เรื่องสั้น : “ท่วงทำนองของการจากพราก” : สานิตย์ สีนาค

เรื่องสั้น : “ท่วงทำนองของการจากพราก” : สานิตย์ สีนาค

 

            สายฝนแห่งวสันตฤดูหยาดโปรยปราย ส่งละอองอ่อนเย็นต้องกระทบผิวหน้า ชายหนุ่มเดินทอดน่องไปตามทางเดินสายเล็ก ๆ ภายในสวนหลังบ้าน ปลดปล่อยให้ภวังค์ล่องลอยเหมือนดังที่สายฝนกำลังหยาดปล่อยโปรยละอองสู่พื้นดิน เขารักสายฝน โดยเฉพาะละอองเย็นที่กระทบตามผิวกาย ผิวหน้า เป็นการกระทบกันระหว่างความอบอุ่นของร่างกายและความเย็นเยียบของละอองน้ำฝน สร้างความรู้สึกตอบสนองในอารมณ์ครุ่นคิด ในยามที่ฝนกำลังจะหยุดหยาดละอองเช่นนี้ เขาจึงเลือกที่จะออกมาเดินรับละอองของสายฝนต้นฤดู

            นานเท่าใดแล้วหนอที่ชายหนุ่มไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับละอองฝนที่ตนหลงรัก เพราะได้แต่วุ่นวายและถูกจองจำด้วยพันธนาการของงานประจำในบริษัท การได้ออกมาเดินรับสายฝนบางเบาเช่นเวลานี้ ทำให้ยิ่งรักสายฝนและตระหนักถึงความเอื้ออาทรที่ธรรมชาติได้บรรณาการให้กับมวลมนุษย์และโลก

            คงอีกไม่นานหรอกหนอ ที่ความเจริญแบบชาวเมืองจักกัดกลืนกินความงามและความเอื้ออาทรของธรรมชาติให้หมดไปจากแผ่นดิน เมื่อถึงวันนั้นชายหนุ่มคงทำได้แค่เพียงยืนนิ่งมองละอองของสายฝนโปรยปรายที่ตัวเองรักผ่านหน้าต่างกระจกอยู่บนตึกสูงเสียดฟ้า เป็นเรื่องน่าเสียดายเหลือเกินที่ธรรมชาติดั้งเดิมและความเจริญของเมืองไม่สามารถประสานสอดให้ดำเนินไปด้วยกันได้อย่างกลมกลืน

            ชายหนุ่มตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ปลดระวางตัวเองจากความเป็น “มนุษย์เงินเดือน” มุ่งหน้ากลับสู่บ้านเกิดแถบถิ่นลุ่มแม่น้ำสีครามของประเทศ เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับมารักษาบาดแผลที่เมืองได้กรีดลึกไว้เป็นริ้วรอยให้เจ็บจำในจิตวิญญาณที่บ้านเกิด ภายในอ้อมกอดอันอุ่นละมุนของแม่

            วันแรกที่เดินทางมาถึง ชายหนุ่มได้รับการต้อนรับจากญาติพี่น้องด้วยความยินดีแสนอบอุ่น เสื่อกกลายดอกสะแบงผืนใหม่ที่น้องสาวคนเล็กนำมาปูลาดต้อนรับ ทำให้เขาหวนคำนึงถึงนิทานตำนานความรักระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวใต้เงาร่มอันร่มรื่นของต้นสะแบงเมื่อยามหน้าแล้งของหมู่บ้าน  ความยินดีแสนอบอุ่นที่ฉายแววออกภายใต้ดวงตาไร้มารยาของบรรดาญาติพี่น้อง ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเข้าใจผิดไปถนัดทีเดียว ที่หลงคิดว่าตัวเองได้กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อพวกเขาเสียแล้วเพราะเขาห่างเหินต่อการหวนกลับคืนสู่บ้านเกิดถิ่นเก่านานแรมปี

            การกลับมาเยี่ยมเยือนครั้งนี้ ทำให้ชายหนุ่มได้เข้าใจถึงคุณค่าของความรักที่แท้และรับรู้ว่าความบริสุทธิ์แห่งรักนั้นยังคงอยู่ในจิตใจของคนยุคนี้ หลังจากที่เขาได้ลงความเห็นสรุปว่าความรักที่แท้ได้สูญสลายไปแล้วเหมือนดังเช่นความงดงามและเอื้ออาทรของธรรมชาติได้สูญสลายไปจากเมืองเป็นเวลานานแล้ว แต่การสรุปเช่นนั้นเป็นการลงความเห็นของคนอยู่เมืองอย่างเช่นเขาเท่านั้น

            ฝนหยุดแล้ว ดวงตะวันของยามเย็นบิดขี้เกียจสาดแสงอบอุ่นเหลืองจางเล็ดลอดช่องว่างระหว่างก้อนเมฆลงอาบไล้ผืนโลก แสงแดดอ่อนหลังฝนพรำเป็นเสมือนสัญญาณเร้นลี้ลับที่ปลุกสรรพสีสันของพืชพรรณสีเขียวให้พื้นตื่น สดใสลออตา สายลมแผ่วเบาพัดมาบางๆ ชายหนุ่มแว่วยินทำนองอ่อนหวานของเครื่องดนตรีพื้นบ้านแผ่วผ่านมาแต่ไกล ยิ่งเขาพินิจนานเท่าใด ภวังค์ของชายหนุ่มยิ่งดิ่งลึกต่อการเสพสัมผัสด้วยโสตประสาท ซึมซับเอาความพริ้งไพเราะของสำเนียงนานเท่านั้น เสียงดนตรีซึ่งขับขานทำนองพื้นบ้านเงียบหายไปในบางครั้งแล้วกลับดังขึ้นใหม่อีกครั้ง ขาดๆ หายๆ แต่ยังเป็นจังหวะสม่ำเสมอในท่วงทำนองแผ่วโผยโหยหาความหลังของผู้บรรเลง เหมือนกับว่าผู้ที่กำลังบรรเลงดนตรีอยู่นี้กลั่นแกล้งชายหนุ่มให้งงงวยและปวดร้าว  แล้วในที่สุดท่วงทำนองของดนตรีพื้นบ้านก็เงียบหายไป

            “กลับมานานเท่าใดแล้ว” เสียงทักถามอ่อนหวานบนเรียวริมฝีปากเหนี่ยวนำความรู้สึกของชายหนุ่มให้กลับคืน

            “ไม่ทันนานดอก ระบาย” ชายหนุ่มยิ้มทักทาย เมื่อเห็นหน้าของหญิงสาวแล้วจึงได้รู้ว่าใครคือเจ้าของท่วงทำนองของดนตรีพื้นบ้านไพเราะหวานไหวนั้น

            “แม่บอกว่าเจ้ากลับมา ระบายจึงมาคุยด้วย”

            หญิงสาวผู้งาม นักบรรเลงดนตรีพื้นบ้านเก่าแก่แถบถิ่นลุ่มแม่น้ำสีคราม ชื่อระบาย เธอเติบโตมากับกลิ่นอายและบรรยากาศของนักขับขานท่วงทำนองพื้นบ้าน เธอจึงได้ซึมซับเอาจิตวิญญาณของบรรพบุรุษซึ่งสืบเชื้อสายของศิลปินพื้นบ้านมาหลายชั่วอายุคนไว้อย่างเต็มเปี่ยม เมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยอันสมควร แม่ของเธอต้องการให้เธอรับช่วงต่อเพื่อสืบเชื้อสายนักขับขานไว้เหมือนกับที่แม่เคยได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษมาแล้วอย่างตั้งใจ แม่ของเธอจึงพยายามที่จะสื่อส่งจิตวิญญาณของศิลปินมาสู่ตัวเธออย่างตั้งใจและมาดมั่น แต่ระบายกลับดื้อรั้นปรารถนาจะเป็นสาวผู้งามนักบรรเลงดนตรีพื้นบ้านมากกว่า

            “ลูกผู้หญิงเป็นไม่ได้หรอก แต่โบราณมาแล้วยังไม่เคยมีนักบรรเลงดนตรีของเราผู้ใดเป็นหญิง” แม่อ้างเหตุผลชักจูงและพรรณนาถึงเรื่องราวปรัมปราอันเป็นตำนานพื้นถิ่นแถบลุ่มแม่น้ำ

            “ระบายนี่อย่างไรล่ะ แม่ จะเป็นหญิงคนแรกในตำนานให้คนกล่าวขานอย่างไม่รู้จบ”

            ระบาย หญิงสาวผู้งามอ่อนหวาน บนเวทีของนักขับขานท่วงทำนองพื้นบ้านสง่างามอ่อนช้อย บรรเลงเพลงได้ไพเราะไม่เป็นรองชายในเชิงฝีมือและความสามารถ โดยการขับเคี่ยวของกาลเวลาและประสบการณ์หลอมรวมกับพลังแห่งความตั้งใจฝึกฝนของเธอ แล้วในที่สุดชื่อเสียงของเธอก็ขจรขจายออกไปตลอดลุ่มแม่น้ำ โอ หญิงสาวผู้เป็นขบถต่อขนบจารีตของบรรพบุรุษ นักบรรเลงเพลงดนตรีพื้นบ้านหญิงคนแรกในตำนานพื้นถิ่น

            ตลอดระยะเวลาแห่งความมีชื่อเสียง ระบายจึงต้องออกเดินทางสู่บ้านไกลเพื่อบรรเลงดนตรีประกอบสำเนียงของนักขับขานในหมู่บ้านห่างไกลเป็นแรมเดือน ไม่มีกำหนดแห่งการกลับคืนที่แน่นอน เธอได้ดูดซับเอาความรักและจิตวิญญาณแห่งการแสดงไว้อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว

            ช่วงเวลาเริ่มแรกแห่งความเป็นหนุ่มเป็นสาว สายใยความผูกพันได้ก่อรูปแห่งความรักอันงดงามขึ้นภายในอาณาจักรแห่งหัวใจทั้งของชายหนุ่มและหญิงสาวนักดนตรีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งคู่ไม่เคยรู้สึกหวาดระแวงต่อความร้าวฉานที่กำลังแผ่ปกคลุมชีวิตรักเลยแม้เพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างแน่ใจว่าไม่มีกำแพงใดจะสามารถกั้นขวางอานุภาพแห่งความรักและเข้าใจที่ร้อยประสานเชื่อมประสมหัวใจแห่งรักทั้งสองดวงเข้าด้วยกันได้

            กาลเวลาคืบคลานผ่านไป เมื่อถึงเทศกาลงานบุญประจำปี ชายหนุ่มจึงได้พบว่าชีวิตของนักบรรเลงดนตรีพื้นบ้านของหญิงสาวคนรักสร้างความอ้างว้างเดียวดายให้กับเขาเกินกว่าจะทนได้ ทุกครั้งที่เห็นภาพหญิงสาวผู้งามของตนเตรียมตัวออกเดินทางเพื่อการแสดงฉลองงานบุญบ้านไกล โดยไม่รู้กำหนดแน่นอนของการกลับคืน นั่นคือภาพที่สร้างความปวดร้าวและก่อกำแพงความร้าวฉานขึ้นทีละน้อย

            “ชีวิตของระบายคือการได้บรรเลงดนตรี ทุกครั้งที่ได้หยิบเป่าเครื่องดนตรีนี้คือความสุขของชีวิต จะให้ระบายทิ้งอาชีพนี้ไปทำงานอย่างอื่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ดอก ระบายคงไม่มีความสุข”

            “แล้วความรักของเราล่ะ ระบาย จะให้เป็นไปแบบใด” ชายหนุ่มได้แต่ออดอ้อนเช่นนี้ทุกครั้งที่ไม่สามารถทนต่อความปวดร้าวได้

            “ไม่รู้ ระบายคิดไม่ออก”

            แล้วจึงเป็นการพรากจากที่ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองได้เลือกเป็นทางออกให้กับความร้าวฉานซึ่งสายใยของความรักไม่อาจจะร้อยประสานได้อีกต่อไป

            “กลับบ้านคราวนี้ เจ้าว่าจะอยู่นานปานใดเล่า”

            “ไม่รู้ดอก ลาออกจากงานแล้ว ตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับคืนมาอยู่บ้านเราตลอดไป... เพลงที่จบไปนั้นเป็นบทเพลงใดกันเล่า”

            “ไม่เป็นเพลงดอก”

            “เป่าให้ฟังอีกครั้งหนึ่งจะได้ไหม”

            ท่วงทำนองอ่อนหวานของดนตรีพื้นบ้านจากฝีมือบรรเลงของระบายสาวผู้งามก็ขับขานสำเนียงขึ้นอีกครั้ง จังหวะไพเราะและลีลารวดร้าวที่หญิงสาวบรรเลงออกมานั้นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าจิตใจของเธอได้จมจ่อมอยู่กับห้วงเศร้าอย่างสุดประมาณและยาวนาน เขาเฝ้าฟังและดื่มด่ำกับท่วงทำนองของบทเพลงที่เธอบรรเลงอย่างเคลิบเคลิ้ม หยาดน้ำตาใส ๆ ริน หยดลงรดแก้มขาวละมุนผุดผ่องของหญิงสาว ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้านั้นเพราะไม่ต้องการให้หยาดน้ำตาของความเศร้าโศกอันบริสุทธิ์ของหญิงสาวจำหลักลงบนแผ่นศิลาแห่งความทรงจำของเขา

            “ระบายมอบเพลงนี้เพื่อเจ้า พรุ่งนี้ระบายจะไปแสดงฉลองงานบุญบ้านไกล อีกนานกว่าจะกลับคืน จึงตั้งใจมาบอกแก่เจ้า... ใกล้มืดแล้วระบายต้องกลับคืนเรือนแล้วล่ะ”

            หญิงสาวกลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายของความเศร้าที่แทรกปนอยู่ในบรรยากาศของยามพลบและสำเนียงของเหล่าแมลงกลางคืนที่กำลังคืบคลานออกมาร้องระบำเป็นลำนำให้ค่ำคืนที่เปลี่ยวร้างและเดียวดาย

 

                                    ...............................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์