เรื่องสั้น : พิสูจน์อักษรผู้สลักสำคัญ : อดิศร ไพรวัฒนานุพันธ์

เรื่องสั้น : พิสูจน์อักษรผู้สลักสำคัญ : อดิศร ไพรวัฒนานุพันธ์

 

            ผมไม่เข้าใจเอาเลยว่าหล่อนรู้สึกว่าตัวเองสลักสำคัญขนาดนั้นได้อย่างไร คุยโวเหมือนตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโรที่ทำหนังสือทั้งเล่มเองเสร็จสรรพทุกอย่าง ทำหน้าที่แทนบรรณาธิการและกราฟิกไปด้วย คนอื่นแค่ตัวประกอบ ไม้ประดับ หล่อนยืนหนึ่ง เก่งที่สุด ทั้งที่ตำแหน่งงานแค่พิสูจน์อักษร

            คุยหนักทั้งที่ผลงานห่วย ราวกับการที่จะเป็นคนเก่งไม่จำเป็นต้องมีผลงานที่ดี ไม่ต้องมีหลักฐาน เก่งก็คือเก่ง แม้ผลไม่มีอะไรเลยที่ดี แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกเก่งของหล่อนได้

            น่าเศร้าที่มันมีแต่ความหลงตัวเอง ความเข้าใจผิด ตัวพองใหญ่โตทั้งที่ไม่มีสิ่งจับต้องได้รองรับความเชื่อละเมอเพ้อพกเหล่านี้เลย

            ผมขอออกตัวก่อน ว่าผมไม่ได้เป็นพวกขี้อิจฉา เห็นคนอื่นได้ดีแล้วทนไม่ได้ ต้องเอาคนคนนั้นมาพูดในทางไม่ดี อย่าว่าแต่หล่อนไม่อาจนับว่าได้ดี ตำแหน่งเป็นเพียงนักพิสูจน์อักษร ยังไม่ใช่ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายหรือหัวหน้าฝ่ายพิสูจน์อักษรเลย อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว วัยสี่สิบกลาง ๆ ผ่านงานมาหลายที่และแน่นอนว่าหล่อนคุยโวว่าตัวเองสำคัญมากมาย หนังสือเล่มนั้นยอดนิยมก็เคยผ่านมือหล่อนมา นักเขียนคนนั้นดังเขียนได้ลุ่มลึกก็เพราะมีหล่อนให้คำปรึกษาต้นฉบับ ปั้นมาเองกับมือ  เทรนด์หนังสือแนวโน้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะหล่อนนำเสนอผู้จัดการสำนักพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนอีกฝ่ายยอมใจอ่อนพิมพ์ลองตลาดดู ที่เหลือหลังจากนั้นคือประวัติศาสตร์ที่คนในแวดวงหนังสือต้องจดจำ  ชื่อหนังสือ ชื่อนักเขียน เทรนด์หนังสือเป็นเรื่องจริง แต่หล่อนอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งจริงๆ หรือเปล่า ยังเป็นสิ่งที่ควรสงสัย เพราะแค่พูดใครก็พูดได้ เคยทำงานในสำนักพิมพ์ต่าง ๆ มาจริง ทำหนังสือเล่มต่าง ๆ ที่อ้างถึงมาจริง แต่มันก็อาจเป็นแค่เพียงงานตามแนวทางของบริษัทตามปกติ งานที่หัวหน้ามอบหมายมาทั่วไป อย่าว่าแต่ยังเป็นงานพิสูจน์อักษรทั้งหมดด้วย และยังไม่ใช่พนักงานระดับผู้บริหาร บทบาทจะมากอะไรขนาดไหน

            แต่ว่ากันว่านี่ก็คือข้อความขายตัวเองที่หล่อนขายมาตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์งานที่นี่ และหล่อนก็ได้เข้ามาอยู่ที่นี่

            ผมรวบต้นฉบับกระดาษทั้งหมด เคาะสันกับพื้นโต๊ะเพื่อให้เป็นปึกเรียบเสมอกัน หนีบที่หนีบกระดาษไว้ที่มุมซ้ายบน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหายใจออกยาวเหยียดหนึ่งที แต่อารมณ์ขุ่นข้องยังอัดแน่นไม่คลาย มันสะสมมาตลอดระยะเวลาที่ตรวจต้นฉบับต่อจากหล่อนคนนั้นมา ทนมาตลอด ปลุกปลอบใจตัวเองให้ตรวจให้จบก่อน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ดูให้ครบถ้วนที่หล่อนพิสูจน์อักษรและเขียนเสนอแนะมา พยายามมองโลกในแง่ดี พยายามคิดว่าหล่อนยังเพิ่งเข้ามาแค่ไม่กี่เดือน แต่คิดถึงตรงนี้ก็จะเริ่มทนไม่ได้ หล่อนอายุมากกว่าผมเยอะ ทำงานมามากกว่าผม และคุยโม้หนักกว่าใคร มันควรจะมีอะไรดีกว่านี้ เพราะประสบการณ์ทำงานถ้าผ่านมามาก อย่างไรมันควรมีทักษะที่แสดงออกมาให้เห็นบ้าง นี่มันอ่อนหัดเหลือเกิน วิกฤตราวกับเด็กหัดใหม่ เขียนเสนอแนะไว้มากมาย แต่ใช้สอยอะไรไม่ได้เลย มีแต่เขียนพาหลงทิศหลงทาง เหมือนคนแนะนำไม่เข้าใจเนื้อเรื่อง ไม่เข้าใจความเป็นวรรณกรรม เอาจริง ๆ เหมือนแทบไม่ใช่คนอ่านหนังสือประจำ ๆ เลยด้วยซ้ำ ผมต้องมาเสียเวลาดูทุกจุดเพียงเพื่อจะพบว่ามันไม่ได้อะไร มีแต่คำแนะนำที่ไม่ช่วยอะไร ที่แย่กว่านั้นคือพยายามเสนออะไรมากมาย แต่หน้าที่หลักอย่างการดูตัวสะกดกลับผิดพลาดอยู่ ใช่ มันผิดตั้งแต่ผมส่งไป ผมตรวจแก้ต้นฉบับแล้วหลุด ไล่แก้ไม่ครบ งานมันเร่ง ต้องรีบส่งจัดหน้าไป แต่ก็หวังพึ่งหล่อนที่มีหน้าที่เฉพาะตรงนี้ด้วยให้ช่วยดู แต่ที่ไม่คิดคือมันเหลือรอดกลับมาครบถ้วนทุกจุดที่พิมพ์ผิด ให้ผมต้องมาแก้เพื่อตัวของผมเองอีกครั้งอยู่ดีสิน่า

            สรุปคือหล่อนถ่วงมากกว่าจะช่วยให้งานเล่มดีขึ้นอะไร และผมเปลืองเรี่ยวแรงไปมากเกินกว่าจะเงียบอยู่เฉยแล้ว ผมเดินไปที่โต๊ะของหล่อนในแผนกพิสูจน์อักษรด้วยท่าทางขึงขัง เจ้าตัวเห็นท่าผมเดินมาก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง

            “พี่หนู พี่ทำงานภาษาอะไรของพี่เนี่ย !” ผมพูดเสียงดังแล้วโยนต้นฉบับกระดาษลงบนโต๊ะหล่อน

            หลายคนในแผนกพิสูจน์อักษรที่นั่งอยู่ตรงนั้นเห็นเหตุการณ์ แต่ก็ยังทำก้มหน้าก้มตาทำงานเฉยอยู่ รวมถึงหัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษรก็เช่นกัน น่าจะเฝ้าดูความเป็นไปก่อนว่าเรื่องจะลุกลามไปมากขนาดไหน บรรณาธิการมาเอาเรื่องถึงถิ่น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย และหลายหนก็แค่ต่อว่าต่อขานกันนิดหน่อย ไม่ได้รุนแรงจนเป็นปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาระหว่างแผนก มักจบลงในเวลาอันสั้น การสอดเข้ามายุ่งอาจทำให้เรื่องบานปลายมากกว่าด้วยซ้ำ

            หล่อนมองดูต้นฉบับ ไม่แตะต้อง ราวกับการแตะมันจะกระตุ้นให้ผมโกรธมากไปกว่านี้และนั่นเป็นสิ่งที่หล่อนไม่ต้องการ เงียบไปอึดใจหนึ่งก็พูดว่า

            “พี่ก็พยายามตรวจและเขียนถามอย่างดีแล้วนะ อ่ำ”

            ผมพลิกต้นฉบับ เปิดบางหน้าที่มีปัญหา หนึ่งในสองร้อยหน้าจากต้นฉบับที่หนาสักสองร้อยสี่สิบหน้า พลิกให้เจอหน้าที่มีปัญหาง่ายกว่าหน้าที่ใช้ได้เสียอีก นี่มันการทำงานบ้าอะไร !

            “พี่ดูนี่นะ”  ผมพูดอย่างข่มอารมณ์ แต่เสียงก็ยังน่ากลัวจนฟังดูเหมือนไม่ใช่เสียงของผมเอง  “พี่เขียนเสนอว่าให้ผมใส่เครื่องหมายต่อท้าย ?  เพราะประโยคนี้เป็นประโยคคำถาม และพี่เขียนใส่ให้ผมทุกประโยคคำถามในต้นฉบับนี้เลย พี่ได้คุยกับเพื่อนร่วมงานในแผนกตัวเองบ้างไหม หรือได้เปิดคู่มือมาตรฐานพิสูจน์อักษรของแผนกพี่เองบ้างหรือเปล่า เครื่องหมาย ? เราไม่ใช้กันในภาษาไทย ประโยคคำถามก็ถามไป เครื่องหมาย ? ไม่ใช้ แล้วพี่มาเสนอให้ผมแก้เนี่ยนะ มันทุเรศแค่ไหนพี่บอกผมสิ”

            “...พี่ยังใหม่กับที่นี่...สำนักพิมพ์ที่พี่อยู่มา...บางที่เขาก็ใช้กันนี่นา พี่ก็เลยติดมา”  หล่อนพูดตะกุกตะกัก

            “พี่ต้องตรวจด้วยมาตรฐานของที่นี่สิ พี่จะมาตรวจตามที่นึกคิดเอาเองหรือเอามาจากที่อื่นได้ยังไง”

            “เอาเป็นว่าพี่ผิดเองแล้วกันอ่ำ ต่อไปพี่จะไม่เติมเครื่องหมายนี้อีก”

            ผมยังไม่พอใจ ยังคงพูดอีกยืดยาว

            “พี่ต้องไปอ่านคู่มือ มันมีอีกหลายอย่างมากที่พี่ไม่ยึดตามมาตรฐาน แล้วพี่ก็เขียนเสนอ ... เค้าใช้กันทีละ 3 จุด พี่ก็จะมาต่อให้มันยาวเป็นสิบจุด  คำสรรพนามที่นี่กูมึงเราไม่ใช้กัน ต่อให้กำลังจะยิงกันตายอยู่แล้ว ก็ยังต้องพูดผมกับคุณ ฉันกับนาย  คำสบถหยาบ ๆ เราไม่ให้ใช้ห่าเอ๊ย หรือแม่งเอ๊ย ใช้ได้แค่เวรเอ๊ยเท่านั้น  นี่แค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งนะพี่ คู่มือมันมีเป็นเล่ม บอกอยู่หมดในนั้นแล้ว พี่ต้องไปอ่าน”

            “จ้ะ ๆ พี่เข้าใจแล้ว”  หล่อนรับคำอย่างชวนให้รู้สึกว่ารับไปส่ง ๆ ให้จบเรื่องไป

            นั่นยิ่งทำให้ผมไม่หยุดหย่อน

            “แล้วพี่เสนอแก้สำนวนเยอะแยะ เพิ่มคำรุงรัง ที่ซึ่งอันและ พี่มาครบหมด ตัวหนังสือภาษาควรจะกระชับ เราไม่ต้องการคำเชื่อมรกไปหมด  ไม่ใช่แค่นั้น พี่ยังจะแก้ภาษานักเขียนเขาอีก ถ้าเขาใช้มาแล้วมันไม่ได้ผิด แล้วพี่ไปแก้ ไม่รู้หรอกว่าจะถูกใจเขาหรือเปล่า โอกาสโดนด่ามากกว่าจะได้รับคำชมนะพี่ เราเน้นแก้เฉพาะจุดที่แน่ใจว่าผิดแน่ แก้ให้มันถูก แต่ไม่ใช่ว่าภาษาสวยไม่สวย ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเรื่องของรสนิยมด้วย แก้แล้วเถียงกันไม่จบ ไม่มีจุดตายตัว  หนักกว่านั้นคือพี่อ่านเรื่องไม่เข้าใจด้วย นักเขียนบอกว่าตัวละครชื่อนิดปลอมตัวไปสืบคดี ปลอมเป็นคนชื่อศรี พี่เขียนถามผมว่าจะเปลี่ยนชื่อศรีเป็นชื่อเดียวกับนิดไปเลยได้ไหม ซึ่งผมโคตรงงเลยพี่ มันมีตรงไหนไม่เข้าใจเหรอว่าตัวละครปลอมตัวเป็นคนชื่อศรีเนี่ย พี่จะไปแก้มันทำซากอะไร”

            หล่อนฟังเงียบ คิ้วขมวด แต่ก็จ้องผมด้วยสายตาว่ามีอะไรจะบอกต่ออีกไหม แต่ในแววตามีความไม่ยินยอมฟังต่ออยู่ด้วย

            ทว่าผมก็ไม่สนแววตานั้น ยังคงพูดต่อในสิ่งที่ต้องการพูด

            “แล้วคำสะกดผิด พี่ทำไมไม่แก้ นั่นงานหลักพี่เลยนะ พี่ต้องช่วยผมดูด้วย นี่อะไร พี่เลิกเขียนเสนอแนะ กลับมาเน้นช่วยดูการสะกดคำให้ผมเถอะ  ผมฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยละกัน ถือว่าขอกันล่ะพี่หนู”  ผมพยายามพูดจบท้ายให้มันดี ๆ อยู่

            “พี่รู้แล้วจ้ะ”  หล่อนตอบอย่างนั้น

 

            หลังจากนั้น ผมได้รับฉายาบรรณาธิการขี้วีน ทั้งหมดเพราะการเดินไปต่อว่าหล่อนถึงโต๊ะวันนั้น

และจริง ๆ ยังมีอีกหลายรอบหลังจากนั้นกับต้นฉบับอีกหลายเล่มถัดมา  ประเด็นเดิม ๆ ไม่มีอะไรดีขึ้น แล้วผมก็เหมือนคนบ้าที่โมโหเรื่องเดิม ๆ ทำพฤติกรรมเดิม ๆ คือเดินไปโวยวายอยู่ได้ซ้ำ ๆ ซึ่งถ้ามาคิดดูจริง ๆ ตอนหลังมันเป็นการระบายอารมณ์มากกว่าจะคาดหวังให้อะไรดีขึ้นแล้ว แต่เหมือนหล่อนทำแย่ ๆ มา หล่อนก็สมควรโดนด่าใช่ไหมล่ะ

            ทั้งแผนกบรรณาธิการ มีผมคนเดียวที่เหวี่ยงและก้าวร้าวแบบนี้ บรรณาธิการคนอื่นยังคงทำงานได้ดีไม่มีปัญหาอะไร และนั่นทำให้ผมถูกหัวหน้าของผมเรียกคุยในที่สุด

            “อ่ำ อย่าทำตัวอำนาจบาตรใหญ่นักสิ”  เขาตักเตือน

            “พี่โน้ต มันอดไม่ได้จริง ๆ พี่หนูทำงานใช้ไม่ได้เลย”

            หัวหน้ายิ้ม

            “พี่หนูโอเคมากนะ อ่ำอาจจะไม่รู้ พี่ยังชมพี่หนูบ่อย ๆ เลย”

            ผมตาเบิกกว้าง นั่งนิ่ง พูดไม่ออก  หัวหน้าพูดอย่างกับไม่เคยเห็นการพิสูจน์อักษรฝีมือหล่อน

            ...แต่ว่าไปแล้ว ต้นฉบับที่หัวหน้าตรวจ หัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษรมักตรวจด้วยตัวเองอยู่แล้ว

            ...ที่จริง ต้นฉบับของทุกคนในแผนก นอกจากผมแล้ว หล่อนไม่ได้ตรวจให้ใครเลย  มีแต่ผมคนเดียวที่ได้จับคู่กับหล่อนอยู่ตลอด ถึงว่าสิ ทำไมคนอื่นถึงไม่มีปัญหา  เมื่อก่อนพิสูจน์อักษรจะมีการสลับคนตรวจงานกันแต่ละรอบ เพื่อช่วยกันดู ไม่ให้ใครดูงานเดิมซ้ำ ๆ เพราะจะผิดพลาดได้ง่าย แต่ตอนนี้ก็เหมือนไม่ทำอย่างนั้นแล้ว

            “อ่ำ พี่เตือนด้วยความหวังดีนะ อ่ำเองหรือเปล่าที่มีปัญหา งานถึงมีปัญหาอย่างนี้ ไปก่อเรื่องกับแผนกพิสูจน์อักษรไม่หยุดหย่อนแบบนี้ เดี๋ยวก็เป็นปัญหาระหว่างแผนกจนได้”

            “พี่หนูเขาทำงานไม่ดีจริง ๆ พี่...”  ผมพูดด้วยเสียงท้อแท้ เพราะรู้ว่าไม่ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าตัวเองในประเด็นนี้แน่ ๆ

            หัวหน้าวางมือสองข้างบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้า ถอนหายใจ แล้วพูดเสียงเบา

            “อ่ำเอ๊ย พี่พยายามบอกอ้อม ๆ แล้ว แต่อ่ำคงไม่เข้าใจ อย่างนั้นพี่ขอบอกตรง ๆ เลยแล้วกัน รู้กันแค่ตรงนี้ จบแค่ที่นี่อย่าไปพูดต่อ พี่หนูเขารุ่งมากนะตอนนี้ หน้าที่การงานมั่นคงมาก เจ้าของสำนักพิมพ์รักเลยแหละ พี่เองเวลามีประชุมระดับผู้บริหารด้วยกัน พี่ยังต้องคอยหาจังหวะร่วมชมหล่อนด้วยเลย เห็นดีเห็นงาม เพื่อให้บรรยากาศต่าง ๆ ดีอยู่ และแผนกเราดูไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร  แต่อ้าว แล้วอ่ำก็มาทำเรื่องเสียอย่างนี้ พี่ว่ามันจะเอาไม่อยู่เอานะถ้าไม่หยุด”

            หล่อนรุ่งได้อย่างไรวะ ทำงานห่วยขนาดนั้น !  โม้เก่งอย่างเดียวก็ไปได้ดีหรือ โห สำนักพิมพ์เรา ที่หล่อนพูดโม้มาแต่ละอย่างนั่นมีใครเชื่อจริง ๆ ด้วยหรือ !

            “ทำไมเจ้าของถึงรักหล่อน”  ผมถามเสียงเบาเช่นกัน อยากรู้จริง ๆ แต่ก็เข้าใจว่าการคุยที่โต๊ะหัวหน้าตอนนี้เหมือนวงลับๆ คุยกันนอกรอบ ไม่แพร่งพรายต่อเท่านั้น

            “หล่อนทำงานดีจริง ๆ ไม่ใช่งานพิสูจน์อักษร แต่เป็นงานไลฟ์ขายหนังสือ เล่มที่ทำกับอ่ำหลายเล่มที่ปิดเล่มไปแล้วก็มีเอาไปขายด้วย เสาร์อาทิตย์หล่อนไลฟ์ขายหนังสืออยู่กับบ้าน ขายดีเลย ได้ยินว่ารอบหนึ่งขายได้เป็นร้อยเล่ม เห็นว่าหล่อนมีแฟนคลับติดตามอยู่ แต่ละเดือนขายได้เฉียดพันเล่มเลย  แน่นอนว่าหล่อนได้ค่าเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย แต่ก็เป็นจำนวนเงินน้อยกว่าที่ต้องจ่ายเวลาขายหน้าร้าน ขายกับหล่อนคุ้มกว่าแหละ พูดง่าย ๆ สำนักพิมพ์ระบายสต็อกได้เยอะเลย  ก็อาศัยอะไรนะที่อ่ำชอบว่าหล่อน คุยโม้เก่ง ใช่ ๆ หล่อนก็ไปโม้ขายของอย่างนั้นแหละ หนังสือที่อ่ำปิดเล่มก็เป็นผลงานการทำหนังสือของหล่อนหมดนั่นแหละ อย่าไปรู้สึกไม่ดีอะไรนะ”  ท่อนท้าย ๆ คล้ายพยายามปลอบผมอยู่ในที

            หัวหน้าเผยสัจธรรมให้ผมฟังต่อ

            “เศรษฐกิจแบบนี้ หนังสือขายไม่ค่อยดีอยู่แล้วด้วย ไลฟ์ของพี่หนูจึงเหมือนเป็นช่องทางที่ดีมากช่องทางหนึ่งเลย เพราะพูดตามตรง ไลฟ์หล่อนยังขายหนังสือได้เยอะกว่าไลฟ์ของสำนักพิมพ์เราที่จัดโดยฝ่ายขายของเราเองเสียอีก หรือกระทั่งที่แผนกเราต้องไปร่วมไลฟ์กันมาบ้าง ก็เห็น ๆ อยู่ว่าแทบขายไม่ได้ เจ้าของก็เลยรักหล่อน ดีมากเพราะไม่ต้องจ้างเพิ่ม ลองนึกสิ ถ้าต้องจ้างมืออาชีพขายของเก่ง ๆ มาไลฟ์ขายให้ต้องใช้เงินรอบละเท่าไร แต่พี่หนูฟรีเลยสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนั้น หล่อนพอใจกับการกินเปอร์เซ็นต์ที่ไม่มากนั่น”

            “แต่นั่นมันในฐานะนักขาย ไม่ใช่นักพิสูจน์อักษรนี่พี่  นี่มันผิดตำแหน่งชัด ๆ  ถ้าหล่อนทำได้ดีขนาดนั้นก็ย้ายไปฝ่ายขายให้จบ ๆ เรื่องไป ไปทำด้านนั้นจริงจังเลย ไม่เป็นภาระผมอยู่แบบนี้ แบบนั้นก็น่าจะดีกับทุกฝ่าย”  ผมออกความเห็น

            หัวหน้าหัวเราะแบบไม่มีเสียงออกมา เป็นแต่ท่าที่แสดงอาการขบขัน ไม่รู้ว่าเพราะพยายามเบาเสียง หรือจริงๆ คือการหัวเราะไม่ค่อยออกกันแน่  แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง จ้องหน้าผมแล้วพูดด้วยเสียงเบาดังเดิมว่า

            “อ่ำคิดสิ !  ฝ่ายขายเขามีค่าคอมมิชชั่นที่เป็นอัตราสูงกว่าที่พี่หนูได้อยู่ตอนนี้นะ เงินเดือนพนักงานขายโครงสร้างบริษัทเราก็เงินเดือนมากกว่าพนักงานพิสูจน์อักษรด้วย ถ้าย้ายไป แปลว่ามีค่าใช้จ่ายสำหรับบริษัทเพิ่มสองเด้งเลย เจ้าของบริษัทจะชอบไหมแบบนั้นน่ะ  แล้วถ้าทำงานขายทุกวัน ความกระตือรือร้นพี่หนูในการขายก็อาจไม่มากเท่าเก่าด้วย เพราะเป็นงานประจำ แต่ที่ทำอยู่ตอนนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนงานอดิเรกสร้างรายได้เสริมให้หล่อนอยู่น่ะ แบบขายแล้วก็สนุกไปกับมันอะไรไป แนวทางนี้จึงน่าจะดีกับยอดขายในระยะยาวและพี่หนูเองมากกว่าด้วย  และที่พี่บอกว่าพี่หนูเขารุ่งน่ะ ไม่ได้หมายถึงจะเติบโตก้าวหน้าไปตำแหน่งไหนนะ อยู่ตำแหน่งเดิมนี้ไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ แต่มั่นคง ใครแตะต้องยาก”

            “แต่แบบนี้...ผมก็แย่น่ะสิ ต้องทนทำกับหล่อนไปแบบนี้เหรอครับ”  ผมพยายามถามหาทางออก ไม่ได้พูดย้ำว่ามันเป็นผมคนเดียวในแผนกเลยที่ต้องทำงานกับหล่อนอยู่

            หัวหน้าถอนหายใจ

            “เอาจริงๆ นะ อ่ำ ตอนนี้อ่ำดูไม่ดีเลย...แล้วก็การที่อ่ำดูแย่นี่ก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญด้วย เพราะอ่ำคงนึกออกแล้วด้วยว่าทำไมคนอื่นงานไม่มีปัญหากันเลย มีอ่ำคนเดียว”

            ผมพยักหน้าเล็กน้อย แต่แล้วก็ติดใจกับบางคำ

            “หมายความว่าไงครับ ที่ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

            “ใครเป็นคนจัดคิวให้พนักงานพิสูจน์อักษรล่ะ ว่าใครจะได้ตรวจเล่มไหน”

            “หัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษร”

            “แล้วถ้าเป็นอ่ำ อ่ำรู้ว่ามีคนในแผนกคนหนึ่งที่ทำงานไม่รอดหรอก แต่เจ้าของบริษัทรัก อ่ำจะต้องจัดการงาน อ่ำจะทำยังไงให้มันจำกัดขอบเขตการสูญเสีย”

            “ก็ให้คนนั้นช่วยกันตรวจกับเพื่อน”

            หัวหน้าส่ายหน้า

            “แบบนั้นมันกินแรงเพื่อนเกินไป เพื่อนก็ลำบากสิ ต้องแบกงานหลุด เรื่องยังคาอยู่ในแผนก  เรื่องสลับคนตรวจในแต่ละรอบตอนหลังหัวหน้าแผนกนั้นยังสั่งยกเลิกไปเลย เพราะเดี๋ยวจะเหนื่อยกันกับเล่มที่พี่หนูตรวจ”

            “อย่างนั้นงานยังไงก็ต้องเสีย”  ใช่ เหมือนที่มันหลุดมาถึงผมเละเทะนี่แหละ

            แต่เป็นผมรับเละคนเดียวด้วย  พอคิดถึงตรงนี้ผมก็เบิกตาโพลง รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาน้อย ๆ ก่อนพูดว่า

“ก็ให้ตรวจต้นฉบับของบรรณาธิการคนเดียว เพื่อให้ดูเหมือนมีบรรณาธิการคนนี้คนเดียวที่มีปัญหากับการพิสูจน์อักษร”

            “ใช่ และถ้าจะให้ดีก็เลือกคนที่อายุน้อย น่าจะโมโหง่าย อายุงานยังไม่มาก เพื่อให้มันชวนคิดว่ามือยังไม่ถึง ฝีมืออาจจะมีปัญหา”

            ...และบรรณาธิการที่ตรงกับเกณฑ์นั้นก็คือผม

            แต่...

            ผมมีคำถามค้างคาใจคำถามหนึ่งที่ไม่ได้ถามออกมา แต่เมื่อสบตากับหัวหน้า หัวหน้าก็เหมือนเห็นคำถามนั้น

            หัวหน้าฝืนยิ้ม

            “พี่ก็ลำบากใจนะ บอกตามตรง แต่ด้วยวิธีคิดที่คล้ายกันกับหัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษร เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นพี่ หัวหน้าแผนกบรรณาธิการ ว่าถ้ารู้แล้วว่ามีพนักงานพิสูจน์อักษรคนหนึ่งทำงานไม่ได้เรื่อง แต่เจ้าของบริษัทรัก และหัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษรคิดกลยุทธ์มาแล้วว่าจะพุ่งเป้าให้ทำงานให้เฉพาะกับบรรณาธิการคนเดียวเพื่อปิดบังอำพรางและจำกัดความสูญเสีย พี่จะทำอย่างไรดี แต่พอไตร่ตรองแล้ว พี่ก็คิดว่าควรต้องตามน้ำไปเหมือนกัน เลยเลือกที่จะทำแบบนี้ เพราะถ้ากระจายความเสียหายไปถึงบรรณาธิการทุกคนในแผนกเราเลย มันก็จะสั่นคลอนทั้งแผนกได้มากกว่าจะเป็นการประจานผลงานพี่หนูได้ เพราะนั่นแหละ กลับไปที่จุดเดิม เจ้าของบริษัทรักหล่อนมาก”

            หัวหน้ามองหน้าผมนิ่ง

            “แต่ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องที่อ่ำเหวี่ยง เดี๋ยวพี่ไปคุยกับหัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษรให้ทีเดียวก็จบเรื่องได้เรียบร้อย เราเข้าใจกันดีอยู่แล้ว อ่ำก็ทำงานกับพี่หนูต่อไป แต่คราวนี้อ่ำรู้ทุกอย่างนี้แล้ว พี่หวังว่าอ่ำจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบเดิมอีก ไม่ต้องไปพยายามคุยกับพี่หนูแล้ว เก็บงานเองไปเลย ทำให้ดีด้วยล่ะ หนังสือผิดพลาดขึ้นมาชื่อบรรณาธิการของอ่ำนั่นแหละที่โดนเล่นงานเป็นคนแรก แล้วจริงๆ พี่คาดหวังให้อ่ำแบกภาระนี้ไว้ได้ไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าอ่ำแบกไม่ไหวขึ้นมา พี่คงลำบากเหมือนกัน ต้องรับสมัครคนใหม่เข้ามาแทน หาคนมารับเคราะห์แทนอ่ำ” 

            ถึงตรงนี้หัวหน้ายิ้มน้อย ๆ เป็นการยิ้มอย่างปลอดโปร่งเหมือนไม่มีอะไรหนักใจ  ผมนั่งอยู่ตรงนั้นฟังด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว 

            “แต่ไม่ต้องห่วง หาไม่น่ายากมากหรอก เศรษฐกิจแบบนี้”

 

                                    ....................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์