เรื่องสั้น : กระแสใหม่ในลานเดิม : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย

เรื่องสั้น : กระแสใหม่ในลานเดิม : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย

 

            เสียงพิณ เตยหอม ผู้ตรวจสอบการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของโซลาร์ แลนด์ หวนคืนซอยกำนันแม้น 13 ชุมชนต้นกำเนิดของตัวเองอีกครั้งในรอบเจ็ดปี เมื่อบริษัทเลือกลานโพธิ์กลางชุมชนเป็นจุดติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อขายไฟฟ้าให้กับคนที่นี่

            ต้นโพธิ์กลางลานยังคงยืนสูงเจียนสิบเมตรไกวกิ่งไปกับสายลมประจำถิ่น ริมเขตมีต้นมะม่วงใบเขียวคล้ำ ลดระดับลงมาเป็นไม้พุ่มออกดอกสีขาวไร้กลิ่น นกเขาขันแข่งกับกางเขน ใต้โพธิ์มีตั่งไม้ซีดระบุสีจริงได้ยาก รอยล้อรถซ้ำซ้อนขุดหน้าดินค้างไว้ หญ้าเขียวสลับเหลืองแทงยอดตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง

            เสียงพิณหวนความทรงจำถึงอาม่าห้อยขาคุยกับเพื่อนบ้านบนตั่งใต้ต้นโพธิ์ คนงานขึงตาข่ายเตะตะกร้อเฮฮา บริเวณนี้มีกระแสลมเอื่อยสลับเข้มค่อนข้างสม่ำเสมอมาแต่ไหนแต่ไร แดดสาดเต็มแผ่นดินเหมาะแก่การวางแผงเซลล์แสงอาทิตย์มากพอจ่ายไฟให้ได้เกือบทั้งชุมชน

            บริษัทเอกชนขยับตัวสู่ธุรกิจไฟฟ้าทางเลือกหลังภาครัฐกำหนดนโยบายจริงจัง ประชาชนเข้าถึงไฟฟ้าแสงอาทิตย์มากขึ้นผ่านตัวแทนของบริษัทแบบโซลาร์ แลนด์ ที่ขยายเขตติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์โดยประชาชนไม่ต้องลงทุนเอง อาคารย่านสีลม สยามสแควร์ หรือแถบทองหล่อล้วนหันมาใช้ไฟฟ้าแบบนี้กันถ้วนหน้า แม้กระทั่งโครงสร้างส่วนเสาฐานรางรถไฟฟ้าก็ยังวางระบบผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ไว้

            “พวกคุณมาดูที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์เหรอ”

            หญิงชายวัยกลางคนตอนปลายจับกลุ่มใกล้รถตู้ของโซลาร์ แลนด์ เสียงพิณคิดในใจว่าข่าวไปไวเหลือเกิน เป็นธรรมดาอยู่แล้วหากบ้านใดสักหลังมีความเคลื่อนไหว นักกระจายข่าวชุมชนจะรุดมาแทบทันที เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เธออยู่นี่

            “ก็ดีเหมือนกันนะ เอาที่ไปติดเซลล์แสงอาทิตย์ ดีกว่าปล่อยไว้เปล่า ๆ”

            “นั่นสิ พวกเราก็ไม่ได้ชุมนุมนั่งคุย ออกกำลังกายตรงนี้นานแล้ว คูหาเลือกตั้งก็ย้ายไปซอย 11 โน่น”

            “จะได้ใช้เมื่อไรกันล่ะ”

            เสียงเหน่อเล็กน้อยจนบอกพื้นเพถิ่นกำเนิดไม่ชัดของหญิงวัยเกษียณถามไถ่ นางอยู่ในชุดคอกระเช้าลายดอกไม้บานโต ผ้านุ่งเขียวจัดมีสามเส้นขวางด้านล่าง ยิ้มแย้ม ผมย้อมสีดำธรรมชาติ

            “ค่ะ เดี๋ยวต้องคุยกับลุงจรัสเจ้าของที่ก่อน”

            “อ้อ เห็นดุหลานอยู่ในบ้านโน่นแน่ะ”

            หากลุงจรัสโอเคยอมให้ใช้ลานโพธิ์ติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เขาจะได้รับสิทธิ์ใช้ไฟฟ้าฟรีตลอดสัญญาโดยกำหนดปริมาณไฟฟ้าสูงสุดเอาไว้ รายอื่นที่ผ่านมาล้วนใช้เกินโควตาจนต้องเสียค่าไฟเสมอ โซลาร์ แลนด์ยังตกลงจ้างคนในพื้นที่คอยบำรุงรักษาทำความสะอาดแผงเซลล์แสงอาทิตย์ด้วย

            ลมประจำถิ่นหอบเส้นผมของหญิงสาวตวัดลูบแก้ม ใบโพธิ์แกรกกรากสัมผัสกันฟังเหมือนบทดนตรี ลำต้นคล้ายขาสัตว์ประหลาดก่ายเกี่ยวเกาะกัน เนื้อไม้สีน้ำตาลเทาแทรกแซมด้วยปื้นราโดยเฉพาะในร่องระหว่างขาเหล่านั้น เสียงพิณนึกถึงอนาคตของที่ดินรกร้างแห่งนี้ ก่อนติดตั้งขบวนแถวแปลงแสงเป็นไฟฟ้าจำต้องปรับสภาพให้ราบเรียบ รื้อทิ้งทุกอย่าง แม้กระทั่งต้นโพธิ์ก็หมดโอกาสยืนตระหง่านอีกต่อไป

            เสียงพิณสูดหายใจลึก เดินสู่บ้านเจ้าของกรรมสิทธิ์ลานโพธิ์

 

            “พี่พิณดูรายงานเรื่องคอนแท็กต์ อิเล็กทริฟิเคชันของสุหรือยังคะ”

            โซลาร์ แลนด์ มิได้ทำแต่ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียว ยังมีระบบผลิตไฟฟ้าจากธรรมชาติสายอื่นด้วย ไม่ว่าพลังงานลม ไฟฟ้าจากดินในพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่สุทิศาอ้างถึงคือไฟฟ้าด้วยสัมผัสแตะแล้วแยกของใบไม้สองใบที่ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำประจุเกิดเป็นกระแสไฟฟ้าให้เก็บเกี่ยว

            เสียงพิณทิ้งแว่นใส่คีย์บอร์ดโน้ตบุ๊ก เอนหลังพิงเก้าอี้ หลายความคิดของคนในนี้ไม่สำเร็จ บางอย่างดีเหลือเชื่อ เธอยังคาใจว่าไฟฟ้าจากใบไม้สัมผัสกันจะนำไปใช้จริงได้มากน้อยเพียงไหน

            “ทำตัวเลขละเอียดมาให้ที แต่ละใบได้ผลเท่าไร ต้องใช้ขนาดไหน แล้วจะติดตั้งอย่างไร ตรงไหน เดี๋ยวพี่เสนอผู้ใหญ่ให้”

            “โอเคพี่”

            เสียงพิณคว้าแว่น โน้มตัวเข้าหางานที่ค้างไว้ เธอกำลังดูตัวเลขของชุมชนกำนันแม้น รวมถึงแผนการปรับสถานที่ ไม่เกินสัปดาห์หน้าคงลงมือทำได้แล้ว

            “อ้อ พี่พิณ มีคนจากลานโพธิ์มาหาค่ะ เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าพี่ ชื่ออะไรน้า อ๋อ นรรธพลค่ะ”

            แม้เนิ่นนานแล้ว แต่ชื่อนั้นกับการมาไม่คาดหมายทำให้เธอร้อนระเรื่อบนแก้ม นรรธพล จรัสวาศน์ ไม่ใช่แค่เพื่อนเก่า ทว่าความสัมพันธ์จบลงหลังเธออำลาชุมชนถิ่นเกิดได้สักสองปี

            “ตกลงไงคะ”

            “ให้เขาเข้ามาเถอะ”

            เสียงพิณควักกระจกส่องหน้าตัวเอง ผิวเหลืองนั้นซีดแทบไร้สีเลือดจนนางต้องเติมความสดใสใส่เรียวปากอิ่มอมชมพู จัดผมเส้นชี้ให้เข้าทาง สูดอากาศค้างไว้ในปอด เพียงพอดึงจังหวะหัวใจกลับสู่ภาวะปกติ ไม่ลืมจัดแฟ้มงานให้เป็นระเบียบแต่เกือบไม่ทันแขกมาถึง

            “สวัสดีพิณ”

            สำเนียงของนรรธพลก้องกังวานเหมือนกระดิ่งแก้วเช่นเคย หน้าอวบดูตอบไปกว่าครั้งกระนั้น คิ้วเข้มยังคงดกหนาเด่นชัดบนผิวขาวสะอาด มีรอยยับบริเวณหางตาทั้งสองฝั่ง ชายหนุ่มอยู่ในเชิ้ตสีดอกแดฟฟอดิล สแล็กสีน้ำตาลไหม้ สไตล์เดิมเหมือนเมื่อครั้งเขาควงเธอเดินชมพิพิธภัณฑ์

            เจ้าของห้องลุกระแวดระวังแต่ยังแรงเกินไปจนเก้าอี้เลื่อนไปชนผนัง เธอหัวเราะแก้เก้อ ชวนนรรธพลนั่ง เสนอเครื่องดื่มให้ เขาปฏิเสธ

            “ไม่เจอกันกี่ปีแล้วเนี่ย”

            “ก็นานพอดูเหมือนกันแหละ พิณไปได้สวยกับงานเลยสินะ”

            “กรุงเทพฯกำลังเปลี่ยนไป เปอร์เซ็นต์การใช้ไฟฟ้าแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเร็วมากเลย สิ่งที่เราเคยแต่จินตนาการแจ่มชัดขึ้นทีละน้อยแล้วแหละ อีกหน่อยเมืองเราคงเขียวขจีไปหมด ฝุ่นควันหายไปเยอะเชียว”

            นรรธพลผงกศีรษะ ปากเม้มแน่นเป็นเส้นนั่นทำให้เสียงพิณระแวง ชายหนุ่มมักเป็นเช่นนี้ยามมีเรื่องหนักหน่วงใจ นั่นคงเป็นเหตุผลให้เขาโผล่มาหาเธอแบบปุบปับ

            “ตกลงพิณจะขายไฟฟ้าให้ชุมชนจริงใช่ไหม ลุงจรัสเซ็นสัญญากับโซลาร์ แลนด์เรียบร้อยดีเหรอ”

“อื้อ ก็เหมือนกับที่อื่นนั่นแหละ ถ้านรรธห่วงว่าลุงจรัสจะได้ผลประโยชน์ไม่คุ้มค่า พิณยืนยันเลยว่าบริษัทจัดการทุกอย่างตามหลักการโดยมองการเข้าถึงไฟฟ้าของชุมชนเป็นหลัก”

            “ผมไม่ค่อยเชื่อมั่นนักหรอกนะ จะว่าไงดีล่ะ บริษัทเอกชนก็ต้องมองผลกำไรเป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้ว”

            “ก็ถูก เราก็ต้องทำกำไรนั่นแหละ แต่ว่านะ ระบบไฟฟ้าชุมชนแบบนี้มันมีแต่ข้อดีได้กันทุกฝ่าย ชาวกำนันแม้นสิบสามของนรรธได้เข้าถึงแหล่งพลังงานสะอาด ได้เครดิตภาษี จ่ายน้อยลงด้วย โซลาร์ แลนด์ก็ได้เงินสนับสนุนจากรัฐ โลกเราก็ดีขึ้น”

            เสียงพิณเชื่อมั่นในสิ่งที่พูด รู้ด้วยว่านรรธพลก็ยอมรับความจริงนี้ ติดก็แต่ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการฝากความหวังไว้ในมือองค์กรเอกชน เขาวาดภาพชุมชนพึ่งตัวเองเสียมากกว่า

            “ไม่ใช่แค่ชุมชนของผมหรอก มันเป็นชุมชนของพิณด้วย”

            หญิงสาวเอนตัวห่างจากชายหนุ่ม รู้สึกหนักตึงตรงขมับ ปากคอแห้ง เธออยากปฏิเสธว่าตัดขาดจากที่นั่นแล้ว แต่คงไม่มีผลอะไรในการสนทนานี้

            “พิณต้องปรับพื้นที่เพื่อวางแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึงตัดต้นโพธิ์ทิ้งไปด้วยใช่ไหม”

            “ก็คงต้องทำงั้นแหละ เราไม่อยากให้มีอะไรมากีดกั้นบังแสงอาทิตย์ ที่จริงเราก็ใช่จะตัดทิ้งทุกอย่างหรอกนะ ต้นโพธิ์ย้ายไปลงดินที่อื่นได้ ส่วนต้นมะม่วงก็คงตัดทิ้งเลย”

            “ลานนั่นเป็นศูนย์รวมชุมชน เป็นเอกลักษณ์ของที่นั่น พิณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่ต้องทำลายมันทิ้ง”

            “มันแค่เคยเป็นต่างหาก ตอนนี้เป็นที่จอดรถ กลับรถเสียมากกว่า หญ้ารก มีร่องรอยแอ่งน้ำ ตอนหน้าฝนคงเจิ่งท่วมเลยสิท่า โซลาร์ แลนด์เข้าไปใช้พื้นที่สร้างประโยชน์ให้ชุมชนก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง”

            “คุณมันขายวิญญาณไปแล้ว”

            นรรธพลขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาส่ายหน้าแรงใส่เสียงพิณ มันเหมือนตอนเธอบอกเขาว่าจะมาทำงานกับโซลาร์ แลนด์ยังกับฉายหนังซ้ำ เขากระฟัดกระเฟียดใส่หาว่าเธอเป็นปฏิปักษ์กับประชาชน ยอมขายตัวให้ภาคธุรกิจอ้างเอาเรื่องพลังงานทางเลือกมาหลอกล่อแลกเศษเงินกับหน้าตาจอมปลอม

            “บริษัทของพิณพัฒนาระบบไฟฟ้าทางเลือกให้ชุมชน เราสร้างสังคมสะอาด ยั่งยืน เพื่อชีวิตที่ดีกว่า นรรธจะต่อต้านมันเพราะเราเป็นบริษัทเอกชนอย่างนั้นน่ะเหรอ”

            “ใช่ พิณ ผมต่อต้านบริษัทของคุณ บริษัทพลังงานสะอาดอื่นด้วย คุณบอกกำลังสร้างโลกสดใสที่ดีกว่า แต่ด้วยวิธีการกวาดล้างสิ่งเดิมที่มีอยู่ทิ้งไปงั้นเหรอ โซลาร์ แลนด์โค่นต้นไม้ทิ้งไปกี่ต้นแล้วเพื่อวางเซลล์แสงอาทิตย์ลงไป คงเพราะบริษัทของคุณมีคาร์บอนเครดิตเหลือเฟือสินะ พิณก็เคยใช้ชีวิตใต้โพธิ์ต้นนั้น ทำไมคุณไม่เก็บมันไว้ล่ะ ทำไมคุณไม่เลือกทำเลอื่นแล้วปล่อยให้ลานโพธิ์อยู่ของมันแบบนั้น”

            ชายหนุ่มหายใจแรง คำพูดดุดันของเขาทำให้เสียงพิณร้อนวูบวาบ มือซ่อนใต้โต๊ะกำอยู่บนหน้าขา ปลายเล็บแหลมแทงอุ้งมือจนเปียก เพราะหลายคนที่นั่นยึดติดกับสิ่งเดิมแบบนรรธพลนี่ไงทำให้เสียงพิณตัดใจเดินจากมา ชุมชนนั่นไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่

            “ใช่ว่าพวกเราไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงต่างหากที่ละเลยพวกเรา”

            “พอเถอะนรรธ ทุกอย่างดำเนินการไปแล้ว ลานโพธิ์ถูกทิ้งร้างเป็นอดีตไปก่อนโซลาร์ แลนด์เข้าไปเสียอีก โซลาร์ แลนด์กำลังพลิกฟื้นมันขึ้นมา ชาวบ้านเห็นดีด้วย ระบบผลิตไฟฟ้าชุมชนต้องเกิดขึ้นที่นั่นแน่”

            แขกผู้มาเยือนพ่นลมหายใจราวมังกรโกรธเกรี้ยวแต่ยังคุมอาการขณะยืนเอาไว้ได้ เขากัดฟันกรอด มองเสียงพิณด้วยดวงตาเพลิง

            “คุณคิดผิด พิณคิดผิด ที่นั่นไม่เคยไร้ประโยชน์ มันรวมชุมชนไว้ด้วยกัน พลังงานสะอาดของพิณไม่สะอาดจริงหรอกถ้ามันต้องโค่นบางอย่างทิ้ง”

            นรรธพลจากไป ปล่อยให้เสียงพิณกอดอกคิดคำนึง เห็นแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนดาดฟ้าอาคารน้อยใหญ่เบื้องนอก ขบวนรถไฟฟ้าควบจี๋ หมู่ไม้บนเสาตอม่อโยกใบ กิ่งโพธิ์ต้นนั้นก็คงไหวไกวเช่นเดียวกัน

 

            บทสนทนากับนรรธพลวิ่งเคว้งในสมองจนเสียงพิณต้องมาเยือนลานโพธิ์เพียงลำพัง เปลือกไม้ปูดนูนแตกระแหงบนแข้งขาสัตว์ประหลาดรบกวนจิตใจหญิงสาว ลำธารมดสีแดงวิ่งขึ้นลง แสงแดดทะลุใบเขียวจนสุกสว่าง นกกระจิบโผข้ามกิ่ง ผีเสื้อสีเหลืองสองสามตัวบินวนไปมา

            สายลมเอกลักษณ์แปรขบวนผ่านยอดหญ้ากระจายเป็นระลอก เธอเคยวิ่งเล่นกับนรรธพล ในขณะคนงานพม่าตั้งวงล้อมขวดสีชาพร้อมคนขับแท็กซี่ แมวจรกระโจนจับจิ้งเหลน ตอนเย็นเห็นคนเต้นแอโรบิก เธอหลับตา เอนหลัง สองมือยันตั่ง พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นจุดรวมชุมชน แค่เคยเป็น

            “สำนึกผิดอยู่เหรอ”

            “นรรธ”

            ชายหนุ่มในเสื้อยืดขาว กางเขนขาสั้นสีครีม เท้าเอว ประกายตาอบอุ่นไร้ร่องรอยเกรี้ยวกราด

            “วันก่อนผมขอโทษนะ พูดกับพิณแรงไปหน่อย มันไม่ใช่ความผิดของพิณเลย การเอาพื้นที่โดนเมินมาใช้ประโยชน์คือสิ่งดีอยู่แล้ว เพียงแค่ผมเสียดายแหล่งรวมชุมชนเท่านั้นเอง”

            “ไม่หรอก มันก็มีส่วนถูกอยู่ บริษัทของพิณแลกเซลล์แสงอาทิตย์กับต้นไม้สีเขียวจริงอย่างนรรธว่านั่นแหละ มองภาพใหญ่ถือว่าได้มากกว่าเสีย แต่คำนรรธท้วงเป็นสิ่งที่พิณไม่เคยนึกถึงเลย”

            “เราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

            “ไม่รู้เหมือนกัน”

            หญิงสาวนั่งเคียงชายหนุ่ม มองดูสายลมผ่านเสียงเสียดสีของใบโพธิ์ มันหอบเอาละอองดินแห้งเตะจมูกเสียงพิณ อากาศอุ่นกำลังดี จักรยานคันหนึ่งปั่นผ่านไป ร้านน้ำแข็งไสฝั่งโน้นดูน่ากินเหลือเกิน

            “ลมตรงนี้สม่ำเสมอดีเนอะ ผมจำได้ว่าพิณเคยถือตะเกียบทำท่าเหมือนไวทยากรกำกับดนตรีจากเสียงใบโพธิ์ถูกัน ถ้ามันมีบทเพลงจากต้นโพธิ์ได้จริงก็ดีสิ”

            เสียงพิณคิกคักกับอาการเพ้อเจ้อของนรรธพลจนเขาถองสีข้างเข้าให้ ทั้งคำระลึกของนรรธพลและภาพจำของเธอล้วนโยงกลับไปเมื่อวัยเยาว์ เสียงพิณเอนกายนอนราบไปบนตั่ง ชายหนุ่มทำแบบเดียวกัน ทั้งคู่มองฟ้าลอดใบโพธิ์ แผ่นเขียวรูปทรงคล้ายหัวใจเลื่อนไหลแตะต้องแล้วแยกจากตามจังหวะสายลม สัมผัสแล้วผละห่าง เกือบสามนาทีแห่งการเฝ้ามอง เสียงพิณทะลึ่งพรวด

            “พิณว่าพอมีทางรักษาลานโพธิ์นี่ไว้ได้อยู่นะ”

            เสียงพิณฉีกยิ้ม แววตาฉายประกายระยิบระยับในขณะนรรธพลอ้าปาก ตาปริบ

 

            ลานโพธิ์คืนนี้คราคร่ำด้วยชุมชนทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ไม่เต็มแน่นเหมือนเมื่อครั้งก่อนก็จริง แต่ถือว่าเยอะมากแล้ว นรรธพลรับบัญชาจากเสียงพิณให้ชวนเพื่อนบ้านมารวมตัวกันให้มากเท่าที่ทำได้

            “ทุกอย่างโอเคนะสุ”

            “ค่ะพี่ เราตรวจเช็กทุกอย่างหมดแล้ว เพียงสับสวิตช์ รอให้ลมมาตามที่พี่ยืนยันก็พอ”

            “มันต้องมาอยู่แล้ว”

            แม้เสียงพิณมั่นใจก็ไม่วายกังวล เธอกวาดตามองชาวกำนันแม้นซอยสิบสามสักยี่สิบคนจ้อกแจ้กชี้นิ้วมายังเธอ ชาวบ้านในละแวกรวมถึงนรรธพลอาจสับสนตอนเห็นคนของเธอขนเครื่องมือปีนต้นไม้ไปทำบางอย่าง ถึงวินาทีนี้ทุกคนก็ยังสงสัย

            รถเก๋งสีดำหักจอดหน้าลานโพธิ์ อินทรีย์ เจริญกาล หัวหน้าโดยตรงของเสียงพิณปรากฏกายในเชิ้ตขาว ผูกไท เขากับผู้ติดตามเดินผ่านกลุ่มคนตรงมาหาเสียงพิณ สีหน้าใคร่รู้

            “พี่อินคะ ตรงนี้เป็นจุดที่เราวางแผนติดตั้งโซลาร์เซลล์ เราต้องปรับพื้นที่เอาต้นไม้รวมถึงต้นโพธิ์ตรงโน้นออก แต่ก่อนจะทำแบบนั้น พิณอยากให้พี่ดูอะไรสักหน่อย”

            “ผมรู้ว่าคุณมีแผนบางอย่าง ไหนดูซิว่ามันคืออะไร”

            เสียงพิณพยักหน้า กระซิบให้สุทิศารอสัญญาณ หลิ่วตาให้นรรธพล หันไปพูดกับชุมชน

            “พี่น้องชาวกำนันแม้นสิบสามคะ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าโซลาร์ แลนด์ จะใช้ลานโพธิ์นี่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ การทำแบบนั้นเท่ากับว่าเราต้องยกเลิกศูนย์รวมชุมชนตรงนี้ไป ใครคนหนึ่งบอกพิณว่า เราไม่ควรละเลยความทรงจำแบบนั้น โซลาร์ แลนด์ ยังคงจ่ายไฟฟ้าสะอาดให้ชุมชุน แต่เราอาจมีทางเลือกอีกอย่าง ค่ำนี้พิณจึงเรียกทุกคนรวมถึงหัวหน้าของพิณมาชมปาฏิหาริย์แห่งสายลมกับต้นโพธิ์ของชุมชน”

            เสียงพิณสำรวจกลุ่มคนรวมตัวเบื้องหน้า เสียงสนทนาเบาบาง เสียงพิณหันมองสุทิศา ยกมือ มองหาสายลม ใบไม้จากจุดไกลเริ่มไหวติง ขยับมุ่งใกล้ทีละน้อย อากาศเคลื่อนตัวเข้าสู่ลานชุมชม ใบโพธิ์โยกคลอน เสียงพิณสับมือบอกให้สุทิศาผลักสวิตช์ อึดใจ แสงไฟแอลอีดีหลากสีติด ต้นโพธิ์เรืองรองด้วยประกายแสง ชุมชนครางฮือ มิเพียงเท่านั้น บทเพลงเริ่มบรรเลงสอดรับกับการกะพริบของแสงราวกับมีวงออร์เคสตราบรรเลงจากต้นโพธิ์ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เคลื่อนเข้าหาไม้ใหญ่ประจำลาน

            “มันยังไงกันคุณพิณ”

            “แสงและเสียงทั้งหมดนั่นใช้พลังงานจากต้นโพธิ์ค่ะ พูดให้ถูกคือจากการสัมผัสกันของใบไม้ ฟาเบียง เมเดอร์ วิจัยไว้ตั้งแต่ปี 2018 แล้วค่ะว่าเมื่อใบไม้แตะแล้วแยกตัวจะเกิดการเหนี่ยวนำประจุในชั้นเยื่อใบไม้ เราเก็บประจุพวกนั้นมาใช้ได้โดยการปิดทับใบจริงด้วยใบไม้เทียมบางใสจากวัสดุเพ็ต อินเดียมทินออกไซด์ และซิลิโคน ไม่รบกวนการสังเคราะห์แสง เมื่อกระแสลมพัดผ่านก็ได้ไฟฟ้า ไม่ใช่แค่สายลมนะคะ หยดฝนที่หล่นกระทบจนใบไม้ไหวก็เหนี่ยวนำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้

            เราเอาระบบผลิตไฟฟ้าแบบนี้ไปใช้กับต้นไม้ตามป้ายรถเมล์ เสาสะพาน ติดตั้งปลั๊กชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สาธารณะ มอบพลังงานให้ป้ายรถประจำทางอัจฉริยะ หรือเราใช้ไม้เลื้อยบนเสารถไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานให้กับเซนเซอร์ตรวจอุณหภูมิ ความชื้น ฝุ่นละอองบนท้องถนนก็ได้ เราใช้สิ่งนี้เป็นตัวเลือกเพิ่มเพื่อไม่ต้องทำลายสิ่งที่มีอยู่ก่อน ผนวกเซลล์แสงอาทิตย์กับไฟฟ้าจากการขยับใบไม้ไว้ในจุดเดียวกัน พี่อินลองนึกภาพลานโล่งแห่งนี้เปิดเป็นตลาดนัด ทุกร้านอาศัยไฟฟ้าจากต้นไม้ คนมาเดินซื้อนั่งเล่นได้ตลอด ความคึกคักจากการดึงคนมารวมตัวสร้างคุณค่าให้พื้นที่ ใช้ลานนี้เป็นโมเดลสำหรับจุดติดตั้งอื่น ถ้าวางแผนพีอาร์ดี ๆ มันจะกลายเป็นว่าเราสำนึกถึงการคงไว้ของวิถีชุมชน เราใส่ใจความเป็นอยู่ของคน เราคือบริษัทพลังงานสะอาดที่มองไกลไปกว่าเรื่องพลังงาน แต่ไปถึงชีวิตของผู้คน”

            มิผิดเสียงพิณคาดเท่าไรนัก หัวหน้าอินทรีย์ไม่ได้ตอบรับ เขาเพียงอมยิ้มพยักหน้า คนระดับนี้ต้องใช้ตัวเลขเพื่อตัดสินใจ เขาเดินคุยกับชาวบ้านใต้ต้นโพธิ์ เธอหลับตาสูดหายใจเต็มปอด หายใจออก แล้วถอนใจ เมื่อลืมตาก็เห็นนรรธพลส่งยิ้มรออยู่ก่อน

            “อาจรักษาลานโพธิ์ไว้ไม่ได้”

            “ไม่เป็นไรหรอกพิณ คุณพยายามแล้ว เท่านั้นก็พอ”

            หญิงสาวเลิกคิ้ว เรียวปากอิ่มใจ ผินหน้าผ่านความเคลื่อนไหวของกลุ่มคน ต้นโพธิ์สูงยังคงมีขาก่ายเกี่ยวทว่าไม่ใช่ขาสัตว์ประหลาดแล้ว มันงดงามด้วยแสงวิบวับหลากสี สำเนียงเพลงตัดแทรกด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก กลิ่นไอหญ้าชื้นโดดเด่น

            หลังมือของเสียงพิณกับนรรธพลแตะกัน ชักกลับ แล้วสัมผัสค้าง ไหล่กระทบไหล่เป็นห้วงทำนอง กระแสพลังงานแล่นในสองกาย ต้นโพธิ์ใหญ่กลางลานขับขานบทเพลงแสงสีจากสายลม มันดังไกลไปเบื้องนอกกู่ชวนให้ชุมชนกำนันแม้นสิบสามเข้ามาพบปะรวมตัวกันอีกครั้ง

                       

                                    ....................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์