เรื่องสั้น : ลับมีด : ทิพากร

เรื่องสั้น : ลับมีด : ทิพากร

 

            ธงชัยหยิบมีดเข้าออกจากกระเป๋าอยู่นาน กระทั่งเสียงแตรรถเซ็งแซ่จากถนนใหญ่ไม่ไกลบ้านไม้หลังเก่าปลุกเขาให้รีบตัดสินใจ

            ในย่ามของเขามีแต่ของที่คิดว่าจำเป็น อันได้แก่ อาหารกลางวันที่มีข้าวคลุกน้ำปลาเพียงหยิบมือ และมีดปอกผลไม้ที่เพิ่งนั่งลับไว้เมื่อเช้ามืด

            ธงชัยเคยประกอบอาชีพมาแล้วหลายอย่าง แต่ก็ต้องมีเหตุให้ออกจากงานเสียทุกครั้ง เขาเคยเป็นพนักงานคิดเงินที่ร้านสะดวกซื้อ แต่เพียงผ่านประมาณสองเดือนเศษที่แห่งนั้นก็ปิดกิจการลงอย่างที่เขาก็ไม่รู้สาเหตุ ต่อมาเขาก็เป็นคนส่งอาหารกล่องที่ร้านอาหารจีน แต่กิจการไม่ดี ร้านจำเป็นต้องปลดพนักงานออก และหนึ่งในผู้โชคร้ายคือธงชัย แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ยังรับจ้างหลายต่อหลายงาน แต่ก็ไม่วายอยู่ได้ไม่เกินสามเดือนทุกครั้ง เรื่องราวซ้ำซากทำให้น้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา เขากลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ออกไปไหนถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม กระทั่งเงินออมแทบไม่เหลือ ท้องที่ร้องโครกครากสั่งให้เขาออกจากบ้านและหาเงินประทังชีวิตอีกครั้ง

            ธงชัยหยิบมีดเล่มเดิมวางไว้ในช่องข้างประตูคนขับ เขาได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวพิกล แต่ถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่ควรลังเลอีก หากไม่ทำ เขาก็ไม่อาจหยุดความหิวโหยที่เกิดขึ้นทุกวี่วันได้ ธงชัยปาดเหงื่อที่ผุดตามใบหน้า ทั้งที่เข้าหน้าหนาว อากาศเริ่มเย็นบ้างแล้ว แต่เหงื่อไหลจนชุ่มทั้งแผ่นหลัง

            วันนี้เป็นวันแรกที่ธงชัยทำงานเป็นคนขับแท็กซี่ เขานำเงินก้อนสุดท้ายเช่ารถในราคาแสนถูกจากคนรู้จักที่ถูกหวยแล้วเลิกขับรถแท็กซี่กะทันหัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีเงินพอที่จะใช้จ่ายได้ทั้งสัปดาห์ เขาจึงขอผ่อนจ่ายเป็นรายวัน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดที่เขาขอแบบนั้นเพราะเขาตั้งใจว่าวันนี้จะเป็นเพียงวันเดียวที่เขาขับรถแท็กซี่

            “เจ็ดโมงเช้าแล้วสินะ” เขามองไปที่นาฬิกาด้านหน้าคนขับ เขาขับมาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ จึงไม่หวังว่าจะมีใครมาโบกรถโดยทันที เพราะธงชัยคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้าย แต่ทันทีที่เขากำลังขับไปถึงวัดเก่าแก่ประจำเมือง ยายหลังค่อมเดินถือไม้เท้า ใส่เสื้อลูกไม้ขาว และผ้าถุงสีน้ำตาลแก่เดินมาพร้อมกับหลานสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ถักเปียสองข้างและจับมือคุณยายแน่น โบกมือเรียกเขา เขาเหลียวมองมีดอีกครั้งด้วยหัวใจที่กลับมาเต้นแรงกว่าเดิม รถได้จอดเทียบสนิทแล้ว หลานสาวตัวน้อยพาคุณยายเดินขึ้นรถช้า ๆ ที่เบาะหลัง

            “เราควรทำเรื่องแย่ ๆ แบบนั้นเลยหรือเปล่านะ ต้องทำเลยสิ ก็ตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่หรือไง” ธงชัยมัวใจลอย ไม่ทันฟังผู้โดยสาร จนยายตะโกนเสียงดังขึ้นว่า

            “พ่อหนุ่ม ฉันจะไปตลาดตรงนั้นหน่อย ช่วยพาไปหน่อยสิจ๊ะ” ธงชัยกลับมามีสติอีกครั้ง เขาพยักหน้าสองครั้งติดกันแล้วออกรถโดยที่มีดเล่มนั้นยังคงอยู่ที่เดิม

            “ถ้าถึงตลาด ก็จะพลุกพล่าน นี่เรากำลังปล่อยโอกาสไปเลยสินะ” ธงชัยปล่อยมือขวาออกจากพวงมาลัยแล้วเอื้อมหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมา

            “พ่อหนุ่ม เอาไปสิ” หญิงชราเอ่ยพร้อมยื่นมะม่วงเปลือกเขียวลูกใหญ่ในตะกร้าหวายให้

            ธงชัยไม่รู้จะเอ่ยเช่นไร และเขาก็ลังเลที่จะรับของจากคนที่เขากำลังคิดไม่ดีด้วย

            “พระท่านให้หลานมาน่ะ รับไปเถอะ เช้า ๆ แบบนี้คงยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม ผอมซูบเชียว”

            ธงชัยปล่อยมีดและรับมะม่วงด้วยใจที่หนักอึ้ง “ขอบคุณครับ” ธงชัยเอ่ยเสียงเบา

            รถจอดเทียบฟุตบาทอีกครั้ง ตัวเลขสีแดงบนจอมอนิเตอร์ขึ้นว่าห้าสิบบาท แต่หญิงชรากลับหยิบธนบัตรยี่สิบสามใบให้กับธงชัย “ไม่ต้องทอนหรอกนะ” ยายยิ้มก่อนลงรถกับหลานตัวน้อย

            เงินพิเศษเพียงสิบบาทที่ได้เพิ่มมากลับทำให้หัวใจเต้นแรงเหมือนตอนกำมีด แต่ความรู้สึกกลับตรงกันข้าม

            เขาขับต่อเรื่อย ๆ ก็มีชายใส่เสื้อเชิ้ตขาวยืนโบกมืออย่างร้อนรนหน้าบริษัท

            “คราวนี้แหละ เราจะไม่พลาดอีกเด็ดขาด” ธงชัยสูดลมหายใจพร้อมหยิบมีดเตรียมพร้อม

            “น้อง ไปโรงพยาบาลด่วนเลย” ผู้โดยสารพูดพร้อมกับนั่งที่เบาะหลังอย่างร้อนรน

            โรงพยาบาลที่กำลังไปเป็นของเอกชน ธงชัยเชื่อว่าผู้โดยสารคนนี้น่าจะมีฐานะ เขากำลังเลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยว แต่คำพูดต่อมา ทำให้เขาจำใจวางมีดที่ข้างคนขับอีกครั้ง เพราะเขาไม่กล้าแตะต้องวันดี ๆ ของชายคนนี้

            “เร็วอีกได้ไหมน้อง เมียพี่จะคลอดแล้ว”

            “ครับ” ธงชัยตอบพร้อมขับเร็วขึ้นเท่าที่สภาพการจราจรอำนวย

            ธงชัยยินดีกับผู้โดยสารแต่หักห้ามความเจ็บช้ำที่ตัวเองไม่มีอะไรน่ายินดีเลยสักอย่างไม่ได้ เขาจอดส่งผู้โดยสารที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล “ดีใจด้วยนะครับ” เขาคิดที่จะพูด แต่ผู้โดยสารวิ่งออกจากรถไปแล้ว

            ธงชัยวนเวียนอยู่แถวสี่แยกถึงสองรอบ แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะโบกรถเขาเลย หลายครั้งที่ถูกตัดหน้าด้วยรถที่ใหม่กว่าและรวดเร็วกว่าเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เขาคิดย้ำว่าเขาโชคร้ายเสียเหลือเกิน

            เสียงท้องร้องโครกครากหยุดความคิดแง่ลบได้ชั่วคราว เขาหาที่พักรถจนเจอซอยข้างหน้าคนไม่พลุกพล่าน จึงขับเข้าไปจอดใต้ร่มไม้ ธงชัยหยิบกล่องข้าวที่ท้ายรถ แต่แล้วขนทุกเส้นก็ลุกชัน ลมหายใจขาดห้วงไปจังหวะหนึ่ง สองมือยกเหนือศีรษะโดยไม่รู้ตัว

            “อย่าทำร้ายผมนะ” ธงชัยร้องขอชีวิตจากชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวและแต่งตัวสะอาดสะอ้าน

            “ผมไม่มีเงิน พี่จี้ผิดคนแล้ว” ธงชัยพูดตะกุกตะกัก เขาไม่คาดฝันว่าวันที่เขาออกหาเหยื่อ จะกลายเป็นตัวเขาที่ตกเป็นเหยื่อเอง ธงชัยมองไปที่มีดที่ใหญ่กว่ามีดบนรถ และทำด้วยวัสดุชั้นดี

            “ผมไม่ได้มาเอาเงินคุณหรอก แต่มาขอความช่วยเหลือต่างหาก”

            “ช่วยเหลือบ้าอะไร ใช้มีดจี้อยู่เนี่ยนะ” ธงชัยเผลอเปล่งเสียงดัง ปลายแหลมของมีดขยับใกล้เขามากขึ้น เขากลับมาหน้าซีดอีกครั้ง

            “พาผมหนีตำรวจหน่อย ถ้าคุณยอมช่วย ผมจะแบ่งเงินในกระเป๋านี้ให้คุณครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าคุณไม่ช่วย ผมก็จำใจที่จะต้องฆ่าคุณทิ้ง”

            ธงชัยมองไปที่กระเป๋าสีดำขนาดกลาง ก่อนมองชายแปลกหน้าช้า ๆ “ขึ้นรถสิ” ธงชัยกล่าว

            ธงชัยให้ชายแปลกหน้ามานั่งข้างหน้ากับเขา เพราะในใจก็แอบหวั่นอยู่ว่าเขาอาจถูกทำร้ายจากด้านหลัง

            “ขับเร็วกว่านี้ได้ไหม” ชายแปลกหน้าหงุดหงิด พร้อมมองรอบ ๆ ตลอดเวลา

            “ถ้าขืนช้าแบบนี้ตำรวจได้ตามจับทันแน่”

            “แล้วจะให้หนีไปไหนล่ะ” ธงชัยถามพร้อมเหลือบมองใบหน้าของชายแปลกหน้าอีกครั้ง คราวนี้ชายแปลกหน้ากัดเล็บและสั่นขาขวาหลายครั้ง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชายแปลกหน้าตอบ

            “นี่พี่ยังไม่ได้วางแผนเลยหรือยังไง” ธงชัยถอนหายใจอย่างเสียอารมณ์

            “ผมซื้อตั๋วไปเม็กซิโกแล้ว แต่ป่านนี้ตำรวจคงดักจับผมที่สนามบินแล้วล่ะ เอาเป็นว่าขับไปเรื่อย ๆ ก่อน ถ้าผมคิดได้เมื่อไหร่ผมจะบอกคุณเอง”

            “เจริญจริง ๆ นี่มันวันอะไรวะเนี่ย” ธงชัยรำพึงกับตัวเองเบา ๆ

            “แล้วในกระเป๋าน่ะมีเงินมากขนาดไหนเหรอ ถึงขนาดเอามาแบ่งผมตั้งครึ่งหนึ่ง”

            “สองล้านเศษ ๆ น่ะ”

            “นี่พี่จะแบ่งให้ผมตั้งหนึ่งล้านเลยเนี่ยนะ ผมว่าพี่คงฆ่าผมทันทีที่ปลอดภัยแล้วแน่ ๆ”

            “ผมไม่ได้อยากฆ่าใคร ถ้าไม่จำเป็น” ชายแปลกหน้ากล่าวเสียงแข็ง ธงชัยชะงักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “แล้วพี่ขโมยเงินพวกนี้มาจากที่ไหนล่ะ”

            “จากตู้นิรภัย” ชายแปลกหน้าหยุดพูดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “ที่บ้านผมเอง”

            ธงชัยอ้าปากค้างและนิ่งเงียบ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะ

            “ผมรู้แล้วว่าพี่จะไปไหน ผมให้พี่เลือกสองทาง คือกลับบ้านพี่ซะ หรือว่าไปหาหมอ พี่ต้องบ้าแน่ ๆ ที่ขโมยเงินของตัวเอง”

            “กูไม่ได้บ้า” ชายสติไม่ดีตะโกนก่อนเหลือบไปเห็นมีดข้างคนขับ

            “นั่นมีดอะไร จะมาแทงกูเหรอ” เขากล่าวเสียงดังด้วยท่าทีตกใจกลัว และดูสติหลุดลอยยิ่งกว่าเดิม

            “เปล่าพี่ มันแค่มีดปอกผลไม้ ผมพกไว้ปอกผลไม้เฉย ๆ” ธงชัยโกหกและหวังว่าเขาจะยอมเชื่อ

            “กูไม่เชื่อ มึงคือศัตรูที่จ้องจะทำร้ายกูอยู่ใช่ไหม มึงต้องตาย” สิ้นคำพูดนั้นเขาก็ตวัดมีดไปบนแขนธงชัย รถหักไปชนเสาไฟข้างทาง และธงชัยก็ไม่รับรู้อะไรอีก

 

            ธงชัยลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่โรงพยาบาล เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ยังมีชีวิตอยู่ ตำรวจได้ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนที่ครอบครัวของชายสติไม่ดีจะเข้ามาขอโทษและขอเจรจายอมความ พวกเขายินดีชดใช้ค่าเสียหายรถแท็กซี่และยินดีดูแลเขาจนกว่าจะหายและให้ค่าปลอบขวัญเป็นเงินก้อนใหญ่

            หลังจากรักษาตัวที่โรงพยาบาลสองวัน เขาก็กลับมารักษาตัวต่อที่บ้านได้ ธงชัยตั้งใจกลับมาขับรถแท็กซี่อีก เพราะเขารู้สึกว่าอาชีพนี้นำโชคมาให้ แต่ไม่พกมีดขึ้นรถอีกแล้ว

            ธงชัยหยิบมะม่วงที่ได้มาจากผู้โดยสารคนแรก ตอนนี้เปลือกกลายเป็นสีเหลืองน่ารับประทานยิ่งกว่าเก่า เขาเฉือนเปลือกทิ้งด้วยมีดเล่มเดิม ธงชัยกินด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ เขาค้นพบแล้วว่า เขาได้ใช้มีดอย่างถูกวัตถุประสงค์แล้ว

 

                                    ...........................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์