เรื่องสั้น : หลอน : เงาศิลป์

เรื่องสั้น : หลอน : เงาศิลป์

 

          1.

          ฉัน...ใครจะเชื่อว่าฉันกำลังต่อสู้กับวิญญาณร้าย เพราะแม้แต่คุณก็ไม่เชื่อ

          คนเคยบวชเรียนอย่างคุณย้ำกับฉันเสมอว่า

          “อย่าไปเชื่อในเรื่องวิญญาณ เรื่องผี มันไม่มีอยู่จริง”

          ความเจ็บแปลบที่วิ่งเข้ามาในหัวใจอย่างไร้เหตุผล มันพยายามจะจู่โจมฉัน คุณเข้าใจไหม มันคือวิญญาณร้าย มันเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันรู้สึกได้เพราะมันแทรกเข้ามาอยู่ในร่างฉัน มันพยายามกรีดหัวใจฉันด้วยการดึงอารมณ์เจ็บปวดอย่างไร้เหตุผลเข้ามา ถ้ามันทำสำเร็จได้ในเสี้ยววินาที ฉันอาจจะแพ้และฉันก็เจ็บปวดก่นทุกข์ มันจะเข้มแข็งเติบโตและสร้างจินตนาการความเลวร้ายต่าง ๆ ขึ้นมา มันขู่เข็ญให้ฉันโหยหาคุณ ให้ฉันจมดิ่งในห้วงจินตนาการของความผูกพันที่วกวนซ้ำซาก คาดหวังเรียกร้องที่จะอยู่ใกล้ ๆ คุณ ได้สัมผัสโอบกอดเนื้อตัวคุณ ได้เสพเสน่หาผ่านร่างกายฉัน มันจึงแทรกอยู่ในร่างกายฉัน มันหิวโหยแสวงหาอย่างไม่รู้จักอิ่ม มันเป็นวิญญาณที่เปลี่ยวเหงา อ้างว้างว้าเหว่ และต้องการใช้ร่างใครสักคนเพื่อการนี้

          มันจะต้องไม่ชนะ !!

          ตอนที่นั่งอยู่ในห้องพระ ฉันปวดท้องอย่างรุนแรง ต้องนั่งกำหนดจิตให้สงบเพื่อดึงพลังทั้งภายนอกภายในมารักษาตัวเอง จนใจฉันนิ่ง แต่น้ำตาฉันไหลพราก ฉันไม่ได้เศร้าสร้อยด้วยเรื่องใด ๆ สองวิญญาณที่ต่อสู้อยู่ภายในนั่นต่างหากที่กระทบกระเทือน และในที่สุดฉันชนะ วิญญาณร้ายร้องไห้ ฉันได้ยินเสียงจากข้างในคร่ำครวญว่า

          "ฉันแพ้แล้ว ฉันต้องไปเสียที"

          คุณเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงข้าง ๆ คุณแตะที่ไหล่ฉันเพื่อปลอบใจ เพราะคุณคิดว่าฉันปวดท้องจนร้องไห้ ฉันปัดมือคุณออกไป ในยามที่ฉันต้องใช้พลังจิตเพื่อเรียบเรียงสมดุลภายใน การสัมผัสจากคนอื่นคือการขัดขวางกระแสพลัง ฉันอยากอธิบายให้คุณรู้แต่ฉันไม่มีโอกาส จนคุณเข้าใจผิด

          “ถ้าผมไม่มีความหมายต่อคุณ ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีก”

          นาทีนั้นฉันสะเทือนใจมาก เพราะคุณคือคนใกล้ชิดฉัน แต่คุณรู้จักฉันน้อยมาก ขณะที่ฉันรู้จักคุณมากที่สุด

          “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ ฉันดูแลตัวเองได้ เราไม่สามารถจะใช้ชีวิตร่วมกันได้จริงๆ ฉันยอมรับ” เบื้องหลังคำพูดมีเรื่องราวมีอารมณ์หลากหลาย ที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ แต่ในขณะเปล่งคำนั้นออกมา ใจฉันสงบนิ่งจริง ๆ

          ถึงเวลาที่เราต้องจากกันเสียที ลาก่อนทั้งเธอและคุณ

 

          2.

          ผม....คุณทำให้ผมแทบบ้า เพราะความไม่สม่ำเสมอของบุคลิกคุณ ไม่ใช่แค่เข้าใจยาก แต่คุยด้วยยังยาก เรื่องที่ควรจะพูดคุณกลับไม่พูด เรื่องที่ไม่ควรพูดคุณก็พูด แล้วคุณอ้างว่าที่พูดนั่นไม่ใช่คุณ แต่เป็นคนอื่นที่อยู่กับคุณ นี่มันเป็นความบ้าชัด ๆ คุณควรจะไปหาจิตแพทย์นะ

          “คุณมีปัญหาทางอารมณ์แบบนี้ ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้จริงๆนะ ลองคิดดูว่าถ้าหากคุณได้เจอใครสักคนที่ช่วยคุณได้ น่าจะดีกว่าไหม”

          “ใครเหรอ”

          “จิตแพทย์ไง” แล้วคุณก็เถียงผมว่า

          “ไปทำไม ฉันยังทำงานได้ มีระบบความคิดเป็นปกติ ไม่มีตรงไหนเลยที่บอกว่าฉันบ้า นอกจากคุณคิดว่าฉันบ้า เพราะคุณไม่เข้าใจฉัน”

          ผมยอมรับว่าผมไม่เข้าใจคุณ แต่จะให้เข้าใจได้ยังไงในเมื่อคุณไม่พูดอะไรให้ผมเข้าใจได้เลย นอกจากบอกว่า ที่ทำลงไป ที่พูดออกไป เป็นคนอื่น คนเราจะมีคนอื่นอีกคนในร่างได้ยังไง

          คุณพูดแล้วจ้องตาผมเขม็ง นี่ล่ะที่ผมกลัว

          “ต่อให้คุณหนีฉันไปกี่ภพกี่ชาติ ฉันก็จะตามหาคุณให้เจอ เราต้องได้อยู่ด้วยกันมีสุขมีทุกข์ด้วยกันตลอดไป” คุณหัวเราะในลำคอ หึ หึ

          ผมฟังคำพูดของคุณแล้วยิ่งแปลกใจ คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ เพราะปกติคุณจะพูดว่า

          “เราต้องมีอิสระในการใช้ชีวิต เพื่อจะไปถึงความมีอิสระของจิตวิญญาณ ภายใต้ความรับผิดชอบที่มีต่อกัน แต่ถ้าใครบังเอิญเกิดอุบัติเหตุทางอารมณ์กับคนอื่น ขอแค่ให้บอกมา แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามปกติ เหลือความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันโดยไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรกันอีก” 

          นั่นเป็นคำพูดของคุณ แต่ไม่ใช่ผม เพราะผมคิดว่าความรักสามัญคือการมีรักมีใคร่ มีสุขมีทุกข์ จึงจะสมบูรณ์

          จู่ ๆ คุณบอกว่า ขอให้คุณได้ปฏิบัติธรรมเต็มรูปแบบเถอะนะ คุณไม่อยากให้ผมแตะต้องตัวคุณอีก เพราะร่างกายคุณมีปัญหาบางอยางที่ต้องปรับสภาพ แต่คุณบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร คุณเอาแต่พูดว่า ผมต้องช่วยคุณ

          “นั่งสมาธิสิ คุณต้องทำสมาธิ คุณจึงจะเข้าใจฉันได้” แววตาที่ร้องขอของคุณทำให้ผมรู้สึกผิด แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมไม่อยากทำ ผมอยากใช้ชีวิตสบาย ๆ ในแบบของผม

          “ร่างกายฉันมันไม่ยอมรับเนื้อสัตว์ ทุกคำที่กัดเข้าไป แม้จะเป็นชิ้นเล็ก ๆ แต่ฉันก็ปางตาย ท้องเสีย อาเจียน อาการเหมือนอาหารเป็นพิษ มันก็อาหารเป็นพิษนั่นแหละนะ แต่คนอื่นที่กินด้วยกันพวกเขาไม่เป็นอะไรเลย ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงคุณอ่อนล้า แต่ผมก็อยากจะช่วยในวิธีของผม

          “ผมว่าการเป็นคนปฏิบัติธรรมกับการไม่กินเนื้อสัตว์มันคนละเรื่องกันนะ”

          “แต่ฉันกินไม่ได้จริง ๆ กินแล้วจะตายเอา อย่างที่คุณเห็นนั่นหละ ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม” คุณเริ่มคร่ำครวญ

          “จิตคุณหลอกตัวเองมากกว่า ว่าแบบนี้ดี แบบนี้ไม่ดี” คุณรับฟังผมด้วยสีหน้าสงบลง แต่ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อผม

          “เรามาพิสูจน์กันนะ และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะคุยกับคุณ เพราะฉันไม่อยากทรมานตัวเอง หรือคุณ”

          แล้วคุณก็นิ่งเงียบ ในท่านั่งสมาธิ ผมนั่งสังเกตคุณอยู่ข้าง ๆ สักครู่ คุณลืมตา แล้วหันหน้ามามองผมด้วยสายตาแข็งไร้แวว ก่อนจะก้มหน้าพูด

          “ฉันปวดท้องมาก คุณรู้ไหม ปวดท้องทรมานอยู่ในกระท่อมบนเกาะ ไม่มีคุณไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เลือดไหลออกจากร่างจนฉันหนาวสั่นสะท้าน จิตใจแตกสลาย ตั้งแต่คุณทิ้งฉันมาโดยไม่บอกลาฉันสักคำ ฉันรักคุณมาก ฉันจึงยอมให้ตัวเองตั้งท้อง เพื่อเราจะได้เป็นครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก” คุณก้มหน้าพูดเบา ๆ มีเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร

          ในขณะที่ผมตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินตรงหน้า ในชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้จากปากคุณ คุณยังคงพูดสลับร้องไห้รำพึงรำพันในสิ่งที่ผมคุ้น ๆ ถึงชีวิตที่แสนเศร้า เรื่องราวที่แสนรันทดของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่าใครคือพ่อ โตมากับแม่ และแค่วัยไม่กี่ขวบก็กำพร้าแม่ไปอีกคน มีคนใจดีรับเลี้ยงเธอไว้พอให้ได้มีชีวิตรอด ได้เรียนหนังสือบ้าง จนเป็นสาว ได้ทำงานในร้านอาหารบนเกาะพอได้เลี้ยงตัวเอง เธออยู่ที่นั่นโดยไม่รู้จักแผ่นดินใหญ่เลย และผมก็เป็นผู้ชายคนแรกที่เธอบอกว่ารัก ขณะที่ผมเองยังเรียนหนังสือไม่จบมหาวิทยาลัย ช่วงเวลาปิดเทอมที่อยู่กับเธอผมคิดว่ามันเป็นช่วงพักผ่อนสั้น ๆ ของคนหนุ่มเท่านั้น แล้วผมก็จากเธอมาโดยไม่รู้ข่าวคราวของเธออีกเลย

          “กี่ภพกี่ชาติ ฉันก็จะตามหาคุณ”

          คุณคร่ำครวญฟูมฟาย ผมยิ่งมั่นใจว่าคุณจะต้องไปหาจิตแพทย์ คุณพูดละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ ผมจะคิดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร นอกจากคุณต้องสืบเรื่องราวชีวิตผมตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อจะทำให้ผมกลัวและไม่กล้าเหลวไหลอีก ถ้าคุณไม่เพี้ยนคุณก็ต้องแกล้งเพี้ยน

          คุณเคยขอร้องให้ผมเลิกดื่มเหล้า ให้ผมกลับมาเป็นคนเคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมอีกครั้ง ซึ่งสภาพผมตอนนี้มันก็แค่คนเคยบวชเรียนที่ไม่เคยผ่านสภาวธรรมใด ๆ ทั้งนั้น นอกจากความสงบนิ่งของจิตเป็นบางครั้ง ผมยังนอกใจคุณในบ่อย ๆ และเชื่อมั่นว่าคุณไม่สนใจจะสืบสวนอะไรในเวลาผมหายไปจากบ้านนาน ๆ เพราะนั่นเป็นความสัมพันธ์ชั่วคราว ไม่ได้ทำให้คุณเดือดร้อน จนต่อมาคุณขอให้เราแยกห้องนอนกัน ผมจึงตีโพยตีพายและทำให้คุณกลายเป็นคนเงียบขรึมไม่พูดไม่จา เอาแต่สวดมนต์ภาวนาอยู่ในห้องพระ จนผมคิดว่าคุณเป็นบ้าไปแล้วด้วยการปฏิบัติธรรมที่ผิดทิศผิดทาง แต่ที่จริงคุณโกรธผมและอยากแก้แค้น

          คุณโกรธที่ผมไม่ยอมรับว่า เรื่องที่คุณเล่ามานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับผม จนกระทั่งบอกให้ผมออกไปจากชีวิตคุณ ยืนยันหนักแน่นว่าคุณสามารถอยู่ได้ตามลำพัง 

          ผมคิดว่าผมเข้าใจ และสภาพผมในเวลานี้ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ ผมจึงตัดสินใจเดินจากมา เผื่อว่าพรุ่งนี้ไม่มีผมอยู่ตรงนั้น คุณอาจจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ ถ้าถามว่าผมรักคุณไหม เป็นห่วงคุณหรือเปล่า มันยากจะตอบเสียแล้ว

          ขณะที่ผมเดินออกมาจากบ้าน ท่ามกลางความมืดสลัวของแสงไฟในซอย เพื่อจะเรียกแท็กซี่ไปที่ไหนสักแห่งที่พอจะมีเพื่อนร่วมดื่มด้วยให้อุ่นใจ ผมรู้สึกถึงลมเย็นวาบตรงต้นคอ และลามไปทั่วร่าง ทั่วแขนทั่วขา กระทั่งขึ้นไปที่หัว จนขนหัวลุก

          “จากนี้ไปเราจะได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ เสียทีนะคะ”

          เสียงนั้นก้องในหัวกะโหลกของผม มันชัดเจนมาก มีแท็กซี่ผ่านมาผมโบกมือเรียก แต่ผมก้าวขาไม่ออก แล้วผมก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

 

          เช้าวันรุ่งขึ้น  ข่าวในโลกออนไลน์แชร์เรื่องของชายวัยสี่สิบกว่า ที่คนขับแท็กซี่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ตอนกลางดึก เมื่อแท็กซี่ขับเข้าไปจอดใกล้ ๆ ได้เห็นชายคนดังกล่าวทรุดลงกองกับพื้น จึงรีบวิ่งลงไปอุ้มใส่รถเพื่อส่งโรงพยาบาล แต่ยังไม่ทันถึงโรงพยาบาล ชายคนนั้นก็ฟื้น แต่พูดไม่รู้เรื่อง ถามว่าจะให้ไปส่งที่ไหนก็บอกว่าจะไปเกาะ เกาะอะไรก็ไม่รู้ และพร่ำแต่พูดว่า

          “เราก็ได้อยู่ด้วยกันเสียที”

          คนขับแท็กซี่จึงเปลี่ยนใจพาเขาไปส่งที่สถานีตำรวจแทน อาการประหลาด ๆ ทั้งหลายที่แสดงออกมา ทำให้ทุกคนงุนงง บางครั้งเป็นเสียงร้องไห้กระซิกเหมือนผู้หญิง เสียงพูดพึมพำฟังไม่รู้เรื่อง

เพราะอาการไม่ปกตินี้เองทำให้นักข่าวสายยูทูปเบอร์สนใจ

          ยูทูปเบอร์สายเมา บอกว่าเขาน่าจะเมาสารอะไรสักอย่าง ที่ทำให้หลอนขนาดนี้

          ส่วนยูทูปเบอร์สายสุขภาพบอกว่า น่าจะเกิดจากการล้มที่ศีรษะฟาดพื้นอย่างแรงจน

          ยูทูปเบอร์สายมู ฟันธงว่า เขาน่าจะโดนผีสิง

          แต่ที่โรงพยาบาล หมอวิเคราะห์ว่าเขาน่าจะผ่านเรื่องที่ทำให้เสียใจอย่างรุนแรง จนจิตใจฟั่นเฟือน

 

          3.

          เช้านั้น เธอจิบกาแฟนั่งดูข่าวผ่านคลิปในโทรศัพท์มือถือ แล้วส่ายหน้า

          “หมอที่จะช่วยรักษาได้ คือตัวคุณเองเท่านั้น”

 

                                    ...........................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์