เรื่องสั้น : กลับบ้าน : รมณ กมลนาวิน

เรื่องสั้น : กลับบ้าน : รมณ กมลนาวิน

 

            สาวโสด เขาว่ากันว่าอย่ากินไข่ค้างรัง ไม่เช่นนั้นชีวิตจะขึ้นคาน ไม่มีใครเอา

            ฟังคำเตือนของแม่ แม้ค่อนไปทางไม่เชื่อ แต่เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าท้าทาย แม่ดูชอบใจที่คราวนี้ฉันไม่ยอกย้อนต่อปากต่อคำ

            แม่หยิบถ้วยน้ำพริกลุกขึ้นหลังตักชิมแล้วบ่นว่าขาดเผ็ดขาดเปรี้ยว รสชาติไม่ได้ดังใจ อึดใจหนึ่งก็ส่งเสียงมาจากในครัวว่าไม่เอาแล้ว จะโขลกพริกกระเทียมใหม่ มะนาวในตู้เย็นยังมี ฉันนั่งที่พื้นเฝ้าสำรับบนโต๊ะญี่ปุ่น มองไข่ปอกเปลือกขี้ริ้วขี้เหร่สามฟองเสียบคาไม้ บางฟองออกเหลืองและเขียวคล้ำ บางฟองขาวขุ่นมีจุดเล็ก ๆ สีดำ มันเป็นไข่ที่แม่ไก่ไม่ยอมฟักต่อ ฉันยกจานขึ้นดมได้กลิ่นหอม ดูจากผิวเนื้อเหมือนผ่านการย่าง เคยกินแต่ไข่ทรงเครื่อง ไม่รู้อย่างไหนอร่อยกว่ากัน ที่แน่มันกลายเป็นของโปรดแม่หลังได้ลองตั้งแต่ครั้งแรก หนก่อนแม่ซื้อแบบที่เริ่มเป็นตัวแล้ว ฉันกลัวรูปร่างของมันที่มีขนแข็ง ๆ สีดำขึ้นจากอวัยวะที่ยังงอกไม่สมบูรณ์ เหมือนสัตว์ประหลาด จนต้องขอว่าอย่าซื้อมา กลัวจะติดตาเก็บไปฝันร้าย นับถือใจแม่ที่กล้ากิน

            ค่ำนี้แม่คงเหนื่อย อาหารมื้อนี้จึงแวะซื้อจากตลาดนัดหน้าปากซอย ถัดจากแผงร้านขายผลไม้ของเราราวยี่สิบเมตร ลาบไก่และต้มยำหัวปลา ความอร่อยไม่ได้ครึ่งของฝีมือแม่ แต่ในวันที่ต่างหมดเรี่ยวแรงไปกับการขายของ ก็ไม่ควรเรื่องมาก ถึงอย่างนั้นฉันก็มักบ่นไปกินไป

            แม่กลับจากครัววางน้ำจิ้มซีฟู้ดถ้วยเท่าอุ้งมือบนโต๊ะ แล้วหยิบไม้ที่เสียบไข่ข้าวดึงออกวางจานเดิม  เหลือบมองมา

            “ก็ต้มไข่ให้แล้วไง” แม่พูดพลางเลิกคิ้วไปที่ถ้วย ฉันมองไข่สีขาวนวลสองฟอง นิ้วจิ้มสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มข้างใน ไข่แดงคงเป็นยางมะตูม พยักหน้าพอใจ ถือว่าทดแทนกันได้อยู่

            ฉันเหลือบมองแม่อยู่กับของโปรด มื้อเย็นเป็นมื้อที่กินอย่างมีความสุขที่สุด ไม่ต้องลุกนั่งขัดจังหวะการกินบ่อย ๆ ตอนมีลูกค้ามา กว่าจะกินหมดจานบางครั้งเป็นชั่วโมง ตอนนี้แหละที่นั่งกินได้เท่าที่อยากนั่ง

            แม่บอกให้ฉันลุกไปหยิบจานมะม่วงเขียวเสวยกึ่งสุกกึ่งดิบ ที่ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นแช่ตู้เย็นไว้ก่อนหน้านี้ เอามากินตบท้าย แม้เราจะอิ่มแสนอิ่ม แต่ในท้องเรามักมีที่ว่างสำหรับของหวานเสมอ ของหวานของเราคือผลไม้ แม้จะเห็นมันทุกวันแต่ก็กินไม่เคยเบื่อ

            ฉันหยิบมะม่วงเข้าปากเคี้ยว ๆ ก่อนจะกลืนหนึ่งชิ้น ค่อยลุกเก็บสำรับเข้าครัว ให้แม่เอนหลังนั่งพักพร้อมจัดการมะม่วงที่เหลือ ล้างจานชาม เก็บเช็ดครัวเสร็จฉันก็เข้าห้องนอนผลัดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ เดินผ่านแม่ที่นั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว ตามองทีวี มือหยิบมะม่วงเข้าปาก อยู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่าแม่ตัวเล็กลง

            หลังอาบน้ำสวมเสื้อผ้าเสร็จก็เข้าสู่ห้วงเวลาและพื้นที่ส่วนตัว กลางวันเป็นแม่ค้า ส่วนกลางคืนกลายร่างเป็นนักเขียนเงาผู้ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกแห่งการเขียน ฉันรับงานเขียนเรียบเรียงข้อมูลดิบจากประสบการณ์ของลูกค้าขึ้นเป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจในชื่อเขา และยังรับช่วยเขียนนิยายจากพล็อตของนักเขียนผู้ว่าจ้างเพื่อนำไปรีไรต์ในสำนวนของตนเองต่อ งานเขียนเชิงพาณิชย์มักใช้วิธีนี้ร่นเวลาการทำงาน ทำให้ออกผลงานเร็วขึ้น นักอ่านก็ไม่ต้องรอนาน ฉันรับจ้างเขียนชิ้นงานทุกประเภทมาหลายปีหลังจบมหาวิทยาลัย จนปีนี้เข้าเบญจเพส รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนแปลงแนวทางชีวิตของตนเองในสายนี้ ฉันไม่อยากหลบอยู่ในเงา ฉันอยากเขียนงานที่มีชื่อหน้าปกเป็นชื่อตัวเอง ฉันคิดมาระยะหนึ่งแล้ว และตัดสินใจว่าจะเริ่มจากสารคดีชีวิตตัวเอง งานชิ้นนี้ฉันอยากทำมันเพื่อปลดปล่อยบางสิ่งในใจตัวเองและใครอีกคน รวมถึงไขข้อสงสัยบางอย่าง ฉันอยากรู้ว่าทำไมแม่ไม่อยากกลับบ้านทั้งที่รักและห่วงใยคนในครอบครัวมาก

            ดูแม่จะดีใจกว่าฉัน พอรู้ว่าลูกสาวตั้งใจเขียนหนังสือเป็นผลงานตัวเอง รีบพูดสนับสนุนทั้งที่ยังไม่ได้บอกว่าเป็นงานอะไร แบบไหนแม่ก็บอกว่าเอาใจช่วย พร้อมทั้งว่าไม่ต้องอยู่ช่วยขายเพราะวันจันทร์ปกติแล้วลูกค้าน้อย ให้ไปทำงานได้เลย เช้านี้ฉันจึงเพียงช่วยเปิดร้าน จัดเรียงฝรั่งกิมจู มะละกอฮอลแลนด์ และกล้วยหอมทองขึ้นแผงเสร็จแล้วก็ออกมา

            ฉันขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้แชมป์ เอ็กซ์ตร้าแค็บสีขาวของแม่ วิ่งบนเส้นรังสิต-นครนายก ราวหกสิบกิโลเมตร ตัดเข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษกไปทางวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก มุ่งตรงไปยังสวนของยายที่อำเภอไทรน้อย เพียงแค่เลี้ยวเข้าในเขตพื้นที่สวนก็รู้สึกถึงความร่มเย็น ฉันปิดแอร์แล้วลดบานกระจกลงก็ได้กลิ่นดิน กลิ่นต้นไม้ใบหญ้า และเหมือนว่าจะได้กลิ่นต้นกล้วยที่กำลังออกปลีหรือไม่ก็ออกดอก

            สวนผลไม้ของยายมีขนาดพื้นที่สิบไร่ เป็นสวนผสมปลูกผลไม้หลายชนิด เคยเจอเข้ากับอุทกภัยใหญ่ปี 54 ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุสิบสาม ความจริงถ้าน้าสิน-น้องชายของแม่ พี่ชายของน้าสาไม่ถูกโรคร้ายพรากไป คงได้เป็นเรี่ยวแรงหลัก ครอบครัวมีผู้ชายสักคนเราคงอุ่นใจขึ้น หลังน้ำลดเหลือเศษซากการล้มตายของพืชพันธุ์ไว้ให้ แม้เราจะขวัญเสียและโศกเศร้าไม่ต่างจากเพื่อนบ้านเจ้าของสวนอื่น ๆ แต่เราก็ต้องฮึดสู้ ในตอนนั้น น้าสาจึงเป็นเรี่ยวแรงหลัก โดยมีแม่เป็นกำลังเสริมช่วยกันพลิกฟื้นสวนกลับมา ได้ประสบการณ์ทำสวนมาทั้งชีวิตของยายเป็นคู่มือการทำงาน ส่วนฉันที่แม้จะมีความสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่มีแขนขาเรียวเล็กเหมือนลำก้านกล้วย แถมเรี่ยวแรงน้อยช่วยอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากเขียนบันทึกและเก็บจำการต่อสู้กับความโชคร้ายนี้ไว้เป็นประสบการณ์

            น้าสาจ้างชายหนุ่มละแวกบ้านห้าคนมาช่วยฟื้นฟูพื้นที่ จ้างรถแบ็กโฮเล็กมาขุดรื้อซากต้นไม้ เตรียมดินปลูกใหม่ แต่ละแปลงต้องขุดร่องน้ำโกยดินขึ้นมาใหม่ ขุดหลุมระยะปลูกห่างกันราวสิบเมตร คู่มือของยายบอกว่า หลุมดินที่จะนำต้นกล้าลงต้องเตรียมดินโดยการนำซากพืชที่ล้มตายจากน้ำท่วมใส่ลงก้นหลุม ตามด้วยขี้วัวแล้วดินกลบ ใช้กาบมะพร้าวทับไว้เป็นสัญลักษณ์ จากนั้นก็รอให้ธรรมชาติช่วยเหลือ ผ่านไปสักหนึ่งฝนดินก็จะใช้ได้ ตอนนั้นน้าสาได้รับกิ่งพันธุ์ทุเรียนจากไหนไม่รู้มาหลายสิบต้น ยายบอกว่าทุเรียนปีแรกต้นยังเล็ก ไม่สู้แดด น้าสาจึงหาไม้ผลชนิดอื่นมาปลูกช่วยให้ร่มเงาเจ้าพวกต้นทุเรียนน้อย แม่ค้าขายผลไม้อย่างฉันกับแม่ก็พลอยได้ความรู้ไปด้วย ผ่านไปห้าปีถึงได้เก็บทุเรียนไปขาย แต่ก่อนหน้านั้นก็ได้เก็บมะม่วงอกร่อง เขียวเสวย ส้มเขียวหวาน กล้วยไข่ กล้วยหอมทอง มะละกอฮอลแลนด์ และฝรั่งกิมจูไปหลายรอบแล้ว

            บ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูง ใต้ถุนกันไว้จอดรถ เฉลียงหน้าบ้านกว้างเหมาะนั่งรับลมและกินข้าว ห้องนอนใหญ่สาม ห้องน้ำหนึ่ง ครัวปิดและครัวเปิดอยู่ด้านหลัง บ้านหลังนี้ใหญ่เกินไปสำหรับสองคน ยังมีเรือนไม้หลังเล็กยกพื้นสูงราวเมตรปลูกอยู่ด้านหลัง ที่นั่นเคยเป็นของแม่ ยายไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะไปทำความสะอาดได้บ่อย น้าสาก็ยุ่งงานในสวนจนแทบไม่มีเวลาทำกับข้าว บ้านจึงถูกทิ้งไว้จนเก่าทรุดโทรม

            ฉันหิ้วเป้ไว้ที่ไหล่ ก้าวตามขั้นบันไดขึ้นไปหยุดยืนที่เฉลียง บ้านเงียบราวไม่มีคนอยู่ ช่วงสายน้าสาคงอยู่ที่สวน นึกสงสัยว่ายายไปไหน หลังวางเป้บนตั่งไม้ก็ก้มรูดซิปกระเป๋าหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือโทรหายาย ทางปลายสายบอกอยู่ในงานทำบุญเลี้ยงพระของเพื่อนบ้านสวนข้าง ๆ ยายบอกจะรีบกลับหลังพระสวดจบ แต่พอฉันบอกว่าจะอยู่อีกนานยายก็ตอบรับก่อนกดวางสาย

            กล้วยน้ำว้าโชควิเชียรทั้งเครือห้อยแขวนอยู่บนราวไม้ไผ่ที่สอดระหว่างเสาใต้ขื่อ ลูกใหญ่อ้วนป้อม เปลือกเหลืองสุกกำลังดี ฉันลุกขึ้นเดินไปบิดดึงออกมาสามลูก ปอกกินรองท้อง เนื้อเหนียวนุ่มหวานฉ่ำ  กล้วยสามลูกหมดลงก็ยินเสียงคนร้องทัก

            น้าสาพาร่างท้วมหิ้วหูตะกร้าสานจนตัวเอียงเดินขึ้นบันไดมา ทักทายก่อนวางตะกร้าลงบนพื้น ฉันมองทุเรียนลูกย่อมสองลูกไม่วางตา จะได้กินของโปรดอีกแล้ว

            ไม่บ่อยครั้งนักที่เราได้อยู่กันลำพัง ปกติจะมียายนั่งอยู่ด้วย น้าสามักหลบเลี่ยง อาจเพราะกระดากใจ ฉันเองก็พยายามปรับท่าทีให้ดูไม่ประดักประเดิดนัก น้าสาถามเรื่องข้าวปลา พอรู้ว่ากินแต่กล้วยก็บอกจะไปหามาให้ ฉันรีบรั้งไว้แล้วมองไปทางตะกร้า อยากกินในนั้นมากกว่า ปลายหนามแห้งออกสีน้ำตาล เส้นร่องหนามสีเขียวคล้ำ ไม่ต้องเคาะก็รู้ว่ากินได้แล้ว น้าสายิ้มรับ เดินไปที่ครัวกลับมาพร้อมถาดพลาสติกกับมีด

            น้าสาจดปลายมีดที่ร่องเปลือกแล้วออกแรงปอก ดูคล่องแคล่วเหมือนแม่ อึดใจเดียวก็ยื่นเนื้อพูใหญ่ผิวตึงสีเหลืองอร่ามพร้อมเปลือกมาให้ ฉันหยิบเม็ดหนึ่งมากัดกิน ฉีกเนื้อออกเป็นเส้นเหมือนเนื้อไก่ฉีก  รสหวานกำลังดี กรอบนอกนุ่มใน ขณะกำลังเคลิบเคลิ้มกับรสชาติ น้าสาก็เอ่ยปากถาม คงนึกแปลกใจที่วันนี้ฉันมาคนเดียว ฉันรีบเคี้ยวกลืนก่อนตอบ

            พอฉันเล่าจุดประสงค์การมา น้าสาก็ตื่นเต้นใหญ่ พูดเหมือนแม่ว่าอยากเห็นผลงานที่เป็นชื่อของฉันและพร้อมสนับสนุน ฉันบอกว่างานที่อยากเขียนในชื่อตัวเองเป็นเล่มแรก ไม่ใช่นิยายอย่างที่น้าอยากอ่าน แต่เป็นสารคดีชีวิตที่อยากเขียนไว้เป็นที่ระลึกแด่แม่และครอบครัวของเรา จึงอยากขอให้น้าช่วยเล่าเรื่องราวในส่วนที่ฉันไม่รู้ ซึ่งก็คือในช่วงก่อนที่ฉันเกิด พอพูดถึงตรงนี้สีหน้าน้าสาก็เจื่อนลง

            อันที่จริงจุดประสงค์การเขียนหนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแค่การเขียนเล่าเรื่องราว แต่เป็นการปลดเปลื้องความรู้สึกผิดของน้าสา ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากทั้งกับตัวฉันเองด้วย แต่ก็คิดว่า มันจะดีหากได้รื้อเรื่องราวในอดีตมาเพื่อคลี่คลายปมในใจเราทุกคน

            ตอนที่ฉันโตขึ้นถึงได้รู้ว่าน้าสาคือแม่ผู้ให้กำเนิด ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นแม่เคยสอนให้ฉันเรียกน้าสาว่าแม่บ้างหรือเปล่า แต่เท่าที่จำได้ ฉันก็เรียกแต่น้าสามาจนถึงทุกวันนี้ แม่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องแยกออกไปอยู่ลำพังกับแม่ ทุกครั้งที่ถามก็มักเลี่ยงและว่ามันไม่สำคัญเท่าเราได้อยู่ด้วยกัน ทำราวกับว่ามีความลับที่ไม่อยากพูดถึง และยิ่งบ่ายเบี่ยงฉันยิ่งอยากรู้ แต่พอแม่เงียบฉันก็ต้องเงียบ จนเข้าวัยรุ่นฉันก็หาทางรู้จนได้ ยายยอมเล่าหลังจากที่ทนถูกรบเร้าไม่ไหว

            ยายเล่าว่า พ่อของฉันคือลุงเจ้าของสวนทุเรียนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก สวนนั้นใหญ่และมีชื่อเสียงเรื่องผลไม้เกรดดี ยายเล่าแค่นั้นพร้อมกำชับไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเขา ครอบครัวทางนั้นก็ไม่อยากยุ่งกับเรา คงเกรงจะไปหารสมบัติลูกหลานเขา ตอนนั้นฉันรู้สึกแย่และไม่อยากเข้าใกล้น้าสา น้าเองก็คงรู้สึกได้เช่นกัน ดูจากสีหน้าและท่าทีคงรู้สึกผิดต่อฉันมาก เราอยู่ในความกระอักกระอ่วนใจหลายปี กว่าฉันจะเข้าใจเรื่องบางเรื่อง

            อาจเพราะฉันเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จึงได้ทบทวนและเข้าใจได้ว่า ชีวิตคนเรา มีใครบ้างไม่เคยทำเรื่องผิดพลาด

            ไม่ว่าช่วงชีวิตในวัยสาวของน้าสาจะเคยผิดพลาดที่ตรงไหน แต่หลังจากนั้นน้าก็ได้ทำสิ่งที่ควรทำ ทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลสวนเพื่อกอบกู้ศักดิ์ของยายและตัวเอง ทำให้พวกเขา ไม่ต้องระแวงว่าน้าจะอยากได้อะไรของใคร น้าสายังดูแลยาย เป็นเรี่ยวแรงหลักทำงานในสวน ส่งเงินให้แม่เลี้ยงดูฉันไม่เคยขาดพร่อง คัดผลไม้เกรดดีเตรียมไว้ให้แม่เอาไปขาย ฉันเติบโตและเรียนหนังสือจนจบได้ก็เพราะผลไม้จากสวนนี้ ที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของน้าสา วันนี้ฉันจึงอยากสลายความรู้สึกผิดในใจน้าสา เราจะได้กล้าใกล้ชิดกันมากขึ้น

            ฉันวางเปลือกทุเรียนที่ยังมีเนื้อลงถาดแล้วพูดสิ่งที่คิดเตรียมมาไว้ น้าสานิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนยกคอเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา แล้วพูดว่าขอโทษ ฉันบอกว่าฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เข้าใจเรื่องทุกอย่างดี น้าสาไม่ได้ผิดอะไรต่อฉันในฐานะแม่ผู้ให้กำเนิดเลย พอพูดถึงตรงนี้น้าสาก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ฉันเข้ากอดแขนหลวม ๆ ไว้เป็นครั้งแรก น้าสาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขอโทษที่ทำให้ฉันเกิดมาในครอบครัวไม่สมบูรณ์ ฉันปลอบว่าครอบครัวเราสมบูรณ์แล้ว ฉันพยายามสะกดกลั้นน้ำตาตัวเองเมื่อยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิม น้าสาคงกำลังปลดปล่อยความรู้สึกที่เก็บกักไว้มานาน นอกจากได้กอดกัน เสียงร้องไห้นี้ก็นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเช่นกัน ผู้หญิงที่เก่งกล้าและเข้มแข็งกลับตัวอ่อนยวบราวฟองน้ำที่โอบอุ้มน้ำตาไว้

            น้าสาพยายามยิ้มให้ฉันหลังยกคอเสื้อปาดน้ำตาอีก นึกเสียดายที่หลายปีก่อนหน้านี้ฉันเอาแต่กลัว ไม่กล้าพูด ไม่เช่นนั้นเราคงได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมเรือนเดียวกันไปนานแล้ว ฉันปล่อยให้น้าสาร้องไห้อยู่พักหนึ่งจนประคองอารมณ์ได้ จึงลองถามเรื่องที่แม่พาฉันแยกออกไปอยู่กันตามลำพัง แล้วไม่ยอมกลับบ้าน ทุกครั้งที่ถามแม่มักเลี่ยง น้าสาตอบว่า ต้นเหตุเป็นเพราะน้าสาอีกเช่นกัน

            เพื่อให้ฉันได้รู้เรื่องทุกอย่างนำไปเขียนบันทึก น้าสาจึงเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้น

            หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย น้าสาตั้งใจใช้ความรู้ด้านเกษตรศาสตร์มาช่วยพี่ชายดูแลสวน แต่กลับหลงคำและมีใจรักลูกชายเจ้าของสวนทุเรียนใหญ่ อาจเพราะมองภาพอนาคตการเกื้อกูลกันระหว่างกัน หากร่วมชีวิตก็ยิ่งส่งเสริมเจริญรุ่งเรือง น้าคิดผิดพลาดตรงที่ปล่อยให้ตัวเองตั้งท้องเพื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยอมให้อยู่ด้วยกันเร็วขึ้น แต่ยังไม่ทันได้บอกความจริงกับยายก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน น้าหารู้ไม่ว่าภรรยาของเขาที่เขาบอกว่าใช้ชีวิตไปต่อไม่ได้ จะเลิกรากันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งพอรู้ว่าเป็นน้าก็โทรมาข่มขู่บอกจะฟ้องศาลเรียกค่าเสียหายให้สวนเราล่มจม ผู้ชายคนนั้นไม่กล้าแม้เอ่ยปากห้ามหรือปกป้อง น้าโทษตัวเองที่โง่ น้ากลัวและไม่อยากให้ยายเดือดร้อน ลนลานรับปากทางนั้นว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว

            แม้แต่ละสวนจะอยู่ห่างกัน แต่เรื่องแบบนี้คงรู้กันทั่วในไม่ช้า น้าจึงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพราะอายคน ส่วนยายแม้จะไม่ดุด่าแต่รู้ว่าเสียใจมาก นิ่งเงียบ กินข้าวน้อยลง คงดื่มกินความทุกข์เศร้าแทนแล้ว พี่ชายกับพี่สาวก็เช่นกัน ไม่ปลอบโยน ไม่ก่นด่า วันทั้งวันเอาแต่อยู่ในสวน น้าบอกว่ารู้สึกเศร้าที่ทำให้ครอบครัวตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน น้าอดทนจนกระทั่งคลอด และเรื่องก็ไม่จบแค่นี้หลังทางฝั่งนั้นรู้

            ตอนนั้นน้าคิดแค่ว่า ถ้าน้าไม่อยู่สักคนเขาจะมาฟ้องใครได้ พอลูกอายุได้หนึ่งเดือนน้าก็ตัดสินใจเขียนจดหมายถึงพี่สาว ยกลูกให้ แล้วก็หนีขึ้นทางเหนือ ไปสมัครงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัยพันธุ์พืชบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง อยู่ได้สามปีก็ทนความผิดบาปในใจที่ทิ้งลูกไม่ได้ คิดว่าเรื่องคงเงียบแล้วจึงกลับบ้าน แต่พอมาถึงจึงได้รู้ว่าพี่สาวพาลูกย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่อยากให้มีปมด้อยจากขี้ปากคนอื่นเอาไปพูดลับหลัง ในย่านนี้ใครเป็นเมียน้อยและลูกเมียน้อยจะเป็นตราบาปถูกเหยียดหยามไปตลอด จึงพาลูกไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ เติบโตมาอย่างมีศักดิ์ศรีอย่างคนอื่น น้าสาน้ำตาคลอเมื่อพูดถึงตรงนี้

            ฉันเอื้อมไปจับมือน้าสาพลางคิดถึงแม่ น้าสาพูดขึ้นว่าเป็นหนี้บุญคุณพี่สาว ชาตินี้คงชดใช้ไม่หมด พี่สาวทิ้งชีวิตที่ควรจะได้มีครอบครัวของตนเองเพื่อดูแลหลาน ยิ่งหลานโตขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่กล้าไว้ใจผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะทุกครั้งที่มีข่าวอาชญากรรมเกี่ยวกับเด็กก็ยิ่งฟุ้งซ่าน หนุ่มน้อยใหญ่แม้จะท่าทางเป็นคนดีก็ปิดกั้นทุกคน บอกว่าจะอยู่เป็นโสด เลี้ยงเด็กเป็นเพื่อนกันไปอย่างนี้ สบายใจและมีความสุขแล้ว

            ฉันบอกน้าสาว่าตอนนี้ฉันก็ยี่สิบห้าแล้ว มีภูมิต้านทานคำหยามเหยียดหมิ่นแคลน และการเขียนหนังสือทำให้ฉันรู้จักใช้เหตุผล สถานะลูกเมียน้อยไม่สามารถลบทิ้งไปจากความคิดของคนอื่นได้ แต่เมื่อผิดพลาดไปแล้วเราก็ต้องยอมรับและใช้ชีวิตกันต่อโดยไม่ให้กระทบกับใคร ฉันคิดว่าตอนนี้เราไม่ควรแยกกันอยู่อีกต่อไป ส่วนฉันนั้นไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร น้าสาบอกว่าดีใจที่ได้ยินอย่างนี้ เพราะเคยขอให้ย้ายกลับมา แต่แม่ไม่ยอมท่าเดียว

            ฉันพูดขึ้นว่า ไม่เพียงครอบครัวเราที่จะเริ่มต้นกันใหม่ แม้แต่น้าสากับแม่ ฉันก็ไม่มีปัญหาหากจะมีใครสักคนมาดูแล น้าสารีบโบกมือพัลวันแล้วว่า มีกันแค่นี้น่ะดีที่สุดแล้ว ฉันเลิกคิ้วพลางบอก ต่อไปหากเปลี่ยนใจก็ไม่ว่ากัน น้าสาส่ายหน้ารัว ยังไงก็ไม่เอา

            ขับรถออกจากสวนมาก่อนที่ยายจะกลับ ถูกบ่นเล็กน้อยเมื่อคุยสายกัน ยายบอกว่าอุตส่าห์จะหิ้วขนมจีนน้ำยาจากบ้านงานมาให้ ฉันต้องบอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีก นั่นแหละถึงหยุดบ่นและบอกว่าจะรอ

            กลับไปที่แผงร้านผลไม้ ช่วยแม่ขายจนถึงเวลาปิดร้านในตอนเย็น ดูแม่เหนื่อยล้า วันนี้ผิดคาดมีลูกค้ามาอุดหนุนเยอะ แม่บอกว่าอาหารเย็นคงต้องซื้อ ฉันพยักหน้ารับก่อนบอกว่า ไม่ต้องซื้อไข่ข้าวมาอีก ไม่เช่นนั้นฉันจะแย่งกินให้หมด แม่หัวเราะแล้วย้ำถึงอาถรรพ์ 

            ‘กลัวซะที่ไหน’ – ฉันพูดพลางยิ้ม

            แม่ดูตัวเล็กลงอีก ไหล่ลู่ เรียวแขนเล็ก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูแข็งแกร่งเสมอ ฉันตัดสินใจแน่วแน่ คืนนี้จะนอนคุยกับแม่ พร้อมบอกเล่าเรื่องที่ได้คุยกับน้าสา ฉันเข้าใจเรื่องทุกอย่างดีและแม่ไม่จำเป็นต้องปกป้องฉันจากสายตาใครต่อใครอีกต่อไป

            ฉันรับปากกับน้าสา ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะกลับบ้าน เพราะแม่ห่างจากครอบครัวนานเกินไปแล้ว.

 

                                    ................................................................


 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์