เรื่องสั้น : กลับบ้านกัน : จเด็จ กำจรเดช

เรื่องสั้น : กลับบ้านกัน : จเด็จ กำจรเดช

 

          เดินทางแสนไกลมากับยานอวกาศ หลังลงจอด ผมก็หาร่างได้ เพื่อจะอาศัยพรางตัวภายใต้ผิวหนังของมนุษย์โลก จำเป็นต้องสูบวิญญาณใครสักคนออก แล้วถ่ายดวงจิตตัวเองเข้าไปแทน

          มนุษย์ที่น่าสงสารผู้นี้เป็นนักเขียน น่าตื่นเต้น ผมจะพยายามสวมบทเป็นเขาให้แนบเนียน

 

          คนงานโดนลอยแพ ตัวเองมีแค่มอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน

          หลังเข้าไปอยู่ในร่างเขาไม่นาน มีบางข้อความแว่บเข้ามาในหัว เหมือนหัวข้อข่าว อาจเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อน แว่บเข้ามาบ่อยมาก บางครั้งมาตอนค่ำคืน เหมือนฝันร้าย มันปลุกให้ผมตื่นมานั่งครุ่นคิด

เรื่องของคนงานกลุ่มหนึ่งที่อยากกลับบ้าน ใช่ไหมนะ รายละเอียดไม่ชัด แต่รู้ว่าผมเคยอยากเขียนเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ยังเป็นนักเขียนการ์ตูนเล่มละบาทอยู่

          มันเหมาะจะเขียนในปีนั้นแหละ เป็นการ์ตูนเล่มละบาทที่มีลายเส้นแบบไทย ๆ เรื่องก็เป็นไทย ไม่รู้ทำไมไม่ได้เขียน คงเลิกไปเสียก่อน ตอนนั้นฝีมือไม่ถึง หรือไม่มีเวลา เปลี่ยนไปหัดเขียนเรื่องสั้น ความฝันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เมื่อเส้นทางเป็นนักเขียนการ์ตูนจบลง ผมก็อยากเขียนเรื่องสั้น พล๊อตเรื่องที่ได้ฟังมานั้นคงพยายามกลายเป็นเรื่องสั้นแล้วหลายครั้ง แต่ดีใจที่ไม่ได้เขียน ถ้าเขียนตอนนั้นคงเป็นเรื่องสั้นเพื่อชีวิต

          ตอนนั้นงานเพื่อชีวิตเป็นผีร้าย กระทั่งกลายเป็นปีศาจในยุคต่อมา เมื่อนึกย้อน วิเศษแล้วที่ไม่เขียน

          แต่คิดอีกที ตอนนั้นที่ไม่เขียนอาจไม่ได้กลัวล้าหลัง อาจจะแค่วัตถุดิบที่ยังไม่ถูกปรุง เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่จดพล๊อตทิ้งไว้ พล๊อตมันอาจไม่น่าสนใจพอ

          สิบปีผ่าน หรืออาจจะถึงยี่สิบ ผมลืมมันแล้วแน่นอน ถ้าไม่ใช่ช่วงนี้ผมคลุกคลีกับพวกคนงานก่อสร้าง แล้วเดินสะดุดเจ้าสิ่งนั้น

          มันเรียกว่าอะไรนะ รถเข็น หรือรถลาก ไอ้เจ้ารถที่มีแค่ล้อเดียว

          คนงานใช้ใส่ปูนใส่อิฐและใส่สารพัด มันมีแค่ล้อเดียว แล้วมีสองขาด้านหลังไว้ประคองเวลาตั้งจอด  ระหว่างใช้งานนอกจากจะออกแรงเข็นแล้วยังต้องทรงตัวให้ดี เป็นงานหนักสองเท่า มันเป็นของสามัญในแคมป์ก่อสร้าง ที่แม้จะผ่านมายี่สิบปีก็ยังไม่พัฒนาไปไหน แม้จะมีเครื่องยิงระดับเลเซอร์เข้ามาแทนสายยางวัดระดับน้ำ มีเครื่องโม่ไฟฟ้าผสมปูน มีปูนสำเร็จ แต่ไอ้รถเข็นล้อเดียวยังคงรูปร่างเหมือนเดิม

          ผมกำลังสร้างบ้านหลังที่สองของตัวเอง เห็นคนงานก่อสร้างและรถเข็นแล้วคิดถึงเรื่องนี้

          ผมน่าจะจดไว้ในสมุดเล่มไหนสักที่

          แต่แล้วเรื่องนี้ก็เงียบไปอีก มันไม่ได้ออกมาส่งเสียงเรียกผมอีกเลย กระทั่งว่าบ้านสร้างเสร็จแล้ว

          เป็นตอนที่ผมเดินเข็นรถในโลตัสในอีกหลายเดือนต่อมา เรื่องรถเข็นก็แว่บเข้ามาอีกครั้ง

          เหมือนคลื่นจากต่างดาวแทรกแซงสมอง จู่ ๆ ภาพนั้นก็โผล่

          ขณะเข็นรถไปที่ชั้นขายเนื้อ ตอนนั้นใกล้ปีใหม่ เพลงสวัสดีวันปีใหม่เวอร์ชั่นดั้งเดิมดังทั่วมุมห้าง มันพาย้อนวันวัย อากาศเย็นลงชั่วขณะเหมือนหนังตอนมีเรื่องไม่ชอบมาพากล กลิ่นไก่ย่างโชยจากแผนกของสด ไฟกระตุกดับแล้วสว่าง รถเข็นสามล้อในแคมป์ก่อสร้างโผล่แทรก ซ้อนภาพรถเข็นในห้าง

          กลับบ้านค้นสมุดบันทึกปกสีน้ำตาลเก่า ๆ ในลัง บ้านใหม่ยังอยู่ในระหว่างจัดเก็บข้าวของ ลังหนังสือมีเยอะแยะเลยที่ขนมาจากบ้านเช่าหลังเก่า

          “ตัวเองไม่ได้ทิ้งมันไปหมดแล้วเหรอ” แฟนถาม เธอไม่ช่วยหาเพราะผมขอร้องให้เป็นอย่างนั้น

          ผมจำทุกอย่างเป็นภาพ ดังนั้นผมเห็นว่าสมุดเล่มนั้นอยู่ในลังสักใบ รวมอยู่กับสมุดบันทึกเล่มอื่น ๆ ปกสีน้ำตาลเหมือนกันหมดทุกเล่ม ผมไม่เคยทิ้งพวกมันแม้จะไม่ได้ใช้สมุดบันทึกนานแล้ว

          จำว่าน่าจะเป็นเล่มหลัง ๆ ของการบันทึกลงสมุด ดังนั้นต้องเป็นเล่มเล็ก เพราะช่วงแรกผมวาดภาพลงไปด้วย พอเหลือแค่จดบันทึกไอเดียจึงกลายเป็นเล่มเล็ก อาจจำผิด แต่มันยังอยู่แน่นอน

          รื้อสักพัก โอ เจอแล้ว แต่มันกลับเป็นเล่มใหญ่ ถ้างั้นต้องเป็นช่วงที่ยังเขียนการ์ตูนอยู่แน่ เนื้อกระดาษเชื่อมติดกันบางหน้า มีลายเส้นวาดเพื่อนแต่งชุดอินเดียนแดง และมีข้อความสองแง่สองง่ามซีดจาง เพื่อนคนนี้เปิดร้านซ่อมรองเท้า ผมไปขออยู่ด้วยกับมัน ใช่แหละ เล่มนี้ ตอนนั้นพี่ชายตามผมไปนอนด้วยที่ร้านนั่นหนึ่งคืน

          มีความทรงจำถึงพี่ชายแว่บเข้ามาด้วย ทำเอาผมตกใจ ไม่คิดว่าพี่ชายจะเกี่ยวกับเรื่องนี้

          บิงโก เจอแล้ว ข้อความนั้น

          กลิ่นกระดาษอับขึ้นรา มีกลิ่นเครื่องแกงปะปน หมึกปากกาสีน้ำเงินซีดจาง เปรอะน้ำซึมบางส่วน ลายมือหวัดและตัวเล็ก ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจลายมือตัวเอง แต่แกะอ่านจนได้ความ

          คนงานโดนลอยแพ ตัวเองมีแค่มอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน เพื่อนอีกสาม ก็เลยเอารถขนเข็นมาพ่วงมอเตอร์ไซค์ สองคนนั่งทับคันรุน อีกคนนั่งในกระบะ ขับกลับบ้าน

 

          เรื่องยากจนข้นแค้นเพื่อชีวิตของแท้

          ไม่ได้เขียนอีกล่ะ อุตส่าห์มาจากอวกาศ จะให้เขียนเรื่องเชย ๆ เปล่า คราวนี้ไม่ได้กลัวเชย แต่กลัวลิขสิทธิ์ ไม่ใช่สิ กลัวซ้ำ

          ผมว่าคงมีคนเขียนแล้ว เอาจริง ๆ ความทรงจำที่ว่า ผมคงไม่ได้ฟังมาจากข่าว ต้องเคยอ่านจากนิตยสารเล่มไหน เรื่องสั้นดาด ๆ ในนิตยสารพระเครื่องหรือนิตยสารมวยรายสัปดาห์ แต่ลายมือที่จดเอาไว้มันก็เถียงเสียงดังว่าผมได้ยินมาเอง ไม่ใช่อ่านจากเรื่องสั้นของใคร

          ยังปักใจไม่ได้ ช่วงนั้นผมเขียนการ์ตูนด้วยการหยิบเรื่องสั้นของคนนั้นคนนี้มาเป็นไอเดีย แต่อย่างไรมันก็ไม่น่าเขียนอยู่แล้ว ผมไม่มีแง่มุมที่จะทำให้มันน่าสนใจ ไม่เชย ที่สำคัญจะทำอย่างไรให้มันดูก้าวหน้า

          ถ้าจะเขียนเรื่องนี้โดยให้คนอื่นมองว่าเป็นเรื่องสั้นที่ก้าวหน้า ยากจริงเชียว ทางที่ดีคืออย่าสนใจมัน

          ก็ไม่ได้สนใจจริง ๆ มันแค่โผล่เข้ามา และทำให้นึกไปถึงอะไรต่อมิอะไร ชีวิตหนหลัง เพื่อนที่บ้านเช่าหลังเก่า รถมอเตอร์ไซค์ และพี่ชาย (ผมเกือบลืมดาวบ้านเกิดแล้ว)

          หลังคิดหาเหตุผลร้อยแปดแล้วมีข้อสรุปให้สบายใจว่าผมน่าจะฟังจากพี่ชาย

          ยี่สิบห้าปีก่อน พี่ชายที่ห่างหายไปหลายปีโผล่หน้าที่ร้านเขียนป้าย

          เออใช่ ตอนนั้นผมทำงานที่ร้านป้าย แต่ยังเขียนการ์ตูนอยู่บ้าง และอาจจะกำลังฝึกเป็นนักเขียน

          เอาจริงชีวิตช่วงนั้นมันคลุมเครือ หลังรื้อความทรงจำดูแล้วก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นช่วงเดียวกันหรือแยกกันชัดเจน หมายถึงผมกำลังทำทั้งหมดนั่นพร้อมกัน เขียนการ์ตูน ทำป้าย และเขียนหนังสือ แต่การ์ตูนน่าจะค่อย ๆ เฟดออก และเฟดเข้าสู่การเขียนหนังสือทีละนิด (ส่วนกลางคืนนอนร้านซ่อมรองเท้าของเพื่อน)

          เรื่องเป็นมาอย่างไรไม่รู้ ผมไม่ได้กลับบ้านหลายปีแล้ว ไม่ได้ส่งข่าว พี่ชายสืบจนรู้ว่าผมอยู่ไหน ตกใจที่เห็น ดีใจก็ด้วย พี่ชายแค่โบกมือ ผมยิ้มกว้างเลยทีเดียว

          แกมาทำงานก่อสร้าง ในเมืองที่ผมอยู่นี่แหละ

          ห๊ะ ทำงานก่อสร้าง พี่ชายผมเนี่ยนะ คนประเภทมีสวนของตัวเอง ทำไร่ทำสวน หน้าแล้งเป็นพรานมือดี เข้าป่าล่าสัตว์ ไม่เจอกันหลายปี กลายเป็นคนงานก่อสร้าง ตอนนั้นเรื่องขายแรงแลกเงินเป็นเรื่องไม่คุ้นของคนในหมู่บ้าน แต่ฟังแกเล่าก็รู้ว่าแกถูกคอกับผู้รับเหมารายหนึ่ง เขาชวนมาช่วยงานทั่วไป ไม่ใช่คนงานค่าแรงต่ำ อีกอย่างแกรู้ว่าผมอยู่เมืองนี้ ก็เลยมา จะมาหาผมว่างั้น

          สมัยนั้นไม่ได้มีโทรศัพท์ ผมออกจากบ้านหลายปี ไปแล้วไปเลย ไม่กลับไปเยี่ยม พี่น้องก็ผู้ชายกันทั้งนั้น พวกเขาไม่คร่ำครวญให้ไปเยี่ยมหรอก อยากเจอค่อยหาวิธีไปกันเอง

          คงจะตอนนั้นที่พี่ชายเล่าเรื่องคนงานก่อสร้าง

          มีเรื่องแบบนี้บ่อย ผู้รับเหมาหน้าใหม่รับงานต่างจังหวัด ชวนคนรู้จักบ้านเดียวกันไปทำงาน นอนในแคมป์สังกะสี เบิกเงินทุกสิบห้าวัน ช่วงแรกอาจตรงเวลา นาน ๆ เริ่มค้าง รวบเป็นเดือน เป็นสองเดือน คนบ้านเดียวกันยังเชื่อใจ มีข้าวสาร มีปลากระป๋องก็พอจะอยู่ทำงานต่อ

          พี่ชายก็เป็นอยู่แบบนั้น นอนเพิงสังกะสี

          เดี๋ยว เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของผมนะ

          พวกเราและคนในหมู่บ้านไม่ใช่คนประเภทนั้น ไม่ใช่คนที่ต้องออกไปขายแรง ทุกคนมีที่ดิน มีสวนมีบ้าน แรงที่ออกไปแลกมีแค่เป็นลูกจ้างกรีดยาง ซึ่งถือว่างานใช้ฝีมือ อย่าว่าแต่ออกไปขายแรง อย่างอื่นก็ไม่ทำ ไปขายของนั่นเป็นเรื่องของคนอีกประเภท เรื่องว่าจะเปิดร้านขายของกินอย่าหวัง แล้วยังไงละ พี่ชายผม

          พี่เล่าเรื่อยเปื่อยว่า เลิกกับเมีย ก็ปกติไม่ใช่เหรอ พี่ผมเลิกกับเมียมาหลายคนแล้ว คนล่าสุดคงไม่ขายสวนขายบ้านหมดนะ พี่ชายบอกว่าเปล่า แค่ไม่อยากอยู่บ้าน เบื่อ ออกมาเที่ยว

          พูดคุยกันแล้ว พี่ชวนไปดูงานของแก แคมป์ก่อสร้างไกลออกไปนอกเมืองมาก ความจริงมันอยู่อีกอำเภอ แกมาสร้างส่วนต่อเติมของบ้านพักคนชรา ที่แกอยู่เป็นเพิงสังกะสีสองแถวหันหน้าชนกัน

          ผมนอนกับพี่ที่แคมป์ นอนพูดคุยกันถึงวันเก่า ๆ เล่าให้ฟังว่าผมไปทำอะไรมาบ้าง ตัวแกทำอะไรมาบ้าง พูดคุยกันจนหลับไปและตื่นมายังไม่เห็นพี่ทำงาน คนงานคนอื่นก็ไม่ทำ เท่าที่ดู คนงานมีอยู่แค่สามสี่คน ตื่นมาชงกาแฟซอง พ่นควันบุหรี่ใส่กันในวงสนทนา

          พี่ชายบอกว่านายหัวสั่งพักงานสองสามวัน

          “ตอนนี้นายหัวไม่อยู่”

          ผมจ้องพี่ชาย แกไม่สบตา หันไปพูดจาเล่นกับคนงานอื่น

          ผมมองเสี้ยวใบหน้าที่มีส่วนคล้ายผม หน้าผากกว้างโหนกคิ้วสูง จมูกมีสันแต่ไม่โด่ง เราสองคนมีส่วนคล้ายพ่อมากที่สุดในพี่น้องห้าคน อายุเราห่างจนพ่อทิ้งผมให้แกเลี้ยงตอนเด็ก ผมมองพี่เป็นฮีโร่เสมอ ในแง่ที่ว่าแกเป็นพรานเก่งกาจ

          ผมบอกลาเมื่อสาย ๆ เข็นมอเตอร์ไซค์ออกมา ถามว่าพี่จะไปกับผมหรือเปล่า ไปนอนกับผมที่ร้านซ่อมรองเท้านั่นแหละ วันสองวันแล้วผมจะไปส่งที่บ้าน นั่งมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน จะได้ถือโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด แม้พ่อไม่อยู่แล้ว พี่น้องคนอื่นกระจัดกระจายไปตามถิ่นต่าง ๆ แต่ไปเหยียบพื้นดินถิ่นกำเนิดไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล

          พี่ชายสั่นหัว ไม่เป็นไร รอนายหัวก่อน

          ผมขับรถจากมา แกเป็นพี่นี่นะ นึกภาพตอนเด็ก ๆ แกชวนเข้าป่าไปด้วยเกือบทุกครั้ง แม้ผมจะไม่ใช่พรานที่เก่งกาจ ไม่มีแววเลยด้วยซ้ำ แต่แกเป็นพี่คนโตและผมเป็นน้องเล็ก มีครั้งหนึ่งผมโดนเปลือกหอยในคลองบาดเท้า เลือดไหลอย่างกับฆ่ายักษ์ (พี่ชายว่า) แกแบกกลับจนถึงบ้าน แกแกร่งและเป็นที่พึ่งได้

          แต่นั่นมันโลกเก่า โลกยุคใหม่พี่คงหลงทาง

          ผมยัดเงินให้ไปห้าร้อย ในยุคนั้นเงินห้าร้อยพาพี่ชายขึ้นรถเมล์กลับบ้านได้ แถมยังเหลือไว้ใช้อีกสองสามวัน แววตาแกเผยอะไรบางอย่างตอนที่ผมยัดเงินใส่มือ

          เมื่อเห็นลายมือตัวเอง เห็นหมึกซึมจางก็ถอนใจ กลิ่นเครื่องแกงนั้นงงว่ามาจากไหน ทุกวันนี้ผมบันทึกทุกอย่างลงโทรศัพท์ หลายครั้งที่ลายมือในสมุดมีพล็อตดี ๆ ให้เขียน แต่บางเรื่องมันก็เก่าเกิน เรื่องนี้ผมลังเลว่าจะเขียนดีหรือเปล่า แต่พอมีเรื่องพี่ชายโผล่มาด้วยก็คิดว่าต้องเขียนแน่ แต่จะเขียนแบบไหน

          คนงานที่โดนลอยแพ อดอยากถึงขีดสุด คนงานคนอื่นต่างทยอยกลับ เหลือพวกเขาสี่คน กับมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน และความเชื่อใจในผู้รับเหมาคนบ้านเดียวกัน

          ลองดูก็แล้วกัน

 

          ผ่านไปสองสัปดาห์แล้ว พวกเขายังคงนั่งรอ ร้านค้าไม่ให้เซ็นของกินหรือแม้แต่อะไรอีกแล้ว เว้นแต่จะเอาเงินมาจ่ายของเก่าก่อน พวกเขายกมือไหว้ กลับมานั่งกันที่แคมป์ นึกไปถึงวัด

          แถวนั้นน่าจะมีวัด พวกเขาออกเดินหา ไม่กล้าถามใคร อาย พวกเขายังมีความอาย แต่ที่สุดก็ต้องถามจนได้ กลับไปหาป้าร้านชำ แกบอกว่าวัดไกลมาก ทำไม พวกแกจะไปบวชกันเหรอ แกว่า

          ทั้งหมดกลับมานั่งคอตกที่แคมป์ กระทั่งข้าวสารหมด ยาเส้นหมด และไม่เหลือเงินสักบาท

          ทั้งสี่คนเปิดดูน้ำมันในรถแล้วเห็นว่าพอจะขับไปได้ ค่อยคิดหาทางจะเอาไงต่อ อาจจะขอเงินใครระหว่างทาง คนด้วยกันคงไม่ใจดำ พวกเขาพยักหน้าให้กัน กลับบ้านกัน

          ปัญหาเรื่องที่เขาไม่ยอมกลับในตอนแรกอาจเพราะมอเตอร์ไซค์หนึ่งคันไม่พอบรรทุกคนทั้งสี่ สามคนยังพอเบียด สี่คนไม่ไหว คนที่พอเป็นผู้นำคิดหาทางได้ตั้งแต่กลางคืน

          รถเข็นปูนล้อเดียวนั่นแหละ รถแบบที่เห็นได้แม้แต่ในหนังฝรั่ง คนนั่งหลังสุดทับคันเหล็ก ลากคนที่สี่กลับบ้านไปพร้อมกัน

          อะไรนะที่ติดอยู่ในหัวของผม พวกเขากลับถึงบ้านหรือเปล่า

 

          ผมปล่อยเวลาไปอีกสองสามวัน กว่าจะคิดออกว่าอะไรติดค้างอยู่

          ภาพคนสามคนซ้อนมอเตอร์ไซค์ลากรถเข็นที่มีชายอีกคนนั่งอยู่ คนนั่งรถเข็นอาจเป็นน้องเล็ก คนตัวเล็กน่าจะเหมาะ ใช่สินะ พวกเขาทั้งสี่เป็นพี่น้องกัน นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่อาจทิ้งใครไปได้ ทั้งสี่มาจากภูมิภาคอื่น ระยะทางไกล ๆ อาจเป็นเหตุให้พวกเขาไม่กลับไปตั้งแต่วันแรก ๆ แต่เท่าที่นึกออก บ้านเกิดของพวกเขาห่างไปแค่สองจังหวัด และน้ำมันในรถก็พาไปได้ไกลจนพวกเขามั่นใจแล้วว่าถึงบ้านแน่ ๆ

          พวกเขาถึงบ้าน ถ้าไม่ใช่ว่าในช่วงโค้งหนึ่งของถนน รถเข็นไม่ได้หลุดออก

          อะไรนะที่ติดในใจผม

          พวกเขาไปถึงบ้านหรือเปล่า

          ถึงแน่นอน มอเตอร์ไซค์ไปต่อได้เรื่อย ๆ คนในรถเข็นยิ้มแย้ม คนเป็นพี่หันไปมองน้องคนเล็กและพูดจาหยอกเย้ากัน พวกเขาไปถึงบ้าน แต่รถเข็นไถลแหกโค้งชนราวสะพานหรือหลักกิโล หรืออะไรสักอย่าง

          พวกเขากลับถึงบ้าน พาน้องคนเล็กกลับไปด้วย ใส่ในรถเข็น ไปจัดงานศพกันที่บ้านเกิด

           

          ผมพยายามคิดให้แน่ใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องของพี่ชาย เรื่องมันนานมากแล้ว

          อาจจะเป็นพี่ชายหรือไม่ก็ผมที่หลงคว้างไปในเมือง เราต่างย้ายออกห่างกันและกันไปเรื่อย ๆ ข่าวคราวรับรู้เงียบหายลงไปเรื่อย ๆ กระทั่งว่าไม่ได้ยินข่าวของกันและกัน

          โลกในเมืองกระทำกับเราทั้งสองเหมือนที่กระทำกับคนอื่น ๆ นั่นแหละ และต่อให้เรากลับไปที่บ้านเกิดในป่า มันก็ไม่ต่างอะไรกัน

          ผมนั่งซึมกับลังกระดาษ นึกถึงบ้านที่จากมา ภารกิจแทรกซึมทำให้ผมต้องมาขายแรงถึงดาวโลก ต้องห่างพี่ ๆ น้อง ๆ ผมต้องอยู่ที่นี่อีกกี่ปีนะ กว่าจะได้กลับบ้าน

จนแฟนเข้ามาแตะไหล่ ถามว่าเจออะไรบ้าง ผมรีบลืมบ้านเกิด ส่งยิ้มแห้ง ๆ

          ผมถามว่าเคยเล่าเรื่องพี่ชายให้ฟังบ้างไหม

          “คนไหนละ ตัวเองมีพี่หลายคน”

          แสดงว่าที่ผ่านมาผมยังไม่ลืมพี่ชาย ผมคงเล่าให้ใครต่อใครฟังมั่งแหละว่ามีพี่ชายกี่คน

          “เราเคยเล่าว่าไง พี่ชายคนโตหายไปไหน” ผมถาม พยายามนึกหน้าพี่ชายในวัยปัจจุบัน

          “ไม่รู้สิ จำไม่ได้เหมือนกัน” เธอหลบไปทำอย่างอื่น เหมือนไม่อยากคุยเรื่องนี้

          ผมพยายามคิดต่อว่านั่นใช่เรื่องของพี่ชายหรือเปล่า คนที่ตายไปโดยไม่มีใครได้จำ

          ลมดึกพัดพลิ้ว ดวงดาวดารดาษ ดาวนายพรานจำง่ายสุด บางทีเรียกดาวเต่า ที่มีดาวไถสามดวงพาดผ่าน นั่นแหละเข็มขัดนายพราน ไล่สายตาดูไปอีก ดาวเหนือ สามเหลี่ยมกลางฟ้าเป็นหมุดหมายให้ลากสายตาออกไปทางขวา ตรงจุดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า นั่นแหละบ้านเกิด

          บางค่ำคืนผมไม่นอน แฟนหลับไปแล้ว ผมคุ้ยลังหนังสือไปเรื่อย เปิดสมุดบันทึกทีละหน้า เชื้อราและฝุ่นแสบจมูก อดีตแต่ละช่วงติดอยู่ในกระดาษแห้งกรอบ มองหาจุดเชื่อมโยงของเรื่องต่าง ๆ

          นึกไม่ออก ไม่แน่ใจ ตัวอักษรที่จดไว้มีแค่นั้น จะว่าไปแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องใส่ใจ แม้นึกกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ ว่าจะเขียนดีหรือไม่ เพื่อให้การปลอมตัวนี้แนบเนียน เฮอะ พี่ชายผมตายที่แกแลคซี่แอนโดรมีด้า ห่างไกลบ้านเกิดหลายปีแสง แล้วยังไง ใคร ๆ ก็อยากกลับบ้านกันทั้งนั้น

          ท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้เขียน     

 

                                    ................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์