เรื่องสั้น : ลัดคิวฆ่า : ธีรพันธ์ โมยาริส

เรื่องสั้น : ลัดคิวฆ่า : ธีรพันธ์ โมยาริส

 

            ผมไม่นึกเลยว่าแซ็กจะพกปืนมาด้วย 

            เรายืนไม่ห่างจากโต๊ะใหญ่มากนัก  ชายที่นั่งอยู่ไม่เชื้อเชิญให้เรานั่งด้วย   เราเองไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น  ที่จริงเราได้รับเชิญตรงประตูเมื่อเสียงเคาะดังเข้าไปถึงข้างใน  ไม่ใช่เพราะการอยู่คนเดียวของชายคนนี้รู้สึกเหงา  แต่โอกาสเอื้ออำนวยเราต่างหาก  รวมถึงชุดที่แซ็กใส่ชวนให้เกิดความไว้วางใจ

            เพียงแต่ตอนนี้   ความไว้วางใจนั้นใช้ไม่ได้...

            แซ็กยังยืนเฉียง  กำลังพูดสิ่งสำคัญของเขา  ใช่ สำคัญที่สุดด้วย  ไม่มีทางจะโต้แย้งความจริงได้  แต่ถูกโยนกลับด้วยอาการเหยียดหยาม  และปากเปิดเผยอเห็นร่องฟัน  นัยน์ตาเย็นเฉียบไม่ต่างกับอสรพิษ  ยิ่งแฉลบจ้องกลับหาผม  แทบจะพาร่างกระโจนเข้าฉีกผม  แต่ไม่ทำ ไม่ขยับไปไหน 

            ผมแปลกใจ  กับการนิ่งรับ   

            ขณะแซ็กพูด  มือเท่านั้นถูกดึงขึ้นจากใต้โต๊ะ  เพื่อลูบช้า ๆ อย่างบังเอิญที่โลโก้พรรคการเมือง  ราวกับกึ่งท้าทายและให้เราพึงระวัง  ถึงการบุกรุกตลอดหมายจะข่มขู่  ในที่ ๆ เราไม่มีสิทธิ์เข้ามาเผชิญหน้า  ซึ่งผู้เป็นเจ้าของไม่ใช่แค่ร้านใหญ่ขายเสื้อผ้าธรรมดา  แต่ยังเป็นถึงคนของพรรคการเมืองมีชื่ออีกด้วย

            แซ็กเองไม่ใช่คนก้าวร้าว  เขานุ่มนวลและน่าประทับใจกับบุคลิกสั่งสมมา

            ความปวดร้าวของเขาถูกถ่ายทอด  ผ่านคำพูด  ไม่มีน้ำตาหรือความสั่นเครือของน้ำเสียง  แม้ว่าสมควรจะเป็นอย่างนั้น  เขาสะกดมันไว้ทำให้เกิดพลังประหนึ่งกำลังชี้นำต่อคณะลูกขุน  แต่ไม่มีลูกขุนในห้องนี้  ผมเห็นปากเผยออยู่ค่อยหุบลงช้า ๆ  แซ็ก ยังรักษาท่าทีราบเรียบไม่ใส่ใจ  แต่เขาหันหน้าไปทางชายคนนั้นเกือบเต็มตัว

            “...ที่ไหนมีความดี  ก็รักษาความดีไว้ ...” น่าฟัง รื่นหูราวกับพระเทศน์ นี่หละแซ็ก  “...ที่ไหนไม่มี  ก็ต้องสร้าง  โลกน่าอยู่  สังคมน่าอยู่  แต่--ที่ไหนมีความเลว  ก็ต้องระงับความเลว ...  –และนี่วิธีระงับความเลวของแก”

       ปืนติดมือขึ้นมาทันที  จากชายเสื้อที่ปิดอยู่ด้านหน้า  แซ็กลั่นไกโดยไม่เล็ง  กระสุนสามนัด  มีนัดเดียวเจาะเข้าเหนือจมูกเกือบทะลุท้ายทอย

            “แซ็ก...”  ผมกลืนน้ำลาย  ขนลุกพอง

            “รู้ไว้นะ กิม”  เสียงร้อนแต่ราบเรียบ  แซ็กยังถือปืน  จ้องชายตาโปนหน้าหงายคาเก้าอี้  “ผมไม่อยากทำหรอก  แต่ไม่มีอะไรดีเท่าส่งคนอย่างนี้ลงนรก  สมควรอยู่นรกมากว่าปะปนกับโลกมนุษย์”

            “ใช่แซ็ก... ใช่ล่ะ”  ผมเสียงอ่อย  “แต่ไม่นึก  นายจะเอาปืนมาด้วย  ก็เราตกลงกันแค่จะ...”

            ได้ยินของหนักหล่นตกพื้น  ผมหันมองเขาแล้วก้าวอ้อมโต๊ะตัวนั้น  ย่อตัวลงใกล้ร่างที่พึ่งกลายเป็นศพ 

            ผมดูมือซุกไว้หว่างขา  แล้วจึงเห็นที่พื้น  ทำให้ใจผมหายวาบ 

            “เราเองเกือบไปเหมือนกัน นะแซ็ก”  ผมยืนขึ้น ลูบเหงื่อออกจากหน้าผากเต็มมือ    

      

            “ผมรู้มาก่อนแล้วกิม  เขางูพิษ”  แซ็กพูด  ตอนเราก้าวมาสู่ถนนใหญ่  “เขาจะเก็บปืนไว้ใต้โต๊ะเสมอ  ...ไหมเป็นคนบอกผมไว้...”

            ผมพูดไม่ออก  เมื่อเขาเอ่ยชื่อสายไหม 

            แซ็กก้าวขายาวเรื่อย ๆ แต่ไม่แสดงว่ารีบร้อน  ผมพยายามเดินให้ตกท้าย ๆ เขา  แซ็กจะส่ายตาหาอะไรสักอย่างเป็นพัก ๆ  ส่วนผมมองกวาดไปสองสามรอบ  เราออกจากบ้านใหญ่นั้นได้พักหนึ่ง  แต่ยังเลียบไปตามคลองบางลำพู  ผมเห็นแซ็กก้าวตัดหน้า  หยิบไม้ไผ่แห้งยาวขนาดวาที่ตกข้างร้านแผงเก่า  เขาถือมันแกว่ง  จากนั้นปักลงพื้นขณะเดิน  ทำแทนไม้เท้าเหมือนคานธี

            มีช่องทางลงในคลอง  แซ็กเลี้ยวก้าวต่ำเรื่อย ๆ ถึงบันไดขั้นปริ่มน้ำ  ผมหันดูว่าจะปลอดคนไหม  ไม่มีใครอยู่แถวใกล้ ๆ  แซ็กถอดเสื้อยูนิฟอร์มที่มีโลโก้พรรคการเมืองออก  ผมไม่รู้เขาได้มาอย่างไร  ม้วนมันกลมแน่น  ดึงปืนเหน็บอยู่  ตอนสะบัดมันหายลงกลางคลอง  เขาไม่เหลือบตาดูแม้แต่น้อย  เขาจุ่มเสื้อลงน้ำใช้ไม้ที่ถือติดมือมากดให้จม  ดันซุกเข้าใต้โคลน  เขาดันไม่สุดลำไม้ดี  แซ็กทิ้งไม้ไผ่ลงน้ำ  ผมคิดว่า ไม่กี่วันหรอกปลายของเสื้ออาจโผล่วับแวมลอยให้เห็นแน่  แต่เหมือนแซ็กไม่ใส่ใจ

            ออกจากจุดนั้น  แซ็กนำไปร้านหนังสือและเครื่องเขียน  เราฝากกระเป๋าไว้ที่นั่น  กระเป๋าของแซ็กสายยาวเขาคล้องมันเฉียงไหล่  กล้องแคนนอนที่เตรียมมาห้อยคอ  ส่วนผมมีเป้หลังเสื้อผ้ารวมของใช้จำเป็นสำหรับเดินทาง  เราตัดไปทางเสาชิงช้า  เลียบเขตวัดสถานที่ประวัติศาสตร์เก่าแก่  แซ็กถ่ายรูปเอาไว้  เราปะปนกับหมู่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติกำลังเที่ยวชม  แล้วแยกตัวออก 

            ถึงวังบูรพา  เรามุ่งหน้าขึ้นเยาวราช  แซ็กไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่ได้ลงมือเลย  เขาเงียบ ท่าทางของเขาสื่อว่าเป็นเรื่องนอกเหนือความสามารถที่คนอย่างเขาจะทำแบบนั้นได้  เขาพลิกตัวกลับไปสู่การเป็นแค่นักท่องเที่ยวคนหนึ่ง  จดจ่ออยู่กับการชมความลานตาของพระนคร   

            ผมไม่รู้แซ็กหาปืนมาจากไหน  กับเสื้อยูนิฟอร์มนั่นด้วย  โลโก้บอกว่ามันเป็นเครื่องหมายพรรคการเมืองเดียวกันกับของเจ้าของร้านขายขุดเสื้อผ้า  และจากท่าทางของเขาทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยซักไซ้ 

            แต่สิ่งผมรู้จริง ๆ  เข้าใจลึกซึ้งคือแซ็กรักสายไหม  เป็นความรักของพี่น้องที่มีกันแค่สองคน  

 

            แซ็กทำปริญญาด้านกฎหมายที่ขอนแก่นบ้านเกิด  เขาใช้เงินทุนกู้ยืมส่งตัวเอง  ไหมน้องสาวศึกษาด้านการตลาดอยู่กรุงเทพ  เธอพักกับน้าสาว  ซึ่งทำงานทำความสะอาดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  ผมคบกับไหม  น้าเธอรู้และแซ็กรู้  ไหมรักพี่ชายของเธอ  ไม่มีอะไรที่เธอจะปิดบัง  แซ็กพึงพอใจมากเรื่องที่เรายังไม่มีอะไรกัน

            ผมสัญญากับเขาเราจะดูใจกัน  ให้ทุกอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะอนาคตของผมจะไม่หยุดแค่งานแมสเซ็นเจอร์

            แต่ช่วงปิดภาคเรียน  ไหมเข้าฝึกงานหารายได้กับร้านใหญ่  ขายชุดเสื้อผ้าย่านบางลำพู     ผมมีเวลาไปหาอาทิตย์ละสองครั้ง  ไหมเคยบอกผม   เจ้าของเป็นผู้กว้างขวางในธุรกิจนี้แถมอยู่ในวงการเมือง เธอมีหวังได้งานก้าวหน้า ไหมกระตือรือร้นมาก  ผมยินดีและคล้อยตามแม้บางขณะไม่แน่ใจกับท่าทีเก็บงำบางเรื่องของเธอ         

            เพียงสองอาทิตย์ต่อมา  ชายเจ้าของร้านคงรู้หรือสังเกตเห็น  เขามาบอกว่าอย่ามาแถวร้าน  ไม่ต้องการให้ผมเกะกะในที่ของเขา  เขาไม่ถามไม่รับเหตุผล  ผมพยายามไปอีก  เขาคอยอยู่เหมือนเดิม  ด้วยปืนที่ถือในมืออย่างเปิดเผย

            เขาเขย่ามันต่อหน้าผม  และไล่ให้ผมออกจากที่นั่นเร็วที่สุด

 

            หนึ่งอาทิตย์เต็มผมไม่พบไหม  กับอีกห้าวันที่ต้องหมกมุ่นทำงานต่างจังหวัด  เมื่อผมกลับ  และเพียงวันเดียวก่อนตัดสินใจไปหาไหมที่บ้าน  ก็ทราบว่าไหมผูกคอตาย  การสันนิษฐานของตำรวจ  ไหมอาจมีปัญหาส่วนตัว  หรือเกี่ยวเรื่องเรียน เธอจงใจฆ่าตัวเองภายในห้องส่วนตัวที่ปิดล็อค  ไม่มีสาเหตุอื่น

            ผมได้รับโทรศัพท์จากแซ็กในคืนนั้น  เขาจะถึงกรุงเทพวันรุ่งขึ้น  เขาต้องพบผม

      

            แซ็กบอกว่ารู้เรื่องหมด  รู้สิ่งที่ไหมปิดบังกับผม  บันทึกของไหมที่ส่งให้เขาโดยเฉพาะ  เธอถูกชายเจ้าของร้านกระทำย่ำยี  ถูกกดดันให้เงียบเพื่อรักษาหน้าและเกียรติของผู้กว้างขวาง  ซ้ำเติมยิ่งกว่านั้น  เธอรู้ว่าติดเชื้อบางชนิดอย่างน่าอับอายสาหัส  แซ็กหายไปหนึ่งวันกับอีกแปดชั่วโมง  เขาไม่แสดงอาการเพลียหม่นหมอง  แม้ว่ามันจะปรากฏให้เห็นภายนอก  เขาพูดเป็นแกนใจกับผม  อยากคุยกับชายเจ้าของร้าน โดยเงียบ --กันเอง  

            ...และดังได้เกิดขึ้น  มันไม่ใช่อย่างที่ผมคาดคิดไว้เลย

      

            “รู้ไหม แซ็ก...” เสียงผมแหบเพราะเงียบนาน  อะไรจุกคอทำให้กลืนน้ำลายลำบาก  “ผมเคยเห็น  หนังสือพิมพ์พูดถึงเขาอยู่นะ  เป็นคนน่านับถือคนหนึ่ง  และดูท่าพรรคของเขา อาจได้ร่วมรัฐบาลด้วย”

            ครู่หนึ่งทีเดียว  ก่อนแซ็กจะเอ่ยขึ้น 

            “วิถีการเมือง  พอเดินเส้นนี้อยู่ถูกจุด  ก็ไปถึงเป้าหมายได้ กิม  ผมเชื่อเรื่องที่นายพูด  แต่ผมตรวจเบื้องหลังเขาเหมือนกัน  ...เขาก็ไม่มีอะไรที่เชื่อใจได้หลายอย่าง  ตัวตนส่วนหนึ่งของเขาซุกในหลืบมืด ซึ่งอย่างเราน่ะรึจะเอื้อมถึง  นี้เองที่เขาเอาการเมืองเข้าปกปิด”  เขาหยุดเดิน  ยกกล้องถ่ายเอาตึกสูงและตัวหนังสือจีนอีกฟากหนึ่งของถนนเยาวราช  “และอีกเรื่องหนึ่งนะ  พวกสื่อมักมองแง่ดีของผู้ที่กำลังขึ้นสูง เป็นกระแสส่ง  แต่ปล่อยด้านลบลอยนวล  แต่ก็นั่นแหละผมว่าอาจกลับมาเล่นงานเอาตอนตกต่ำ   ---จากนี้  นายต้องมีที่ไกล ๆ ไปนะกิม  ต้องการอะไร  ก็ติดต่อผม”

            “ แล้วแซ็ก ล่ะ”  ผมถาม

            “ความลับของไหม  ยังเป็นความลับของผม  และของนายด้วย  --แน่อยู่แล้วหนังสือพิมพ์ตีข่าวนี้ไปหลายวัน  แต่จะไม่มีเราเกี่ยวข้อง  ผมหวังต้องเป็นอย่างนั้น”  แซ็ก หันมาเน้นด้วยสายตากับผมอีก

            เราหยุดแถววงเวียนโอเดียนส์  ผมรู้สึกดีขึ้นกับสิ่งที่แซ็กสื่อกระตุ้น  ท่าทางเขาเหมือนนักกฎหมายเต็มตัว  แต่ผมยังหนาว ๆ ร้อน ๆ

            “ผมจะลงใต้  อาจจะ  ติดแดนมาเลย์  ...ใช่  คงจะอย่างนั้น แซ็ก”  ผมบอกค่อนข้างสับสนคำพูดซ้ำ ๆ

            “ดีแล้วกิม อย่าลืมโทรหาผม  ถ้าจำเป็น”   แซ็กยกมือโบกแท็กซี่  หันมาพูดอีก  “...อีกอย่างกิม  อย่าห่วงเรื่องผม”

            ผมขยับเป้หลัง  สืบเท้าเข้าใกล้เขา

            “แซ็ก”  ผมเอ่ยพอได้ยิน  “นายจะบอกเรื่องที่เราทำ  ให้ไหมรับทราบ มั้ย”

            อึดใจหนึ่งเขาสบตาผม  เห็นแววตาที่ไม่อาจสลัดภาพเขย่าจิตใจหลุดไปได้  “ไม่  ไม่แน่ ๆ กิม  เธอไปอยู่ในที่ของเธอสบายแล้ว  เธอบริสุทธิ์สำหรับนายถูกไหม”

            “เธอเป็นหนึ่งเดียวในใจ แซ็ก แม้ตอนนี้”   ผมตอบเบา

            “งั้นก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี  เพื่อตัวนาย  ถ้าอยากทำสิ่งดี ๆ ไปให้เธอก็ทำ ผมเชื่อนะเธอดูนายอยู่” เขาจ้องผมอีก  เหมือนทบทวนให้ผมซึ้งใจ

            แท็กซี่จอดลงตรงหน้า  กระจกด้านข้างลดลง  ชายคนขับมองที่กล้องห้อยคอ  เลื่อนสายตาขึ้นดูใบหน้า

            “จะไปไหนดีครับ”  เขาเปิดยิ้ม

            แซ็กเผยยิ้มรับอย่างสุภาพ  เขาพูด “ไปดอนเมือง ครับพี่”

            แท็กซี่วนลับตาตรงหัวมุม  ศพของไหม  ถูกนำออกจากโรงพยาบาลกลับไปทำพิธีที่ขอนแก่นบ้านเกิดแล้ว  และแซ็กต้องไปอยู่ที่นั่น       

 

            วันที่สองในเบตง  ผมออกเดินเพื่อซื้อของเข้าเก็บในที่พัก  ความรุนแรงของสามชายแดนใต้  ที่นี่ดูต่างกันออกไปอาจเพราะถูกฉีกมาไกลและติดเขตมาเลย์  ชาวจีนค้าขายดั้งเดิม  คนมาเลย์เข้ามาจับจ่ายเที่ยวเตร่  แต่ผมยังระมัดระวังตัวเองเสมอ  หน้าแผงร้านขายหนังสือพิมพ์ร้านหนึ่ง  ผมหยุดเดิน  เพราะพาดข่าวเล่มตกค้างวันก่อน  ...อุกอาจ  ยิงเจาะหน้าผากคนของพรรคการเมือง  ดับคาบ้าน...  

            ผมไล่ดูข้อความส่วนย่อยในกรอบ  ...ตำรวจคาดปมธุรกิจกับอริเก่าแก้แค้น  ไม่ทิ้งเรื่องการเมือง  กรณีปีนเกลียวกันเองในพรรค  พบเสื้อมีโลโก้ของพรรคซุกใต้โคลนคลองบางลำพู  คาดเป็น...

            ผมนึกถึงแซ็กขณะก้าวจากหน้าร้าน แต่ภาพจางไป  มีใบหน้าไหมเข้ามาแทน  รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยกระตือรือร้น  ภาพหายไปอีก  เสียงปืนสะท้าน  ภาพของชายบนเก้าอี้คอหงายพับ  ซ้อนทับด้วยใบหน้ายิ้มเหยียดของเขาที่ผมยากจะลืม.

 

                                    ...............................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์