เรื่องสั้น : กระบี่เดียวดาย : ฮีม พาราพิพัฒน์

เรื่องสั้น : กระบี่เดียวดาย : ฮีม พาราพิพัฒน์

 

          0

          “ในยุทธภพมีจอมยุทธคนไหนบ้างล่ะที่มือไม่เคยเปื้อนเลือด” แกบ่นขึ้นมาเปรย ๆ ในบ่ายวันนั้น ขณะมีผู้คนยืนอยู่จอแจ ทำไมฉันรู้สึกราวกับว่าโลกใบนี้มีเพียงแค่เราสองคนที่ยืนอยู่ ตรงป้ายรถเมล์บนถนนรถวิ่งผ่านไปมาอย่างขวักไขว่ แต่ไม่มีรถสักคันที่เรารอ ฉันเหลือบเห็นสายตาแกเหม่อมองออกไปอย่างเลื่อนลอย ชายวัยฉกรรจ์ ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวของแกแต่ดูกร้านแดด ก็พอเดาได้ว่าเป็นคนทำงาน ตัดกับใบหน้าคม ๆ หนวดเคราครึ้ม ๆ ดูหล่อเหลาพอได้อยู่ อายุก็น่าจะพอ ๆ กับฉัน แกใส่เสื้อแขนสั้นลายสก็อตเก่ามอ แล้วฉันก็เผลอได้เห็นรอยสักหลังท่อนแขนข้างขวา เป็นรูปดาบพาดด้วยลายมังกร ฉันจึงแกล้งบ่นขึ้นบ้าง “เรื่องราวบุญคุณความแค้นในยุทธภพ บางทีมันก็ลึกซึ้งเกินกว่าเราจะตัดสินใคร

          แล้วนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราทั้งคู่รู้จักกัน ใช่ เราต่างก็หลงใหลกับสุดยอดกำลังภายใน ตื่นเต้นไปกับเรื่องราวการผจญภัยในยุทธภพ ถึงแกจะชอบอ่านนิยาย ส่วนฉันจะชอบซีรีส์ที่คนแสดงมากกว่าก็เถอะ แต่ชื่อเสียงเรียงนามของเหล่าชาวยุทธที่โลดแล่นอยู่ในยุทธจักร ของทั้งปรมาจารย์กิมย้ง หรือโกวเล้ง มันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก

 

          1

          ความจริงเรื่องราวในยุทธภพ จะว่ามันคือความฝันก็คือฝัน จะว่ามันเป็นเรื่องจริงที่อิงประวัติศาสตร์ ก็คงจะมีจริงอยู่บ้างเหมือนกัน แกจำได้ไหม ในคืนฟ้ามืด ไม่มีทั้งแสงดาวและแสงจันทร์ แค่เพียงน้ำจัณฑ์ไม่กี่อึก ก็ทำให้เราสองคนพล่ามเพ้อเจ้อราวกับคนเมามาย ท่ามกลางสายควันบุหรี่สองสายที่หว่างนิ้วของฉันกับแกคีบอยู่ มันลอยเอ้อระเหยราวกับเป็นพยาน ลมหนาวพัดผ่าน น้ำเน่าในคลองไหลเอื่อย เสียงยุงชุกชุมบินอู้อี้อยู่ใกล้หู วันนั้นแกเล่าถึงตัวละครของกิมย้งผ่านมุมมองตัวหนังสือจนฉันถึงกับอึ้ง มันเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย คัมภีร์ยุทธเล่มไหนสุดยอดที่สุดในยุทธภพ ตัวละครนั้นเก่งกว่าตัวละครนี้จริงหรือ ถ้าเอี้ยก้วยอยู่ในยุคเดียวกับเตียบ่อกี้* ประลองยุทธกันสักหน แล้วใครจะชนะ...  

          เราต่างก็ผุดประเด็นขึ้นมาถกเถียง แล้วช่วยกันกะเทาะเปลือกตัวละครอย่างสนุก ทำราวกับว่าตัวเองเป็นนักปราชญ์กำลังชำแหละบทกวี วันนั้นฉันจึงยกตัวอย่างนักการเมืองโกงกินบ้านเรา ที่ยังเดินลอยหน้าลอยตา ขยายอำนาจอิทธิพลราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ซึ่งมีอยู่อย่างถมเถ แต่ถ้าว่านั่นมันเจ็บปวดแล้ว หรือจะสู้ตอนเซียวเหล่งนึ่ง โดนย่ำยีความบริสุทธิ์โดยนักพรตใจทราม** กล้ำกลืนคาใจกว่าเป็นไหนไหน

          ฉันจำได้ว่าเคยเล่าให้แกฟังถึงเรื่องราวอดีตของฉัน ฉันเริ่มติดซีรีส์จีนกำลังภายในมาจากพ่อ ที่มักจะเฝ้าอยู่หน้าจอทีวีในตอนเย็น ๆ ซีรีส์พวกนี้มันก็เก่ง มักจบตอนเอาช่วงสำคัญให้คนดูรอติดตามต่ออย่างงอมแงม ใช่ นั่นมันทำให้ฉันเติบโตมากับเรื่องราวพวกนั้น ฉันคลั่งไคล้จนรอต่อไปไม่ไหว คล้ายจอมยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรก เพราะหลังจากซีรีส์จบ ถึงแม้มันจะค่ำมืดดึกดื่น มันเหมือนกับมีอะไรกระตุ้นอย่างกับไฟลนก้น ฉันต้องออกไปตรงหน้าบ้าน หากิ่งไม้สักอันแล้วร่ายรำเพลงกระบี่เพื่อปลดปล่อยมันออกมา พลางนึกว่าตัวเองเป็นเล่งฮู้ชงกำลังฝึกเก้ากระบี่เดียวดายกับปรมาจารย์ฟงชิงหยางอยู่บนยอดหุบเขาหัวซาน*** พร้อมทำเสียง ฉึฉะ เปรี้ยงปร้าง อยู่ตามลำพัง ฉันไม่สนหรอก ถึงคนแถวนั้นต่างพากันซุบซิบนินทา ว่าดูไอ้เด็กโง่นั่นสิ ดูมันบ้าหนังจีนอีกแล้ว

          แม้แต่แม่ที่ออกมาตวาดให้ฉันกลับเข้าบ้าน ฉันก็ไม่ฟัง นึกเอาว่า คืนนี้ไม่ว่ายังไง ต้องฝึกสุดยอดวิชายุทธให้สำเร็จให้ได้ พรุ่งนี้เช้าไปโรงเรียน ฉันก็จะใช้เพลงกระบี่นี่แหละ สั่งสอนไอ้พวกเด็กเกเรที่ชอบแกล้งฉันให้หลาบจำ แต่สุดท้ายแม่ก็มีไม้ตายของแม่ ด้วยการหยิบเอาไม้เรียวขึ้นมาขู่นั่นแหละ ฉันถึงยอมหยุดราวกับทีวีที่ถูกดึงปลั๊กเอาเสียดื้อ ๆ

          เหล่าจอมยุทธเมื่อถึงเวลาก็ต้องออกท่องยุทธภพ วัยฉกรรจ์มันทำให้เราคึกคะนองแค่ไหนแกจำได้ไหมไอ้เกลอ บนถนนเส้นนั้นเราเดินไปด้วยกันโดยไม่กลัวไอ้อีหน้าไหนทั้งนั้น เราไม่กลัวความหิว เราหัวเราะเย้ยความยากจนราวกับเป็นเรื่องขำขัน แม้แต่ความมืดมิดที่เราไม่รู้จัก ก็มิอาจทำลายมิตรภาพของแกกับฉันให้ฝืดเคืองลงได้ แกบอกว่าฉันคือเพื่อนตายคนเดียวของแก ฉันยิ้มพลางตอบแกไปว่า น้ำเน่าวะไอ้เกลอ

          ร้อยคนรู้ใจหรือจะสู้สักคนเข้าใจ แกบอกฉันว่าเคยได้ยินประโยคนี้จากหนังสือกำลังภายในเรื่องหนึ่ง ฉันยังบอกอย่างติดตลกกับแกในคืนนั้น นี่ถ้าเรามีกระบี่กันคนละเล่ม พรุ่งนี้คงได้ออกท่องยุทธภพสร้างชื่อด้วยกันให้มันสะท้านสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน

          เพราะสัจจะวาจาของชาวยุทธไม่ใช่แค่คำเพ้อเจ้อ เหล่าจอมยุทธเลยมักยึดถือถ้อยวาจามากกว่าการกระทำ จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องบังเอิญตลกร้ายสิ้นดี ใครจะไปคิดว่าวันนั้นที่เราเจอกันตรงป้ายรถเมล์ เราทั้งคู่ต่างก็เพิ่งถูกไล่ออกจากงานมาเหมือน ๆ กัน ทุ่มเททำงานให้พวกมันแทบตาย แต่พอหมดประโยชน์มันก็มาไล่เราอย่างกับหมูกับหมา แต่วัยคะนองของเราก็ไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่มีงานทำแล้วไง ไม่มีเงินติดกระเป๋าสักบาทแล้วยังไง ช่างเเม่งมันสิเว้ย เราผลัดกันตะโกนลั่นออกมาประชดกับโชคชะตา

          แต่บางครั้งยุทธภพมันก็โหดร้ายเหลือเกิน วันถัดมาเราเลยต้องชวนกันไปสมัครงานที่กงสีของไอ้เถ้าแก่นั่น หลังจากเห็นแผ่นป้ายรับสมัครแปะติดอยู่หน้าร้าน ไอ้เจ๊กจากเมืองจีนมองเราที่มาของานทำราวกับว่าเราเป็นขอทาน แถมหนำซ้ำยังหยามความเป็นเกลอของเราด้วยการบอกว่า “พวกลื้อตกลงกันเองแล้วกัน แต่อั๊วจะรับพวกลื้อไว้ทำงานแค่โคนเลียว แค่โคนเลียวเท่านั้น” ให้ตายเถอะ เราสองคนน่าจะตะบันหน้าไอ้เจ๊กนั่นสักที แต่จอมยุทธก็ต้องยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม เรามองหน้ากัน แล้วเดินกันออกไปหางานที่อื่นโดยไม่แยแสกับคำโสโครกนั่น

          ตกเย็นวันนั้นเดินเตร่กันแม่งทั้งวัน แต่เราก็ยังหางานกันไม่ได้ ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า “หิวข้าวว่ะ” ฉันเอามือกุมท้องพลางพูดขึ้นมาด้วยเสียงอู้อี้ เราหันมองหน้ากันพลางกับยิ้ม แล้วพากันหลุดหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลกอีกเหมือนเดิม นึกย้อนกลับไปฉันยังภูมิใจอยู่ทุกครั้งว่ะไอ้เกลอ ที่วันนั้น ฉันไม่ได้หิวอยู่ตามลำพัง

          คนเราเวลาจะชั่วมันก็มีเหตุผลจะชั่วด้วยกันทุกคน ฉันว่าแกเข้าใจ ฉันไม่เคยโทษโชคชะตา หรือไม่เคยโทษแกเลยนะไอ้เกลอ ก็ฉันเองนี่ ที่เป็นต้นคิดชั่ว ๆ ขึ้นมา แล้วชวนแกเข้าไปปล้นร้านสะดวกซื้อนั่น ฉันจำได้ว่าเกลี้ยกล่อมแกด้วยการอ้างถึงชอลิ้วเฮียง ตัวละครเอกของโกวเล้ง**** ถึงเราจะต้องเป็นโจรแต่ก็เป็นโจรที่ยึดมั่นในคุณธรรมได้ แกก็เห็นอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ขนาดกบฏคิดปล้นชาติแผ่นดินเกิด ถ้าทำสำเร็จก็ยังถูกยกเป็นวีรบุรุษเลย คนดีคนเลวมันวัดกันตรงไหนนั้นเหรอ แต่ก็นั่นแหละ น่าเสียดายแผนการที่เราวางไว้อย่างดิบดีกลับพังไม่เป็นท่า ฉันถูกจับเข้าตาราง แต่แกกลับวิ่งหนีไปได้ทัน ฉันต้องยอมรับว่าวันนั้น แกวิ่งได้เร็วจริง ๆ

 

          2

          ความจริงวันนี้ ที่ฉันได้เจอกับแกจะว่าบังเอิญก็บังเอิญ จะว่าฉันตั้งใจมาหาแก ก็คงไม่ผิดเหมือนกัน กว่าสองปีที่อยู่ในนั้น ฉันไม่เคยแม้แต่จะคิดซัดทอดถึงแกสักคำ พระเอกในเรื่องมักจะโชคดีเสมอที่ไปเจอปรมาจารย์เก่ง ๆ หรือสุดยอดคัมภีร์ยุทธซ่อนอยู่ในหุบเขา ฉันไม่แปลกใจเลย แกยังวิ่งได้เร็วเหมือนเดิมเลยนะไอ้เกลอ วันนี้แกวิ่งหนีความจน หนีความหิว ดูการแต่งตัวของแกวันนี้สิ เสื้อตัวใหม่เอี่ยมเรียบเนี้ยบราคาแพง แทบไม่เหลือเค้าไอ้เกลอคนเดิมที่ฉันรู้จักเลย

          บ้านหลังนี้ของแกเองเลยเหรอ อ๋อ บ้านเมียแกเหรอวะ แต่โอ่อ่ากว้างขวางน่าอยู่จริง ๆ ว่ะ รถกระบะป้ายแดงสี่ประตูที่จอดอยู่นั่นของแกเหรอ เฮ้ย อย่าบอกนะ ว่านังหมวยตูดใหญ่นั่นเมียแก ไปเจอกันตั้งแต่ตอนไหนวะ ถ้านั้นเด็กคนนั้น ก็ลูกสาวแกนั้นสิ กำลังน่ารักเชียว...

          คำสัญญาที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรมันคงไม่ได้มีค่าอะไรเลยใช่ไหมไอ้เกลอ ฉันอุตส่าห์มาถึงบ้านแก อย่าว่าแต่เหล้าสักจอก แม้แต่น้ำสักครึ่งแก้ว แกก็ไม่ยกออกมา ให้ตายเถอะ แค่สองสามปีมานี้หน้าตาของแกเปลี่ยนไปไม่เท่าไหร่หรอก แต่ฉันกลับรู้สึกแกไม่เหมือนคนเดิมที่ฉันรู้จักอีกแล้ว ถ้าวันนี้แกใส่เสื้อแขนยาว แล้วฉันไม่ได้เห็นรอยสักรูปดาบพาดลายมังกรตรงท่อนแขนของแกตรงนั้น บางทีฉันอาจจำแกไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าจะผิดก็คงจะผิดที่ฉันเอง วันนั้นฉันวิ่งตามแกไม่ทันเอง แล้วจะให้โทษใครได้ แถมวันนี้ฉันก็ยังโง่ฉิบหาย นึกไว้อยู่แล้วเชียว ความจริงฉันไม่น่าเข้ามาทักแกเลย น้ำเสียงของแกดูเหมือนจะเป็นกันเองก็จริง แต่มันห่างเหินอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะคำนั้นที่แกพูดมันออกมาไอ้เกลอ ที่แกถาม ว่าต้องการเท่าไหร่...

          นี่ฉันคงกลายเป็นคนอื่นในสายตาแกไปแล้ว น้ำตาฉันมันแอบคลอหน่วยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว สายตาแกที่มองมา ทำไมมันช่างเชือดเฉือนอย่างนี้ นี่แกคงคิดที่ฉันเข้ามาทักทาย เพื่อต้องการทวงคืนบุญคุณความแค้นอะไรพรรค์นั้นสินะ ไอ้เงินไม่กี่พันที่แกวิ่งพามันหนีออกมาได้ มันไม่ใช่ของฉันอยู่แล้ว ไอ้เรื่องต้องอยู่ในคุกฉันก็ควรจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ ก็ถูกแล้ว นี่มันคือวิถีของโลก เหล่าจอมยุทธเลื่องชื่อสำนักใหญ่ ๆ หรือคนใหญ่คนโตผู้ทรงเกียรติในบ้านในเมือง เขาก็เอาตัวรอดกันอย่างนี้ทั้งนั้น

ฉันเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของอี่จี้เพ้งก็ตอนนี้เอง***** พลางแอบน้อยใจอยู่ลึก ๆ คนเราส่วนใหญ่ มักจะตีตราตัดสินคนคนหนึ่งว่าเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ด้วยการกระทำผิวเผินเพียงหนสองหนจากที่พวกเขาประจักษ์

          ในตอนนั้นมันอัดอั้นจนฉันต้องรีบขอตัวกลับ ไม่อยากจะรบกวนแกไปมากกว่านี้อีกแล้ว ตอนกำลังจะเดินพ้นผ่านรั้วบ้านแกอยู่แล้วเชียว ฉันก็พลันเหลือบไปเห็น กับไอ้เจ๊กแก่ ๆ คนหนึ่งที่ออกมายืนอยู่ตรงหน้าบ้าน ฉันจึงนึกคุ้นหน้าขึ้นมา ฉันอาจจะจำคนผิดก็ได้ ว่านั่นมันไอ้เถ้าแก่เจ้าของโรงสี ที่เราสองคนเคยไปของานทำวันนั้น

          ในพล็อตเรื่องนิยายกำลังภายในโลกมันมักจะกลมอย่างนี้เสมอ ฉันไม่แน่ใจหรอก หน้าตาหมวย ๆ เชื้อสายจีนของเมียแก กับที่แกบอกว่าที่นี่เป็นบ้านเมียแก ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ชวนให้ฉันคิดไปได้อย่างเดียว หรือนี่ ไอ้เจ๊กนั่น เป็นพ่อตาของแกนั้นเหรอ

          คำพูดสำเนียงจีนของไอ้เถ้าแก่นั่นเมื่อกว่าสองปีก่อน “อั๊วจะรับพวกลื้อไว้ทำงานแค่โคนเลียว แค่โคนเลียว...” กลับมาดังก้องอยู่ในหัวอีกหน เช่นเดียวกันกับประโยคนั้นที่แกถาม ว่าต้องการเท่าไหร่

          โธ่เอ๊ยไอ้เกลอ ความจริงแกไม่ได้ติดค้างอะไรฉันสักหน่อย จากนี้จะว่าไป เป็นฉันต่างหากล่ะที่ต้องคืนให้แก ถ้าความรู้สึกของฉันมันตีเป็นราคาได้ล่ะก็ ฉันก็จะคืนให้แก ไอ้เกลอ แล้วจากวันนี้ไป แกก็ไม่ต้องทอนคืนมา แม้แต่สักอีแปะเดียว

 

          3

          ฉันกลับมาถึงที่พักซึ่งเป็นห้องแถวซอมซ่อ ในมือถือปากกาอยู่ด้ามหนึ่ง พลางสาวเท้าเดินวนรอบห้องรก ๆ ที่กว้างแค่ไม่กี่ตารางเมตร นัยน์ตาเหม่อ ๆฉันโยนด้ามปากกาเล่นให้หมุนติ้ว เคว้งอยู่กลางอากาศ พอมันหล่นก็ฉวยจังหวะคว้าหนึบติดมือไว้ แล้วก็โยนใหม่อยู่แบบนั้น บนฟูกที่นอนมีหนังสือกระบี่เย้อยุทธจักรเล่มหนึ่งของกิมย้งวางอยู่ มันเป็นหนังสือนิยายจีนกำลังภายในเล่มแรกในชีวิต ฉันอยากลองซื้อมาอ่านดู และยังอ่านค้างไว้ กับตรงตอนเล่งฮู้ชงได้เจอกับปรมาจารย์ฟงชิงหยางบนยอดเขา เพราะจู่ ๆ คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว จนทำให้ฉันต้องหยุดพักเรื่องราวที่อ่านไว้ก่อนชั่วคราว

          ทำไมมีเพียงแค่เล่งฮู้ชงเท่านั้นที่เห็นกับท่านปรมาจารย์ แล้วการมีอยู่ของปรมาจารย์ฟงชิงหยางมีจริงนั้นเหรอ สุดยอดเพลงยุทธเก้ากระบี่เดียวดายที่เขาฝึก มันก็เป็นไปได้ใช่ไหม ว่าเขาอาจจะตระหนักรู้ได้เองจากภาพที่ได้เห็นบนกำแพงถ้ำ ถ้าการต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพังกลางหุบเขาแรมปี อาจทำให้เขาจินตนาการทุกอย่างหรือสร้างใครบางคนขึ้นมาซึ่งเป็นแค่ภาพลวงตาก็ได้ ยิ่งด้วยเล่งฮู้ชงมีนิสัยรักอาจารย์มากขนาดนั้น เขาจึงไม่อยากให้มีคำครหาว่าศิษย์เก่งเหนืออาจารย์...

          ในหัวของฉันฟุ้งซ่านเตลิดไปไกล เดินวนรอบแล้วรอบเล่าอยู่อย่างนั้น ด้วยความรกของห้องแคบ ๆ บางทีก็เผลอสะดุดโน่นสะดุดนี่ หรือบางทีก็เผลอทำด้ามปากกาที่ถือโยนอยู่หลุดมือ แต่ก็รีบหยิบขึ้นมาแล้วโยนใหม่

          เดี๋ยวนี้ พอไม่มีแม่มายืนถือไม้เรียวตะโกนด่า สงสัยคืนนี้ ฉันคงได้เดินวนรอบห้องแล้วโยนด้ามปากกาอย่างนี้กันทั้งคืน

 

                                    .............................................................

 

          หมายเหตุ:

          * เอี้ยก้วย คือ ตัวละครเอกตามนิยายของกิมย้งในเรื่องมังกรหยกภาค 2 ส่วนเตียบ่อกี้ เป็นตัวละครเอกของมังกรหยกในภาคถัดมา (ดาบมังกรหยก)

          ** อ้างอิงจากเหตุการณ์ในนิยายมังกรหยกภาค 2 กิมย้ง    

          *** อ้างอิงจากเหตุการณ์ในนิยายกระบี่เย้ยยุทธจักร กิมย้ง

          **** ชอลิ้วเฮียง ตัวละครเอกจากนิยายชุด ชอลิ้วเฮียง โกเล้ง ซึ่งตามเนื้อเรื่องเขาจะเป็นจอมโจรผู้โด่งดังแห่งยุค

          ***** อี่จี้เพ้ง เป็นตัวร้ายที่แอบขืนใจเซียวเหล่งนึ่ง อ้างอิงจากเหตุการณ์ในนิยายมังกรหยกภาค 2 กิมย้ง

 

                                                .............................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์