเป๋ากางเกงเสียมากกว่า  ผิวหรือก็ขาวทำให้ดูสะอาดตา  ผิดกับผิวของโตซึ่งดำคล้ำ  ยิ่งตอนวิ่งเล่นเหงื่อ ออกทั้งเนื้อทั้งตัวดูสกปรกไปหมด

          ภาษาที่ฝรั่งพูดนั้น  ก็ฟังแสนจะไพเราะ  มีเสียงพ่นลมซ่า ๆ  และเสียงหนักเสียงเบา  เพราะมีฐานเสียงแตกต่างไปจาก ภาษาไทยที่โตพูด  แต่ที่โตดูไม่เบื่อเลยคือการแสดงสีหน้าสีตา  ท่าทางยกมือยกไหล่เวลาพูด  โตพยายามจดจำและฝึกฝน ตลอดเวลา

          ความฝันของโตคือการได้มีเพื่อนฝรั่ง  หรือถ้าจะให้พูดตรงเป๊ะเข้าจุด  โดยไม่กระดากคือ  “โตฝันอยากมีแฟนเป็นฝรั่ง  การได้อยู่รวมกลุ่มกับฝรั่งและการที่พวกเขายอมรับว่าโตเป็นสมาชิก คนหนึ่งของพวกเขา”

          หลังจากโตเรียนจบมัธยมปลายแล้ว  โตสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาไม่ได้  ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน  คนหัวปานกลางแบบโต เขาไม่เอา  เขาจะเอาแต่พวกหัวดี ๆ  โชคดีที่ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเวียดนาม  โตเป็นคนมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดี  จึงได้ทำงาน เป็นล่ามให้กับทหารอเมริกัน  ได้ฝึกฝนภาษา เพิ่มเติมและทำงานร่วมกับกลุ่มคนที่โตบูชา

 

          และแล้ววันหนึ่ง  ความฝันของโตก็เป็นความจริง  เพื่อนของโตที่ไปอยู่อเมริกา  ชวนโตให้ไปอยู่ด้วย  โตแทบจะไม่ ต้องคิด  ทันทีที่ได้รับไอเทวนตี้จากโรงเรียนสอนภาษา  และสถานทูตอเมริกันตีประทับตราวีซ่าให้หนึ่งปี  โตก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน  เที่ยวแรกสุดออกจากเมืองไทยบินตรงสู่นครนิวยอร์ค

          เพื่อนของโตเช่าอพาร์ตเม้นท์อยู่รวมกับเพื่อน ๆ อีกสองคน  เป็นห้องเดี่ยวหรือที่เรียกว่าสตูดีโอ  ซึ่งเป็นห้องโล่ง ๆ สี่เหลี่ยม  มีห้องน้ำและครัวเล็ก ๆ  ห้องแบบสตูดิโอมีราคาถูกที่สุด  เพราะออกแบบสำหรับให้อยู่คนเดียว  คนที่อยู่ส่วนใหญ่เป็นคนโสด  หรือคนที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูกเต้า

          ถึงห้องหับจะคับแคบ  แต่ก็ไม่ถึงกับเหลือทน  เพราะเพื่อน ๆ ที่อยู่ด้วยกัน  ทำงานต่างเวลากัน  บางคนทำตอนเช้า  บางคนทำตอนบ่าย  บางคนทำตอนกลางคืน  โตไปอยู่ไม่กี่วัน  เพื่อนก็พาไปทำงานล้างจานในค้อฟฟี่ช้อป

          โตเริ่มทำงานตอนสี่ทุ่ม  เลิกเจ็ดโมงเช้า  หลังกินข้าวมื้อเช้าจากค้อฟฟี่ช้อป  โตก็ไปเรียนที่โรงเรียนภาษา  ซึ่งเป็นโรง เรียนที่ออกไอทเวนตี้ให้โตเดินทางมา  โตแทบจะไม่จำเป็นต้องเรียนที่นี่  เพราะภาษาอังกฤษของโตอยู่ในขั้นใช้ได้ดี แต่ที่ต้อง เรียนเพราะไอทเวนตี้ของโรงเรียนภาษาขอได้ง่ายที่สุด  ค่าเรียนถูก  และค่อนข้างจะอะลุ้มอล่วยเรื่องการเข้าเรียน  ตราบใด ที่ยังจ่ายค่าเล่าเรียนให้

 

          หลังจากอยู่นิวยอร์คได้สองปี  พอเก็บเงินได้  โตก็ย้ายไปอยู่เมืองเมอร์ฟรีส์โบโร่  ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ในรัฐเทนเนซซี่  โตมีเพื่อนอยู่ที่นั่น  เพื่อนโตทำงานอยู่ในโรงงานผลิตกระเป๋าแซมโซไนท์  ทางโรงงานต้องการคน  เพื่อนจึงรีบโทรมาบอกโต

          ค่าใช้จ่ายในเมืองนี้ถูกกว่าในนิวยอร์คมากไม่ว่า จะเป็นค่าเช่าบ้าน  ค่าอาหาร  ค่าเรียน ฯลฯ  ที่นี่โตเข้าทำงานช่วงบ่าย  และเข้าเรียนตอนเช้าที่มหาวิทยาลัยในเมือง  เมืองที่โตย้ายมา เป็นเมืองเล็กมาก แถมยังห้ามขายเครื่องดื่มเข้าแอลกอฮอล์ ทุกประเภท  ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของ เมืองคือมหาวิทยาลัย คุณภาพชีวิตของโตเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ  เงินที่ได้รับจากการทำงานในโรงงานผลิตกระเป๋านั้น มากกว่าเงินที่ได้รับจากการ ทำงานในนิวยอร์ค  แต่ค่าใช้จ่ายกลับถูกกว่า  แถมยังได้เข้าเรียนระดับอุดมศึกษาด้วย  และที่สำคัญ  โตได้พบกับ แซนดี้ หญิง สาวชาวอเมริกันซึ่งทำงานเป็นพนักงานธนาคาร

          หลังจากพบกันได้ไม่นาน  แซนดี้ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตที่โตโคจรไปรอบ ๆ  แซนดี้คือฝันที่เป็นจริง  เธอคือ รางวัลถ้วยทองแห่งความสำเร็จของโต  ถึงแซนดี้จะเจ้าเนื้อไปนิด  แต่เธอก็มีผมสีทองสว่างไสว ละเอียดอ่อนนุ่ม  ผิวขาวสะอาด  ดวงตาสีฟ้าซีดอมเทาแม้ว่าจะดูจืดไปนิดเหมือนคนตาถั่ว  ไม่สวยเหมือนสีฟ้าเข้มสดใสของอลิซาเบ็ธ เทย์เลอร์ นางเอกเลอโฉม ของฮอลลีวู้ดในอดีต  คุณลักษณะเด่นของแซนดี้ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นหาไม่ได้ในผู้หญิงคนไทย  ไม่ว่าจะเป็นเทพีสงกรานต์ หรือเทพีงานวัดไหนๆ  โตแสนที่จะภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองที่คว้าเอาหัวใจของ แซนดี้มาครอบครองไว้ได้  เขาจะคุยโอ่เรื่องวีรกรรมการพิชิตหัวใจของแซนดี้  กับคนไทยทุกคนที่สนใจจะฟัง

          มีคนปากบอนหลายคนแอบนินทาว่าถ้าแซนดี้ไม่ได้แฟนเป็นโต  ชาตินี้ก็คงหาแฟนไม่ได้  เพราะนอกจากหน้าตาขี้เหร่  เหมือนปลาตายแช่น้ำแข็งแล้ว  ปากยังคมเหมือนกรรไกรตัดขนในห้องทำคลอด !

          แซนดี้เป็นคนผิวไม่มีสี  ดูเหมือนคนเผือก  แต่สำหรับโต  หน้าอันขาวเผือดของเธอนั้น  โตคุยฟุ้งเสมอว่าเหมือนดาราหนัง “ซิสซี่ สเปเซ็ค” ที่โด่งดังมาจากหนังเรื่อง “แครี่”  ส่วนมธุรสวาจาที่เหมือนกับคนไม่เคยเข้าสังคม  หรือคนที่ไม่เคยได้รับการสั่ง สอนนั้น  โตให้ความเห็นอย่างภูมิใจว่า  แซนดี้เป็นคนตรง  มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง  ตามลักษณะหญิงเหล็กอเมริกัน  สรุปว่า แซนดี้สำหรับโตนั้นคือ “บทกวีแห่งความรัก”

          โตได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น “โจ” ทันทีที่เท้าสัมผัสแผ่นดินอเมริกา  โตจะพูดภาษา ไทยผสมอังกฤษ  หรือแกล้ง พูดคำไทยให้เสียงแปร่ง ๆ โดยเฉพาะคำว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” โตจะ พูดว่า “อะฮะ” หรือ “อ่ะอ่า” แทนเสมอ

          โตจะมีหนังสือพ๊อกเก็ตบุคภาษาอังกฤษถือติดมืออยู่ตลอดเวลา  ลักษณะที่แสดงออกทางสีหน้าสีตาของโตจะผิดกับ คนไทยทั่วไป  การบิดริมฝีปาก  หรือการใช้ลิ้นดันกะพุ้งแก้ม โตคิดว่า การทำสิ่งเหล่านี้เป็นการยกระดับตัวเขาขึ้นมา  เพื่อให้ คนไทยทั่วไปรู้ว่าโตไม่ใช่คนไทยขี้เท่อแบบพวกเขา  โตเป็นฝรั่งที่ติดอยู่ในร่างของคนไทย  เหมือนดั่งพระสังข์ทองที่แอบซ่อน อยู่ในร่างของเจ้าเงาะ !

          โตพยายามทำทุกอย่าง  ที่เขาคิดว่าจะทำให้คนอเมริกันยอมรับว่า  เขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกัน  เริ่มตั้งแต่เป็น สมาชิกทีมโบลลิ่ง  ที่แข่งกันทุกคืนวันพุธ  เล่นโป๊กเก้อร์ทุกคืนวันศุกร์  ใส่หมวกเบสบอลของทีมประจำเมือง  ดูอเมริกันฟุตบอล ตอนบ่ายวันอาทิตย์  และคุยฟุ้งเรื่องฟุตบอลตอนเช้าวันจันทร์  ฯลฯ

 

          คนเอเซียโดยทั่วไป  จะถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน  แต่โตจะเดินลุยเข้าไปทันที  ไม่ว่าจะเป็นบ้านใคร  เจ้าของจะพอใจ หรือไม่  เพราะว่าฝรั่งไม่มีธรรมเนียมถอดรองเท้าเวลาเข้าบ้าน  แม้ว่ารองเท้านั้นจะได้เหยียบย่ำเข้าห้องสุขาสาธารณะที่นอง ไปด้วยน้ำอุจจาระและน้ำปัสสาวะ  บนถนนที่คนขากเสลด  หรืออาเจียนเวลาเมา  ขี้ของสัตว์เช่นหนูหรือหมาแมว  สิ่งเหล่านี้เมื่อ แห้งจะกลายเป็นฝุ่นผง  ติดพื้นรองเท้าที่เหยียบย่ำลงไป  และถูกนำเข้ามาในบ้าน  ลุยเข้าไปถึงห้องนอนและเตียงนอน  เชื้อโรค ที่นำเข้ามาจะกลายเป็นฝุ่นที่ลอยอยู่ในบ้าน  รอให้คนหายใจเข้าไปในร่างกาย  พวกฝรั่งถึงได้เป็นโรคแปลก ๆ ที่เราไม่เคยได้ยิน  โดยเฉพาะเด็กทารกที่เริ่มคลาน  ถ้าเรื่องนี้กลับกัน  ฝรั่งไม่ใส่รองเท้าเข้าบ้าน  แต่คนเอเซียใส่  จะต้องมีฝรั่งออกมาวิจารณ์ถึง ความงี่เง่าของคนเอเซีย  แล้ววิเคราะห์ออกมาว่าพื้นรองเท้านั้นมีเชื้อโรคกี่ร้อยชนิดติดมาด้วย  ทุกครั้งที่กลับเข้าบ้าน  เชื้อโรคที่ ติดมาใต้เท้าซ้ายกับใต้เท้าขวานั้นแตกต่างกันอย่างไร  ในหนึ่งเดือนหรือหนึ่งปี  ครอบครัวโดยเฉลี่ยที่มีสมาชิกสี่คน  จะนำเชื้อ โรคเข้าบ้านเป็นจำนวนเท่าใด  ชนิดใดบ้าง  คิดเฉลี่ยในหนึ่งตารางนิ้วของพื้นรองเท้า  จะมีเชื้อโรคกี่สิบชนิด  แต่ละชนิดมีความ รุนแรงและสามารถทำอันตรายต่อมนุษย์ได้อย่างไรบ้าง ฯลฯ

          เรื่องเก๋ไก๋สุด ๆ อีกอย่างสำหรับโตคือการกินข้าวโดยใช้ส้อม  แม้ว่าจะเห็นอยู่ชัด ๆ ว่า  ช้อนนั้นใหญ่กว่าและใช้ตักข้าว ได้ดีกว่าส้อม  ซึ่งออกแบบมาใช้สำหรับจิ้มของ ไม่ใช่สำหรับตักของที่เป็นเศษเล็ก ๆ เช่นเมล็ดข้าว  ที่สามารถร่วงผ่านช่องว่าง ระหว่างซี่ของส้อม  คนกินข้าวจุอย่างโตจะต้องใช้เวลากินข้าวนานขึ้นเป็นสองหรือสามเท่า  เพราะส้อมนั้นตักข้าวได้น้อยกว่า ช้อนแถมยังร่วงกลับลงบนจานหรือพื้นขณะที่ยกเข้าปาก  แต่โตก็ยินดีจะใช้ส้อม  เพราะเก๋เหมือนฝรั่ง  ถ้าฝรั่งใช้ส้อมกินแกงจืด หรือต้มยำ  โตก็คงจะทำตามอย่างแน่นอน !

          ประเพณีอีกอย่างของฝรั่งคือการจูบปากสัตว์  พวกเขาคิดว่าเมื่อมนุษย์แสดงความรักต่อกันด้วยการจูบปาก  ฉะนั้นมัน ควรจะใช้ได้กับสัตว์ด้วย  บางคนหลังจากจุ๊บปากสัตว์แล้วกลับโดนสัตว์กัดจนหน้าตาเละ  และที่สำคัญ  ระบบภูมิต้านทานของ สัตว์กับคนไม่เหมือนกัน  หมาสามารถกินอุจจาระ  กินน้ำในอ่างชักโครกได้  กินของเน่า ๆ ได้  คนกินไม่ได้  แต่คนดันทะลึ่งจูบปาก หมาหรือแบ่งไอศกรีมกินกับหมา  หมากัดคำ  คนกัดคำ  แซนดี้ก็เป็นคนประเภทนี้  หมากฝรั่งที่ทำหล่นแล้วหมาแมวเอาไปกัด จนน้ำลายเยิ้มเปรอะเปื้อน  แซนดี้ก็ยังเอามากินต่อได้  แถมยังแบ่งให้โต  ซึ่งโตก็ไม่เห็นว่าแปลกอะไร

          หลังจากพบรักกันได้ประมาณหนึ่งปี  แซนดี้ก็ย้ายมาอยู่กินกับโต  พ่อแม่ของแซนดี้ไม่พอใจอย่างมากที่แซนดี้มายุ่ง เกี่ยวกับโต  เพราะครอบครัวของแซนดี้เป็นพวก "เร้ดเน็ค”  (เร้ดเน็ค เป็น คำไม่สุภาพที่ใช้เรียกคนอเมริกันผิวขาวที่มีอคติ  ทัศนวิสัยแคบ เหยียดผิว  การศึกษาต่ำ  อาศัยอยู่ ในชนบทห่างไกลทางตอนใต้  เร้ดเน็คเป็นเพียงคนส่วนน้อย  ไม่ใช่ตัวแทนของ คนผิวขาวอเมริกัน !)

          พ่อแม่ของแซนดี้พยายามห้ามปรามขัดขวาง  แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้มาก  เพราะตั้งแต่โตเป็นสาวมา  แซนดี้ไม่ เคยมีแฟนหรือมีคนมาจีบเลย !

 

          บ้านเช่าที่แซนดี้ย้ายมาอยู่กับโตนั้นอยู่ติด ๆ กับบ้านพ่อแม่ที่เธอเคยอยู่  เหตุผลคือแซนดี้เป็น โรคติดพ่อแม่  และต้องการอยู่ใกล้แมวและหมาของครอบครัว  ซึ่งอยู่มาด้วยกันเกือบสิบปีแล้ว

          ครอบครัวของแซนดี้ก็เหมือนพวกเร้ดเน็คทั่วๆไป  พ่อขับรถบรรทุก  แซนดี้เองเรียนจบแค่ ไฮสกูล  พี่ชายคนโตทำงาน โรงงาน  แต่งงานแล้วและย้ายไปอยู่ต่างหาก  แซนดี้มีน้องสาวอายุสิบสองปีชื่อ ซูแซน ซึ่งเป็นคนดูแลแมวและรักแมวมากเพราะ โตมาด้วยกัน 

          บ้านที่โตเช่าอยู่เป็นบ้านสองชั้น  เจ้าของบ้านอยู่ชั้นบน  โตกับแซนดี้อยู่ชั้นล่าง  มีทางเข้าออกแยกต่างหาก  เจ้าลีโอ้  แมวของครอบครัวแซนดี้จะเข้า ๆ ออก ๆ  ระหว่างบ้านแซนดี้และบ้านของพ่อแม่ของหล่อนเสมอ 

          หน้าต่างบ้านที่สองคนนี้อยู่  เป็นแบบกระจกสองบานเลื่อนขึ้นลงตามแนวตั้งฉาก  หรือที่เรียกว่า  “ดับเบิ้ลฮั้ง”  ผิดกับบานหน้าต่างของบ้านในเมืองไทย  ที่ใช้ผลักออกไป

          แซนดี้จะเลื่อนบานกระจกที่อยู่ด้านบนของหน้าต่างบานที่อยู่ในครัว ให้ต่ำลงมาประมาณ เจ็ดถึงแปดนิ้ว  เพื่อให้อากาศ ถ่ายเทและให้เป็นที่ ๆ ลีโอ้ผ่านเข้าออก  ฝาด้านนอกของหน้าต่าง  เป็นแผงซุ้มไม้ที่ให้ไม้เลื้อยเกาะ  ลีโอ้จะปีนซุ้มไม้ขึ้นมา  ลอดเข้าช่องบานหน้าต่างที่เปิดไว้  แล้วกระโดดลงที่เคาเต้อร์ในครัว

          วันหนึ่งแซนดี้ต้องไปงานแต่งงานของเพื่อน  ซึ่งย้ายไปอยู่ต่างรัฐ  เมืองที่เพื่อนอยู่ใช้เวลา ขับรถประมาณสี่ชั่วโมงจาก เมืองเมอร์ฟรีส์โบโร่

          แซนดี้ออกเดินทางตอนเย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน  และจะค้างอยู่ที่เมืองนั้นสองคืน  ก่อนจะขับรถกลับตอนวันอาทิตย์  โตไม่ได้ไปด้วยเพราะเขาต้องทำงานในคืนวันศุกร์ 

          ตอนบ่ายวันเสาว์ ริคกี้ พี่ชายของแซนดี้  โทรมาบอกว่าเขามีตั๋วดูเบสบอลสองใบ  ภรรยาของ เขาไม่ว่าง  จึงอยากจะ ชวนโตไปดูเบสบอลกับเขา  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำให้โตประหลาดใจ  เพราะริคกี้ค่อนข้างจะขี้ตืด  แถมยังดูถูกและไม่ค่อยจะชอบโต  โตรีบรับคำเชิญ  เพราะอยากจะสร้างความสนิทสนมกับพี่ของแซนดี้

          ก่อนออกจากบ้าน  โตเช็คประตูหน้าต่าง  เขาเห็นกระดิ่งแขวนคอของลีโอ้หล่นอยู่ใกล้หน้าต่างในครัว  โตคิดว่ากระดิ่ง คงเกี่ยวกับขอบหน้าต่าง  และหลุดออกขณะที่ลีโอ้กระโดดลงบนเคาเต้อร์  เขาจำได้ว่าลีโอ้เข้ามาที่บ้านเมื่อวานนี้  โตจึงหยิบกระดิ่งขึ้นมาวางไว้ใกล้อ่างล้างจานแล้วออกจากบ้าน

          ที่สนามเบสบอล  โตแสดงน้ำใจตอบด้วยการซื้อเบียร์และฮ้อทด็อกเลี้ยงเป็นดินเน่อร์ระหว่างเขาและริคกี้

          หลังกลับจากดูเบสบอล  ก่อนเข้านอน  โตเดินเข้าไปในครัวเพื่อดื่มน้ำ  พอเขาเปิดช่องแช่แข็ง เพื่อหยิบน้ำแข็ง  โตก็เห็นอาหารที่โตทำเรียบร้อยแล้ว  สามารถกินได้ทันทีหลังจากทำให้ละลายวางปนอยู่กับพวกเนื้อดิบแช่แข็ง  ตามปกติโตจะ เก็บเรียงไว้คนละด้านไม่ปนกัน  ถังขยะก็ดูเหมือนว่ามี ใครมารื้อ  ฝาถังขยะปิดไม่สนิท  โตจะคอยระวังเรื่องนี้มาก  เขาจะปิดถัง ขยะให้สนิทเสมอเพราะไม่เช่นนั้นแมลงสาบหรือมดจะเข้ามากินขยะได้  เขานึกแปลก ๆ จึงเดินดูรอบ ๆ บ้านและในห้องนอน  ก็ไม่ เห็นมีอะไรผิดปกติ  แต่เป็นเพราะฤทธิ์เบียร์ที่กินเข้าไปตอนดูเบสบอล  ทำให้เขาง่วงและไม่มี สมาธิพอที่จะค้นหาสาเหตุ

          เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์  ประกอบกับแซนดี้ไม่อยู่บ้าน  โตจึงนอนไปเรื่อย ๆ  ตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบเที่ยงวัน  อาบน้ำ แปรงฟันเสร็จ  เดินเข้าไปในครัวเพื่อทำกาแฟ  โตเห็นแซนดี้นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว  ตาแดงเรื่อๆ  เขาจึงเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะจุ๊บ กู๊ดมอร์นิ่งตามสไตล์ฝรั่ง  ที่ต้องจุ๊บกันอย่างน้อยวันละสองเวลา  แต่แซนดี้เบือนหน้าหนี  พลางใช้มือดันหน้าอกโตไว้  โตจึงนั่ง ลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามอย่างงง ๆ  แล้วถามแซนดี้ว่าเกิดอะไรขึ้น

          “โจ... ลีโอ้หายไป”  แซนดี้พูดแล้วจ้องหน้าโตเขม็ง

          พอได้ยินคำตอบของแซนดี้  โตคิดในใจ “โธ่เอ๊ย  แค่เรื่องแมวหายเท่านั้น  นึกว่ามีอะไร ใหญ่โต” 

          “หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่”  โตพูดพลางอุทานเสียงเศร้า  เขารู้ว่าแซนดี้รักแมวตัวนี้มาก  สไตล์ฝรั่งถ้าได้ยินเรื่องเศร้า  ต้องตี หน้าเศร้า  พร้อมอุทานเสียงเศร้าๆ  แต่ถ้าเป็นเรื่องดีก็ต้อง อุทานเสียงดังอย่างดีใจ  พร้อมทำหน้าตื่นเต้น 

          “ตั้งแต่คืนวันศุกร์”  แซนดี้ตอบพลางมองหน้าเขา  เหมือนพยายามจะหาคำตอบ

          โตเอียงคอพร้อมเลิกคิ้วมอง  เขามีความรู้สึกพิลึก ๆ  กับการพูด  กริยาอาการและสีหน้า ของแซนดี้

แซนดี้ก้มหน้าเช็ดน้ำตา  แล้วเงยขึ้นมองดูเขาอย่างชั่งใจ  ก่อนจะถามขึ้น

          “โจ...ชั้นอยากรู้ความจริง  เธอสัญญาได้ไหมว่าจะพูดความจริง...”  แซนดี้เริ่มสะอื้น  เช็ดน้ำตาป้อย ๆ

          โตยังงงอยู่กับกริยาอาการของแซนดี้  แต่ก็พยักหน้าช้าๆ  เป็นเชิงให้สัญญา

          แซนดี้กัดริมฝีปากแน่น  จ้องโตเขม็ง  ก่อนจะโพล่งออกมาว่า

          “...โจ...เธอกินแมวชั้นไปรึเปล่า”

          “หา...”  โตตกใจร้องออกมาแทบไม่เป็นภาษามนุษย์ ความรู้สึกหลายอย่างจู่โจมเข้าใส่โต อย่างฉับพลัน  โตรู้สึกเหมือนถูกฟาดด้วยสากตำข้าวกลางแสกหน้า  จนเขาแทบผงะหงายหลัง  คำถามของแซนดี้ทำให้เขา รู้สึกอับอาย  รู้สึกโกรธ  รู้สึกผิดหวัง  เขาจ้องมองแซนดี้ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามด้วยความเสียใจ  ที่คละเคล้าไปกับความเกลียดชังที่พุ่งขึ้นมาอย่าง กะทันหัน  เขาพาลเกลียดไปถึงพ่อแม่พี่น้องของหล่อนทุกคน  สิ่งที่เขาพากเพียรทำมาไม่ได้ช่วยยกระดับตัวเขาเลยหรือ  โตไม่ เข้าใจว่าทำไมหล่อนจึงยังคงคิดว่าเขาเป็นคนป่า !

          ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับแซนดี้มาก่อน  ภาพของแซนดี้ขณะนี้มองดูเหมือนแมงกะพรุนยักษ์ที่ส่ง เสียงร้องครางฮือ ๆ  ภาพลักษณ์ของคนผิวสีในหัวของพวกเร้ดเน็คตระกูลนี้คงน่าสมเพชสิ้นดี  โตคิดแล้วขนลุก  เขาไม่เคยคิด เลยว่าจะมีใครบังอาจสบประมาทเขาเช่นนี้  โดยเฉพาะใครคนนั้นคือเมียของเขาเอง !

          เขาถึงบางอ้อแล้วว่า  ทำไมคนขี้ตืดอย่างริคกี้  จึงซื้อตั๋วพาเขาไปดูเบสบอล  และทำไมจึงมีคนเข้ามาค้นของในช่อง แช่แข็งและถังขยะ

          “โจ...เธอจะให้ชั้นคิดอย่างไร  ซูแซนใช้กุญแจที่ชั้นเคยให้พ่อแม่เก็บไว้เข้ามาตามหาลีโอ้ในบ้านเรา  พบกระดิ่งแขวนคอลีโอ้หล่นอยู่ข้างอ่างล้างจาน  ชั้นกลับมาถึง พอเปิดตู้เย็นก็เห็นมีทโลฟที่เธอชอบนักหนา  และขอให้ชั้นทำเป็นดินเน่อร์ เตรียมไว้ให้เธอตอนที่ชั้นไม่อยู่  ยังอยู่ทั้งชิ้น ...เธอไม่ได้กิน...แล้วเธอกินอะไรเข้าไป...โจ..เธอกินอะไรเข้าไป” พูดจบแซนดี้ก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือพลางสะอื้น

          โตทนฟังแซนดี้พูดต่อไปไม่ไหว  เขาอยากร้องตะโกนด่าแซนดี้ให้สาแก่ใจ  ภาพลักษณ์ที่เขาบรรจงสร้างขึ้นมาเพื่อ รองรับความ “อยากเป็นฝรั่ง” ของเขา  พังทะลายหายไปจนหมดสิ้น

          โตผุดลุกจากที่นั่ง  หมุนตัวเดินไปที่ประตูบานกระจกที่เปิดไปสู่ระเบียงด้านนอก  ขณะกำลังจะดันประตูเลื่อนให้เปิดออก  แสงแดดจากภายนอกที่ทำมุมกระทบกับบานกระจกใส  ทำให้เขามองเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง  เขาชะงักมองเงา สะท้อนในกระจก  ที่ผ่าน ๆ มาโตไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง  โตเห็นแต่ภาพของ “อเมริกันโจ” ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จาก จินตนาการในหัวของเขา  แต่ขณะนี้ จากเงาสะท้อนบนกระจก  เขาเห็นชาย “ตีนหนา หน้าดำ”  จ้องมองกลับมา

 

          โตนึกถึงนิทานอีสปเรื่องอีกากับนกยูง  สิ่งที่เขาทำ ๆ มา  ก็คงเหมือนกับอีกาที่เก็บเอาขนนกยูง มาเสียบตามตัว  แล้วคิดเพ้อเจ้อไปว่าตัวเองเป็นนกยูง  แต่หารู้ไม่ว่านกยูงก็ยังเห็นอีกา เป็นอีกาอยู่นั่นเอง  คงมีเขาคนเดียวเท่านั้นในโลก  ที่เพิ่งจะมองเห็นว่าตัวเองยังเป็นอีกา !

 

                                    ................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์