เรื่องสั้น : หมากข้างกระดาน : สุธีร์ พุ่มกุมาร

เรื่องสั้น : หมากข้างกระดาน : สุธีร์ พุ่มกุมาร

 

            คนที่ชอบเที่ยวงานผูกพัทธสีมาหรือรู้จักกันทั่วไปว่างานปิดทองฝังลูกนิมิตซึ่งจัดขึ้นช่วงเทศกาลตรุษจีนของทุกปี ต้องเคยเห็นผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบกว่า สารรูปที่เห็นชวนให้คะเน น่าจะสักหกสิบปีขึ้นไป หุ่นโบราณ กะโหลกใหญ่ มือใบพาย แก้มตอบ ผมสีดอกเลา พูดคุยสนุก สำเนียงเหน่อเป็นเอกลักษณ์ ยิ้มเก่ง ท่าทางเป็นมิตร

            เขามานั่งเรียกคนที่ชอบเล่นหมากฮอร์สให้มาทดสอบฝีมือด้วยกัน หากเล่นชนะได้ก็เอาเงินไป ๓๐ บาท หากแพ้ขอให้ช่วยซื้อสูตรหมากกลในราคาเท่ากัน หมากกลมี ๕ กระดาน ถูกตั้งตัวหมากไว้ครบทั้ง ๕ กระดาน หากมีใครยื่นข้อเรียกร้องมากกว่านี้ ยังมีให้อีก ๓ กระดาน ที่ไม่ได้ตั้งไว้ น่าจะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ใช้สอย

            คนสนใจเกมหมากกลยืนบ้างนั่งบ้าง พยายามช่วยกันถอดกลแต่ละกระดาน มั่นใจกระดานไหนก็นั่งลงหน้ากระดานนั้น แล้วบอกความประสงค์ได้เลย บรรดาเซียนซุ่มมาจากซุ้มต่าง ๆ กลับเป็นฝ่ายแพ้ กัดฟันจ่าย ๓๐ บาท ได้สูตรเอากลับไปถอดต่อที่บ้านเพื่อปลดล็อกความสงสัยค้างคาใจ และเจ็บใจ

            หมากกลมีชื่อเรียกตามประวัติความเป็นมา เรียกตามสถานที่เกิดแม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดมายืนยัน แต่พอจะเรียกตาม ๆ กันมากระทั่งจำไปตามนั้น บางกลเรียกตามชื่อผู้ค้นคิด เรียกตามลักษณะการตั้งรูป และบางกลเรียกตามลักษณะพร้อมบุกเข้าทำ หมากของนายทองซึ่งแฟนคลับนิยมเรียกว่าอาจารย์ด้วยความยกย่องนับถือจริง ๆ ผมเองก็พลอยเรียกตามเขาบ้าง มีอยู่ ๘ กล ที่จำได้ไม่มีวันลืมคือกล หมากสุพรรณฯ  ข้อมูลเบื้องต้นทราบเพียงว่าอาจารย์ทองเป็นคนคิดเอง เนื่องด้วยพื้นเพเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรีจึงได้ชื่อเช่นนั้น

            ผมเคยทดสอบฝีมือกับอาจารย์ทองกี่ครั้งจำไม่ได้ หากจะสำรวจให้รู้จริงในจำนวนแน่ชัดก็ต้องกลับไปบ้านนับแผ่นกระดาษสูตรหมากกลที่ผมมีความจำเป็นต้องซื้อมาตามข้อตกลงวางทิ้งเกลื่อนบ้านทั้งที่มันคือสูตรเดิม ๆ นั้นเอง

            เก็บความคับข้องใจอาจารย์ทองมาเป็นเวลานานหลายปี มั่นใจตัวเองเรื่องเดินหมากฮอร์ส แพ้ครั้งสองครั้งยังพอปล่อยผ่านได้ แต่แพ้แล้วแพ้อีกให้กับอาจารย์ทองผู้เร่ร่อน ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า น่าอับอาย นึกถึงเวลาเผชิญหน้ากัน เดินไม่กี่ตาเห็นทางแพ้ ยิ่งอยากกลับไปหาอาจารย์ทองเร็ววัน กลหมากที่ผมชอบเลือกเล่นกับอาจารย์ทองคือ หมากสุพรรณฯ ครั้งแรกเลือกข้างหมากที่มีจำนวนตัวมากกว่า เพราะถึงจะพลาดถูกกินไปสักตัว ที่เหลืออยู่ยังมีจำนวนไม่เสียเปรียบ แล้วก็แพ้อีก

            ผมเลือกข้างที่มีตัวหมากน้อยกว่า แอบจำวิธีเดินของอาจารย์ทองเอาไว้ แล้วก็แพ้อีก ทุกครั้งที่ไปเที่ยวงานฝังลูกนิมิต เมื่อเห็นแก ผมมักจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แม้จะต้องลุยฝ่าเข้าในร้านก๋วยเตี๋ยวใช้เป็นทางผ่านก็ต้องทำ และจะไม่ยอมอธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้นให้ใครรู้เป็นอันขาด

                                                            ....................

            อาจารย์ทองตระเวนขายสูตรหมากฮอร์สไปทั่วประเทศ หยุดไม่ได้ ภาระต้องเลี้ยงดูอย่างน้อย ๑ ชีวิตซึ่งไม่ใช่ตัวเอง และอาจมีอีกที่ไม่ได้ตามมาด้วย เคยพูดเปรย ๆ ว่าอยากจะข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านดูบ้าง

            เคยคำนวณรายได้ของอาจารย์ทอง คืนหนึ่ง ๆ ขายสูตรได้ ๑๕ - ๒๐ สูตร รวมเป็นเงิน ๔๕๐ – ๖๐๐ บาท งานหนึ่งเฉลี่ย ๘ คืน จะได้เงิน ๔,๒๐๐ – ๔,๕๐๐ บาท เสียค่าที่ ๒๗๐ – ๓๖๐ บาท นับว่าไม่น้อยเลย ความเป็นอยู่ดูแสนง่าย ข้าวผัดหรือก๋วยเตี๋ยวห่อวางแผ่กับพื้นตรงนั้น ตักใส่ปากเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์ท่ามกลางสายตาผู้คนและฝุ่นละอองโปรยปลิวเพราะแรงเหยียบย่ำของรอยเท้าจำนวนมากมาย ผ่านไปผ่านมาตลอดทั้งคืน น้ำแข็งเปล่าหนึ่งถุงห้อยไว้กับจุกฝากระติกตั้งเบียดอยู่ข้างกล่องกระดาษสีน้ำตาลที่หอบหิ้วกันไปทุกงานกระทั่งปากกล่องพับเยินปิดไม่สนิท ถามว่ากล่องนี้น่าจะใช้มานานเลยนะ

            “โอ๊ย... คุณ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนพเนจร เวลาอยู่กับเราต้องดูแลรักษาอย่างดี เห็นสภาพใหม่เอี่ยมนี่..” (ใหม่เอี่ยมของแกกับ พังเยิน ของผมคือสภาพเดียวกัน) “..อยู่ด้วยกันมานานเกินสิบปี” อันที่จริงเรื่องราวกล่องสีน้ำตาลยังมีให้พูดถึงได้อีกพะเรอเกวียน

            ข้างหลังที่อาจารย์ทองนั่ง มีมุ้งสีมอ ๆ เหมือนสีดอกลำดวนใกล้โรย รัดหูห่วงผูกตรึงไว้กับไม้รวก ๒ หลัก ที่เหลืออีก ๒ หลักหาเอาแถวนั้น อาจเป็นต้นไม้เคราะห์ร้าย หรือเสาหานซุ้มกำแพงแก้วบนลานระเบียงชั้นใน ชายมุ้งขยับเขยื้อนหยุกหยิกคล้ายมีคนอยู่ข้างใน ผมแอบสังเกตหลายหนจนกระทั่งคืนหนึ่งเห็นมีหัวคนโผล่ออกมาครึ่งเดียว เดาว่าน่าจะเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย คงเป็นเมียแกนั่นแหละ แต่มีเหมือนกันที่ได้ยินเสียง ทั้งหัวทั้งตัวไม่โผล่ออกมา

            ไม่ค่อยอยากใส่ใจ แต่อดคิดไม่ได้ตามประสาของผมเอง อาจารย์ทองช่างสะสมเวรกรรมไว้มากมายเหลือเกิน พอได้ยินเสียงเมียเรียกเป็นต้องผลุนผลันงกเงิ่นรีบมุดมุ้งเข้าไปหาแล้วมุดกลับออกมาหยิบโน่นคว้านี่ ข้าวบ้างน้ำบ้างส่งเข้าไปอยู่นั่นแล้ว จะทำให้ผมคลายศรัทธาเลิกนับถือเป็นอาจารย์ก็ตรงนี้แหละ ช่างเถอะ ตัวใครตัวมัน กลัวเมียหรือไม่กลัวเมียเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคล แค่ต้องการคลายความสงสัยว่าผมแพ้เชิงหมากซ้ำซากได้อย่างไร

                                                            ....................

            “ทุกก้าวต้องมั่นใจเพื่อเดินไปสู่ชัยชนะ”

            ตำราหมากฮอร์สและหมากกลมีวางขายตามตลาดนัด ร้านหนังสือราคาถูก เห็นมานานเต็มทีเคยเปิดดูผ่าน ๆ ไม่ค่อยเชื่อถือสักเท่าไหร่ เพราะเวลาอยู่ในสถานการณ์จริง สูตรที่หนังสือบอกมักใช้ไม่ค่อยได้ผล อย่างไรเสีย ผมก็ยังจำเป็นต้องซื้อมาดู ผู้เขียนตำราเป็นถึงแชมป์ประเทศไทย อาจารย์ทองเป็นใคร ถ้าโชคดีได้เจอกันอีก ควบคุมสติตัวเอง ไม่หวั่นไหวกับความเคารพนับถือที่อาจารย์ทองได้มาจากกลุ่มคนเพียงบางกลุ่มเฉพาะ ล่วงรู้ความสามารถของแกแค่เพียงบางส่วนเท่าที่สายตาเห็น อาจารย์ทองไม่น่าจะรอบรู้อะไรลึกซึ้งกระทั่งเป็นที่ยอมรับอย่างมากมายจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือในวงการหมากฮอร์สไทย และวางแผนจะไปดังในประเทศเพื่อนบ้าน

            ลืมเรื่องหมากกลไว้ก่อน เพราะกลไม่ใช่ความจริง ต้องอยู่กับความจริงและเข้าใจมันให้ได้ เล่นแบบเต็มกระดานนี่แหละเป็นความตั้งใจจะเรียนให้อาจารย์ทองทราบ หากเอาชนะแกได้แค่กระดานเดียวก็ช่วยบรรเทาความหมกมุ่นจมปลักอยู่กับความพ่ายแพ้ตลอดกาล ขออย่างเดียว อาจารย์ทองอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเสียก่อน

            ทุกก้าวต้องมั่นใจเพื่อเดินไปสู่ชัยชนะ แค่กระดานเดียว

            บนกระดานมี ๖๔ ตา วางเบี้ยลงไปฝ่ายละ ๘ ตัว รวมสองฝ่ายมี ๑๖ ตัว เหลือตาว่างไว้ให้แย่งกันเดิน ๔๘ ตาศึกสงครามเขารบสู้กันด้วยอาวุธ บาดเจ็บล้มตาย แลกกันด้วยชีวิตของแต่ละฝ่าย องค์ประกอบของสงครามมีความซับซ้อนยุ่งยาก ล่อลวงด้วยกลวิธีแยบยล ลวงคนเอาเข้าไปเผาในกองไฟคราวละเป็นหมื่นเป็นแสนชีวิตเขายังทำกันได้ ประสาอะไรกับชายเร่ร่อนคนนี้ มัวแต่เกรงศักดิ์ศรีจอมปลอม ความมั่นใจไม่มีเหลือติดตัว ความกลัวนี่แหละเป็นอาวุธหันด้านคมเข้าหาตัวเราเอง

            “เดินเหอะ แพ้ก็ตั้งใหม่ ลองกลอื่นดูมั่ง ถือว่าได้วิชา แค่ ๓๐ บาทเอง” เจ็บจี๊ด ๆ เงินจำนวน ๓๐ บาท ไม่ใช่สาเหตุของความกลัว ศักดิ์ศรีต่างหาก มนุษย์ในโลกนี้มีจำนวนไม่น้อย ยอมตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรีทั้งที่ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร คนที่มายืนดูด้วยอยากรู้ว่าจะมีใครสักคนซึ่งเป็นนักรบนิรนามหาญกล้าอาสาเข้ามาล้มอาจารย์ทอง หรืออาจมารอดู วันนี้จะมีเหยื่อหน้าใหม่หลงเข้ามาให้อาจารย์ทองจับกินสักกี่คน

            “เก่งไม่กลัว แต่กลัวช้า” อย่าโกรธ ๆ คำสบประมาทที่อาจารย์ทองใช้เป็นประจำ ทำให้เดินผิดพลาดหลายครั้งที่ผ่านมา ลืม ๆ ไปเสีย อย่าเก็บไว้ให้เป็นภาระสมองและจะไม่มีวันเอาชนะอาจารย์ทอง

            “แตะแล้วต้องเดินนะ” อดทนไว้ ๆ อาจารย์ทองเป็นนักจิตวิทยาตัวยง เห็นช่องทางหรือจุดอ่อนคู่ต่อสู้เปิดแกจะไม่ปล่อยโอกาสผ่านไป ซึ่งอาวุธร้ายกาจเหล่านี้แกพาติดตัวมาเต็มหัว มิน่าล่ะถึงได้ใช้วิชากลหมากฮอร์สเลี้ยงชีวิตมาได้ถึงทุกวันนี้ ที่พอจะเอาชนะได้คืออดทนต่อการยั่วยุ คิดเสมอว่ากำลังเผชิญหน้ากันเพียงลำพัง ไม่มีใครมอง ไม่พะวงกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จุกจิกกวนใจที่รายล้อมรอบตัว เพิ่มเติมความรอบคอบ บางครั้งเดินช้าอาจช่วยได้ อย่างน้อยคนดูพากันรำคาญแล้วเดินออกไป ความกดดันค่อยผ่อนคลายลง แพ้ก็อายคนน้อย ที่แพ้ซ้ำซากเพราะมัวแต่ไปฝักใฝ่คนอื่น ให้ความสำคัญตัวเองบ้าง ยกย่องนับถือภูมิปัญญาตัวเอง พูดกับตัวเองบ่อย ๆ เราชนะได้ และต้องชนะให้ได้

                                                            ....................

            ตำราหมากฮอร์สและหมากกลเล่มนั้นทวีความเข้มขลังขึ้นทุกวัน ปกหน้าเลอะคราบเกราะกรัง รอยขีดข่วนกระจายทั่วเล่มจากเล็บแมวที่เลี้ยงไว้ มุมกระดาษหัวท้ายยับย่นยู่ยี่ ปกหลังมีรอยพับหักฉีกขาดเกือบครึ่งแผ่น รูปไอ้มดแดงยืนจังก้าเตรียมท่าไม้ตายเผด็จศึกศัตรู เป็นผลงานของลูกที่กำลังปลดปล่อยความสามารถพิเศษในเชิงวิชาวาดเขียน

            มองในแง่ดี ผมคิดว่าเป็นคัมภีร์มหามนต์ถูกค้นพบจากตู้พระคัมภีร์ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน ผมพกติดตัวตลอด ว่างเมื่อไรเป็นต้องเปิดอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก สมมุติเบี้ยด้านหนึ่งเป็นของผม ส่วนอีกด้านเป็นของอาจารย์ทอง ถ้าเดินตัวนี้ แกน่าจะเดินตัวไหน หมุนหนังสือกลับไปกลับมาเพื่อให้เห็นมุมมองครบทุกมิติใกล้เคียงความจริงมากที่สุด พยายามแจกแจงรายละเอียดจากสมมุติฐานเพิ่มเติมตำแหน่งที่เขาเขียนไว้ในหนังสือซึ่งไม่มีหมากกลของอาจารย์ทองเลย

            ช่วงเวลาไม่ค่อยมีงานวัด เนื่องจากเป็นบรรยากาศนอกเทศกาล อาจารย์ทองยังอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า แอบนึกเป็นห่วงไม่ได้ มุมชีวิตของแต่ละคนเป็นเรื่องเฉพาะ อุปนิสัยร้อยแปดพันเก้าบรรยายไม่หมดไม่สิ้น แต่มันย่อมมีเพียงแค่สองมุมเท่านั้นคือ มุมมืด และ มุมสว่างฝังอยู่ภายใต้จิตสำนึก กำจัดออกไม่ได้จะเกาะติดตัวไปจนตาย มุมมืดคือหลุมดำในใจ ดูดกลืนเอาสารพัดสิ่งทั้งความดีความชั่วไปเก็บไว้ ครั้นถึงเวลาได้จังหวะคายออกมามักจะมีแต่ความชั่วแบบที่เรียกว่า มนุษย์ปาราสิต ความดีออกมาน้อย มุมสว่างคือท้องมหาสมุทร รับได้ทั้งขยะปฏิกูลและสิ่งอันเอื้อประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พยายามปัดกวาดเอาขยะออกให้พ้นไป ทำงานแบบไม่มีเวลาพัก เสียงปัดกวาดท้องทะเลสร้างฝันให้แก่คนที่ใกล้หมดหวัง ปลุกเร่ง เร้าอารมณ์กวีให้ตื่นกลางดึก และจะเหลือไว้แต่น้ำใสสะอาด ขยะหนักถูกหน่วงกดไว้ในส่วนลึกสุดของท้องมหาสมุทร

            ถึงเวลานี้ยังนึกไม่ออกจะจัดมุมชีวิตให้อาจารย์ทองอย่างไร รอดูอีกหน่อย ความมีปฏิสัมพันธ์ก่อให้เกิดได้ทั้งมิตรและศัตรู หากวางระยะดำรงอยู่ไม่เหมาะสม อาจารย์ทองยังไม่ถูกคัดแยกไปวางไว้มุมใด แม้จะเคยเห็นบางอย่างเผลอแสดงออกมา มันดูมัวหมองในความรับรู้ขณะนั้น ไม่น่าอภิรมย์ แต่ก็นั่นแหละเข้าใจว่าคือเงาสะท้อนตัวตนแท้ของคน คนจริง ๆ ยังไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม

            ผมมีมุมมืดอันเป็นปมในใจ ไม่มีความสุขเวลาเห็นคนที่ยอมตนอยู่ใต้อำนาจเมีย กำลังคิดว่าอาจารย์ทองมีอุปนิสัยชอบบริการไม่เลือกคน ไม่แน่ว่าหากมีใครใช้ให้เดินไปซื้อน้ำแข็งเปล่าแถวนั้นคงยินดีบริการ จึงไม่น่าเรียกว่าคนกลัวเมีย เป็นแค่คนมีจิตอาสาชอบบริการสังคม พยายามคิดแบบนี้บ่อย ๆ เพื่อผ่อนคลายให้ร้ายอาจารย์ทองเบาบางลง

            “อาจารย์น่ารักดีนะ คอยส่งข้าวส่งน้ำให้เมีย” คืนนั้น... คืนแรกที่รู้สึกเป็นปฏิปักษ์แรง ๆ กับอาจารย์ทอง

            “ตาทอง เอากระติกน้ำมาให้หน่อย” เสียงออกคำสั่งดังมาจากในมุ้ง ไม่ระแคะระคายมาก่อนแม้แต่น้อยทั้งที่ผ่านมาตรงนี้หลายครั้งมาก

            “อยากมีเมียเด็กก็ต้องยอมรับสภาพ” ผมคิดอย่างนี้

            “เข้าส้วมก็ต้องอุ้มไป” เสียงออกสำเนียงสุพรรณฯ ทำให้เหมือนกับว่ากำลังนั่งล้อมวงพูดคุยอย่างถูกคออยู่กับคนบ้านเดียวกัน ไม่คิดว่าเป็นคำพูดประชด

            “ทำไงได้ อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีก็ต้องหอบหิ้วกันต่อไป” ผมไม่เห็นสีหน้าแสดงอาการเหนื่อยหน่าย ตรงกันข้าม แกพูดปนยิ้ม ความคิดว่ามีเมียเด็กจึงต้องคิดใหม่ ยังไม่เคยเห็นเมียอาจารย์ทองเต็มตัวสักที เพราะแม่เจ้าประคุณชอบทำตัวเป็นนางอายมุดร่างอยู่แต่ในมุ้ง ทุกครั้งที่แวะมาหาอาจารย์ทองเมื่อเราสนิทกันมากขึ้น เสียเงินซื้อตำราหมากกลมากอยู่ ยกระดับขึ้นเป็นลูกค้าคนสำคัญ เคยพูดทีเล่นทีจริงทำนองว่าเลิกรากันไปคนละทางต่างคนทำมาหากินด้วยตัวเองจะสบายกว่าไหมกับที่ต้องคอยพลอยเหนื่อย อีกหน่อยพอร่างกายใกล้หมดสภาพใช้งานจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหน ลำพังตัวเอาให้รอดเสียก่อนเถอะ

            “แล้วจะให้เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนล่ะ” แกว่า

            นั่นสิ... ก็ไม่รู้เหมือนกัน สถานที่สำหรับเอาคนเป็น ๆ ไปทิ้งมันอยู่แถวไหน

            ผมเห็นอาจารย์ทองอีกครั้งสองครั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ไม่แสดงตัว การตามหาอาจารย์ทองไม่ใช่เรื่องยาก ทิศทางเลือกปักหลักเป็นที่มั่นมักไม่ค่อยห่างโบสถ์ ร้านอาหารเครื่องดื่มสะดวก ไม่ไกลห้องน้ำ แสงไฟไม่สว่างเกินความจำเป็น ไม่อยู่ในรัศมีพลุกพล่าน ทางเดินของคนจำนวนมาก ลักษณะทางกายภาพเช่นนี้ เหยื่อไม่ชอบ ถ้าเป็นริมกำแพงมีอะไรเป็นฉากหลังนั่นคือทำเลทอง

            “อยู่ติดกำแพงค่อยอุ่นใจ” แกหมายถึงมุ้งหลังนั้น

            มุมมืดในใจของผมมักปลดปล่อยความมืดออกมาทุกครั้งที่เป็นความบังเอิญหรือตั้งใจมาหาอาจารย์ทอง เหมือนว่าเคยสร้างบาปเวรกรรมกันมาแต่ชาติปางก่อนกับใครบางคนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาแม้แต่ครั้งเดียว แค่ได้ยินเสียงออกคำสั่งพร้อมกับอาจารย์ทองกุลีกุจอมุดเข้ามุ้งโดยไม่รอให้เรียกเป็นครั้งที่สอง

            สายตาสอดส่ายหาตำแหน่งที่ตั้งของมุ้งอย่างอัตโนมัติ ความอยากรู้ระยะหลังมานี้คือเจ้ากรรมนายเวรของอาจารย์ทองยังเฝ้าติดตามทวงหนี้อยู่หรือเปล่า ครั้งหลังสุดรู้ว่าอาจารย์ทองยังต้องทนก้มหน้าชดใช้หนี้กรรมต่อไปคงอีกนาน

            ความตั้งใจเดิม ๆ กลับอ่อนล้า ไม่อยากพิสูจน์ฝีมือกับแกอีกแล้ว หากเอาชนะได้ในห้วงเวลาอย่างนี้จะหาความภูมิใจจากไหน จาก...เสือชราหมดเขี้ยวเล็บ

                                                            ....................

            กระดาษสูตรหมากกลสภาพใหม่ที่อาจารย์ทองยื่นให้วัยรุ่นคนหนึ่งพร้อมกับรับเงิน ๓๐ บาทเป็นค่าวิชา ความขาวของกระดาษวิเคราะห์ได้ ๒ นัยคือเก็บเข้าล้วงออกกระทั่งเปื่อยขาดสิ้นสภาพตำราหมากกลอันลือลั่น โดยเฉพาะ หมากสุพรรณฯ ผมชอบหมากกลชุดนี้เพราะการตั้งชื่อ ความไม่ซับซ้อน เปิดโอกาสให้ฝ่ายเพลี่ยงพล้ำพลิกกลับมาชนะได้ตลอดเวลา หากมีสติไม่หลงกลในลาภ แท้จริงแล้วคือความโลภ

            มีคนมาทดสอบฝีมือจำนวนมากจึงสำเนาขึ้นมาใหม่ ความคมชัดไม่เหมือนต้นฉบับ ผมมีอยู่เกิน ๑๐ แผ่น เหมือนเข็มที่คอยทิ่มตาตำใจ จำได้ไม่เคยลืม นึกอยากบอกว่าจะเอาไปร่างใหม่เพื่อเพิ่มความคมให้ชัดเหมือนเดิมแล้วถ่ายเอกสารให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ผมมีเครื่องมือพร้อมทุกอย่าง เราอาจอยู่ในสถานะคนรู้ใจกัน แต่ไม่สามารถข้ามเส้นยืนยันสัญชาตญาณเบื้องลึกของคนทุกคนได้ปรุโปร่ง ประสบการณ์ชีวิตสำหรับคนเดินทางท่องเที่ยวไปแทบทั่วหัวระแหงของแผ่นดิน มิใช่เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินหรือทัศนะศึกษา หากแต่ไปผจญภัยเพื่อหาปัจจัยเลี้ยงชีพ

            ความลึกตื้นซ่อนอยู่ระดับไหน ยากหยั่งรู้ เป็นสิ่งที่ควรระวังกำหนดระยะห่างบ้างตามสมควร ผมเลิกล้มความคิดนั้น ทำได้เพียงส่งความปรารถนาดี

            หญิงลึกลับในมุ้งคนนั้นเป็นใคร มีดีอะไร อดนึกไปถึงเรื่องเสน่ห์น้ำมันพรายหรือน้ำมนต์ใบมะยมของอาจารย์เก่ง ๆ ที่ไหนสักคน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ศักดิ์สิทธิ์บรรดามีในสากลพิภพ ยังนึกไม่ออก ประมาณนั้นนั่นแหละ ผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายคนหนึ่ง ต่างรู้เห็นความมีอยู่ของกันและกัน อะไรบังคับให้ต้องทนกับสภาพถูกกดขี่อย่างไม่เป็นธรรม เมื่อมุมมืดในใจของผมถูกกระตุ้น ความคิดมัว ๆ สร้างแผนการแย่ ๆ ขึ้นมา เวลาออกไปเดินสายต่างจังหวัดไกล ๆ ทำทุกอย่างเป็นปกติ คืนสุดท้ายงาน เก็บของเท่าที่จำเป็นเผ่นแผล็วเป็นลูกพระพาย วางเงินค่าใช้จ่ายไว้ให้เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรมอันดี ต่อจากนั้นแม่เจ้าประคุณจะจัดการกับชีวิตหลังถูกทิ้งของตนประการใดได้ตามสะดวก โลกคงไม่คับแคบกระทั่งมองไม่เห็นทางไป คิดถึงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในจังหวัด มีทางให้เดินตั้งมากมาย

            ผมได้พบอาจารย์ทองอีก เป็นคืนสุดท้ายของงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ปี ๒๕๕๔ แกมาเปิดสนามประลองวิทยายุทธ์ว่าด้วยเพลงหมากฮอร์สอยู่ข้างกำแพงแก้วชั้นในด้านทิศเหนือขององค์เจดีย์ ทางขึ้นไปสู่วิหารหลวง ห้าทุ่มกว่า ช่วงเวลานี้คือนาทีทอง เพราะเป็นเวลาใกล้ปิดงาน เตรียมตัวหาที่นอนสำหรับนักเที่ยวกลับไปขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายไม่ทัน และคนสมัครใจยังไม่อยากกลับ พวกนี้จะเดินมามุงดูคนอื่นเล่นและเสียเงินค่ากระดาษสูตรหมากฮอร์สให้อาจารย์ทองก่อนขอตัวไปนอนขบคิดใต้ต้นลั่นทมแดง แพ้ได้ไง

            ผมยืนดูอยู่ห่าง ๆ คนไม่มากเพราะดึกมากแล้ว ภาพบรรยากาศเดิม ๆ ดูท่าทางสุขุมกว่าเก่า ไม่ค่อยใช้คำพูดหว่านล้อมทำลายสมาธิคู่ต่อสู้เหมือนแล้ว ๆ มา ความจริงเป็นเรื่องปกติของการเล่นเกมเพื่อแย่งชิงชัยชนะ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนเล่น ผมหย่อนตัวลงข้างหน้าขณะเดียวกับที่อาจารย์ทองหยิบเงินออกจากกระเป๋าเสื้อมานับ

            “อ้าว... คุณนี่เอง ไปไงมาไงถึงมานี่ได้” ทักทายด้วยสำเนียงเหน่อเอกลักษณ์  “คิดถึง...” ผมตอบพร้อมชายตาไปที่มุ้งหลังนั้น “...พาเมียมาด้วยหรือเปล่า” ถามด้วยความรู้สึกไม่อยากถาม

            “จะให้เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนล่ะ”

            “ปีนี้คงได้เยอะ” แอบนับกระดาษสูตรที่แกถือ “พอได้ซื้อข้าวกิน...” นิ่งไปชั่วครู่คล้ายกำลังใช้ความคิดทบทวนถึงสิ่งต่าง ๆ เอากระดาษสูตรมานับ ไม่สอดคล้องกับจำนวนเงิน แล้วชวนเล่นเหมือนเคย แต่คราวนี้ไม่เหมือนเคย

            “วันนี้ไม่ต้องอุดหนุนผมหรอก” พูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี “แจกพรรคพวกไปหมดแล้วครับ อยากได้ใหม่” เราเล่นกันแบบเต็มกระดาน เหลือคนยืนดูแค่ ๓ - ๔ คน เบี้ยทั้งสองฝ่ายเดินมาถึงกลางกระดานอาจารย์ทองนั่งคิดอยู่นาน หันไปมองทางมุ้งเป็นระยะ “เก่งไม่กลัวแต่กลัวช้า” ผมไม่ได้พูด มีเสียงใครสักคนยืนดูอยู่ คิดว่าคงเป็นคนที่พกพาเอาความเจ็บแค้นไม่ยอมปล่อยวางมาซุ่มดู รอว่าจะได้เห็นอาจารย์ทองควักเงินออกจากกระเป๋าสักครั้ง หมากข้างผมได้เปรียบ เดินต่อ อาจารย์ทองก็แพ้

            “เสมอกัน” พูดพร้อมกับใช้มือใบพายกวาดหมากบนกระดานรวมกัน “ถามพี่เขาหรือยังครับ อาจารย์” เสียงคนเดิมท้วงขึ้น ผมรับเงิน ๓๐ บาทมากำไว้

            “ลองอีกกระดาน เอาหมากกลสุพรรณฯ” แกรู้ใจผมชอบหมากกลชุดนี้ แต่ผมจำเป็นต้องไปทำธุระที่ค้างไว้ “โอกาสหน้าก็แล้วกันครับอาจารย์” ผมบอกตามจริง ท่าทางจะไม่ยอมง่าย ๆ แกตั้งหมากแบบเต็มกระดานเลื่อนมาข้างหน้า คงคิดว่าหากเล่นแบบหมากกล ผมคงไม่ยอมเล่นด้วยแน่นอน

            “ตาทอง...” เสียงเมียเรียกมาจากในมุ้ง เท่านั้นเอง อาจารย์ทองของผมก็เหมือนถูกใครทุบหลัง ผละจากผมแล้วเดินไปเลิกมุ้ง ได้ยินว่าเมียบอกจะเข้าห้องน้ำ ได้เห็นเต็มตัวเต็มตาเสียที

            อาจารย์ทองกำลังจะพาเมียไปเข้าห้องน้ำ เป็นแค่คำพูดประชดเล่นหรือทำอย่างนั้นจริง ๆ

            ชายมุ้งถูกเลิกจนสูง

            อาจารย์ทองโผล่ออกมาก่อน เมียกระเถิบตามออกมา

            ขาด้วนทั้งสองข้าง

            รอยยิ้มอย่างมีความสุข ยากจะสัมผัสรับรู้ได้ในหัวใจของผู้ชายคนนี้

            “จะให้เอาไปทิ้งที่ไหนล่ะ...”

            แกพูดขณะแบกร่างท้วมขึ้นหลัง มือข้างหนึ่งอ้อมไปโอบ อีกข้างหนึ่งยันพื้น

            “อึ๊บ...” แม้ห้องน้ำจะอยู่ค่อนข้างไกล ผมได้ยินเสียงหอบ แม้ว่าอาจารย์ทองไปไกลแล้ว

            “ผมคืนอาจารย์”

            เงิน ๓๐ บาทในมือ ไม่ใช่เงินของผู้ชนะเกมบนกระดาน

            ผู้ชนะเกมข้างกระดานควรเป็นเจ้าของเงิน

            อาจารย์ทองมองหน้าผม สายตาฉายแววกล้าแกร่งแฝงไว้ด้วยประกายทระนง

            “คุณชนะไม่ใช่เหรอ” แกถามเรียบ ๆ

            ผมยื่นเงินไปข้างหน้า

            ยิ้มให้อาจารย์ทอง บอกกับแกว่า... เราต่างมีความสุขตามวิถีสำนึกของแต่ละคน

            “เสมอกัน”

 

                                    ...................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์