เรื่องสั้น : สายพันธุ์สงวน : นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

เรื่องสั้น : สายพันธุ์สงวน : นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

 

            1.

            “ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เหมือนว่าฉันเป็นผู้สร้างตราบาปให้แก่เผ่าพันธุ์”...

 

                                                                        ...

 

            ก่อนที่จะมีกลุ่มคนแปลกถิ่นเดินทางมาถึง เล่ากันว่าแรกเริ่มเดิมที หมู่บ้านซึ่งอยู่ติดชายป่าละเมาะเชิงภูเขาลูกย่อม ๆ แห่งนี้ ทั้งพืชพรรณธัญญ เรือกสวนดงไร่ ยังคงความอุดมสมบูรณ์ ส่ำสัตว์แซ่ซ้องระงมทั่วทั้งป่า ผู้คนกอบกิจหาอยู่หากินกันพออิ่มปากอิ่มท้อง นั่นก็ด้วยการพึ่งพาอาศัยจากทรัพย์ในดิน สินธุ์ในธาร ล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็เอาแต่เพียงพอหล่อเลี้ยงเรือนกาย ความโลภโมโทสันหาได้กลืนกินชีวิตจิตวิญญาณมนุษย์ไม่

            ฉันเกิดอยู่ในป่าบนภูเขาเหนือหมู่บ้านขึ้นไป เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับพี่น้อง ทั้งหกชีวิต ในค่ำคืนวันที่มรสุมฤดูกาลครอบคลุมไปทั่วแผ่นฟ้า แม่เล่าให้ฟังว่า ทันทีที่แสงอสุนีบาตแปลบปลาบคมจ้าของมันตกมากระทบร่างของฉัน พ่อนั้นเรือนกายถอดสี แววตาบ่งบอกว่ารับไม่ได้กับเลือดเนื้อเชื้อไขที่ปรากฏเบื้องหน้า พ่อไล่สายตาจดจ้องไปทั้งหกชีวิตที่กองอยู่บนพื้น เพ่งมองมาที่ฉัน ไม่เอ่ยอันใดออกมา นอกจากเสียง แก เบา ๆ เท่านั้น ก่อนจะค่อย ๆ เตาะไต่ออกไปสู่ผืนป่าเบื้องนอก

            แม่เลี้ยงดูพวกเราอย่างดี ฉันตัวเล็ก อ่อนแอ เชื่องช้า และอาการร่อแร่เต็มที ต่างจากพี่น้องทั้งห้า จวนครบเดือน ที่ลืมตาดูโลก พ่อยังคงนิ่งเงียบ และไม่แม้จะปรายตามามอง คืนหนึ่ง ฉันแอบได้ยินพ่อกับแม่ถกเถียงกัน เกี่ยวกับตัวฉัน

            “ข้าว่าเอาไปให้พ่อหมอประจำเผ่าพันธุ์ท่านดูหน่อยไม่ดีหรือแม่ ปล่อยไว้อย่างนี้มันจะยิ่งเป็นกาลี นี่หากใครมาพบเข้าอาจเอาไปโจษจัน ดีไม่ดีเราอาจถูกขับไล่ออกจากป่าเอาได้ ข้าว่าอย่างน้อย ๆ เราก็ลองไปปรึกษาท่านดู”

            “ฉันไม่พาไปหรอกพี่ ดูแต่ครั้งกระนั้นจำไม่ได้รึ ครอบครัวหนึ่งที่ไปพบท่าน ก็คล้าย ๆ อย่างเรานี่แหละ ท่านตรวจชะตาป่าเขา ประกาศิตชี้ขาดลงมาทันที ว่าต้องให้รีบอพยพไปอยู่ที่อื่น ไอ้พวกที่รุมล้อมอยู่ก็แทนที่จะท้วงติง กลับเห็นคล้อยปล่อยตาม บางตัวเป็นพวกพ้องกันแท้ ๆ ยังลงความเห็นตามพ่อหมอเลย บอกตรง ๆ ฉันไม่ค่อยนับถือนักหรอก”

            แม่ปฏิเสธคำพ่ออย่างเสียงแข็ง

 

            2.

            ร่างกายเริ่มขยายขึ้นตามวันเวลา พวกเราเล่นกันอย่างสนุกสนานตามประสาวัยเด็ก ฉันได้แต่ต้วมเตี้ยมตามพวกเขาไป อาจด้วยความตื่นตระการกับสภาพแวดล้อม ที่ชักนำจินตนาการให้เพริศฝัน เริ่มจากละแวกรวงรัง ค่อย ๆ คืบก้าวสู่บริเวณโดยรอบไกลออกไป และทันทีที่ฉันกำลังจะก้าวขา ล่วงล้ำสู่อาณาจักรเบื้องนอก ต้องได้ยินเสียงปรามจากแม่ ซึ่งต่างจากบรรดาพี่น้องทั้งห้า ที่แม่ปล่อยให้ออกไปเรียนรู้ ผจญภัย ได้โดยไม่กังวลมากนัก

            ความน้อยเนื้อต่ำใจเกาะกุมอยู่กับฉันเสมอมา บางครั้งเอี้ยวมองความพิกลพิการของตัวเอง แล้วให้นึกเปรียบเทียบ ดูแต่พวกเขาเป็นไร เริ่มถอดลักษณะจากพ่อแม่ไม่ผิดเพี้ยน รูปพรรณสัณฐาน ลายจุดสีส้มสดใสสวยงาม อันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ โดยเฉพาะส่วนปลายหางที่แบ่งเฉดสีขาวสลับน้ำตาลเข้มอย่างชัดเจน เรียวเล็ก ตรง และกวัดแกว่งได้อย่างอิสระเสรี ซึ่งต่างจากฉันที่รอยจุดบนร่างถูกกลืนไปกับสีผิวซีดเผือด กระดำกระด่าง และส่วนที่เป็นกังวลมากที่สุดของพ่อ อาจเพราะคำโบราณที่บอกต่อกันมา ว่านี่คือลางเหตุแห่งความหายนะ  ปลายหางที่ค่อย ๆ แยกออกจากกันเป็นสามแฉก จากบริเวณส่วนกลาง ลดหลั่นไปจนสุดปลาย ส่ายไหวแต่ละทีดูสะเปะสะปะไม่สัมพันธ์ ฉันยอมรับว่าบางครั้ง ยังอยากกัดกินมันให้สิ้นซาก เพื่อขับไล่ความอัปยศอดสูของครอบครัว

 

                                                                        ...

 

            แล้วเรื่องราวซึ่งพ่อกับแม่หวาดกลัวก็เกิดขึ้น วันหนึ่งมีบริวารของหัวหน้าเผ่าพันธุ์มาพบกับพ่อ กระซิบกระซาบกันอยู่ข้างนอก พ่อกลับเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล มองมาที่ฉันด้วยสายตายากเกินเข้าใจ แม่เข้าไปถามไถ่ พร้อมกับร้องไห้อย่างฟูมฟาย

            “คิดไว้แล้ว ว่ามันต้องเกิดขึ้นสักวัน แล้วเราจะทำยังไงละทีนี้”

 

            3.

            ในวันที่ครอบครัวของเราอพยพออกจากป่า พ่อพาพวกเราลัดเลาะต้นไม่ใบหญ้า ผ่านผืนดินเย็นยะเยียบ ผ่านกิ่งก้านสาขาของไร่ดงที่ผู้คนปลูกปัก ใกล้เข้าเขตหมู่บ้านไปทุกที คล้ายแสงตะเกียงอบอุ่นจากบ้านหลังหนึ่งตรงเชิงภู กวักมือเรียกพวกเรา

            พ่อบอก “ในเมื่อผืนป่าที่ให้เกิดกายผลักไส เห็นทีจะต้องพึ่งพามนุษย์นี่แหละ”

            ครอบครัวที่เรามาอาศัย เป็นชาวสวนเหมือนเช่นผู้คนส่วนใหญ่ในแถบถิ่นนี้ ชายเจ้าของบ้าน อยู่กับภรรยา และลูกเล็ก ๆ อีกสองคน เขาเป็นคนโอบอ้อมอารี ขยันขันแข็ง ยามเช้า หลังจากที่ฝ่ายหญิงจัดเตรียมกับข้าวกับปลาเสร็จสรรพ และกินกันอิ่มหนำได้ที่แล้ว กลิ่นยาเส้นฉุน ๆ ก็โชยชายมาเป็นสาย ฉันไม่ชอบกลิ่นของมันนัก แต่กลับชอบเฝ้ามองอากัปกิริยาที่นิ่งสงบ และแววตาสอดส่ายสำรวจความเป็นไปรอบ ๆ บริเวณบ้านของเขา

            แรก ๆ ที่ครอบครัวเราอพยพเข้ามา ก็อยู่กันแต่เพียงภายนอก อาศัยซ่อนตัวตามพุ่มไม้ใบหนา แต่ด้วยเรื่องอาหารการกินนั้นต้องคอยแย่งกันกับฝูงนกกา กิ้งก่า จิ้งเหลน และบรรดาสัตว์เผ่าพันธุ์อื่นแล้ว พ่อจึงตัดสินใจให้พวกเราเขยิบเข้าใกล้ตัวบ้านอีกนิด วันที่อากาศร้อนก็หลบตามหลังตุ่มที่เย็นชื้น วันไหนที่หนาวเหน็บก็แทรกตัวระหว่างขื่อกับชายคาใบหญ้าแฝก และที่สำคัญคือเรื่องอาหารการกินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ก็บรรดาเหล่าแมลงซึ่งวนเวียนมาเล่นแสงไต้แสงไฟนั่นปะไร ยิ่งในวันที่ฝนตั้งเค้า แมลงเม่าจะพากันมาระเริงแสงนับร้อย ๆ ตัว วันเช่นนั้นเองที่พวกเราอิ่มแปล้ พุงกางไปตาม ๆ กัน

            วันหนึ่ง ในขณะที่ลูก ๆ ของเขาทั้งสองคนกำลังเล่นกันอยู่ตรงชานหน้าบ้าน จังหวะเดียวกับที่พวกเรากำลังเดินเอ้อละเหยกันอยู่นั้น คนพี่หันมาเห็นเข้าพอดี จะด้วยรูปร่างอันน่าเกลียดน่ากลัวของพวกเราในสายตาเด็ก ๆ หรืออย่างไรไม่รู้ชัด พวกเขาแหกปากร้องไห้ ท่าทางตกอกอกใจ วิ่งแจ้นเข้าไปหาแม่ในครัว สักประเดี๋ยวจึงพากันออกมาสอดส่อง ยังไม่ทันตามพวกพี่น้องเข้าไปหลบในที่ลับตาได้ทัน หญิงเจ้าของบ้านก็มาพบเข้า ดูท่าทางเธอไม่แปลกใจนักกับการมาเยือนของเผ่าพันธุ์เรา แต่สิ่งที่ทำให้ขนแขนของเธอลุกชูชัน และอุทานออกมาเบา ๆ น่าจะเป็น ลักษณะอันวิปริตผิดแผกของฉันมากกว่า

            ยามเย็นที่สามีของเธอกลับมา พวกเรากำลังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่ในซอกสักแห่งของบ้าน มีก็แค่ฉันที่ยังคงเตาะไต่เอ้อระเหยอยู่ ในขณะพวกเขากำลังล้อมวงกินข้าวกันอยู่นั้น สัมผัสบางชนิดบอกว่ากำลังพูดถึงครอบครัวของฉัน ฝ่ายสามีออกจะแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะอย่างไร ยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีตามปกตินิสัย

            ตกค่ำ หลังจากพวกเราซัดแมลงเข้าไปอิ่มหนำดีแล้ว ฉันกำลังเคลิ้มได้ที่ จู่ ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว เจ้าของบ้านผู้ชายยื่นมือเข้ามาตรงที่พวกเราแอบอยู่ พ่อ แม่ และพวกพี่ ๆ น้อง ๆ แตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง ด้วยความเชื่องช้าของฉันเป็นเหตุ เขาคว้าหมับเข้าที่หลังท้ายทอย ร่างค่อย ๆ ลอยขึ้นจากการยึดเกาะ หางกวัดแกว่งสะเปะสะปะ ตกใจกลัวอย่างสุดขีด เขาจับฉันขึ้นดูอย่างพินิจพิจารณา พลิกซ้ายพลิกขวา ตะโกนเรียกภรรยา ซุบซิบกันสักพัก ฝ่ายหญิงคล้ายนึกอะไรออก วิ่งไปหยิบแป้งฝุ่นหอมฟุ้งมาโรยที่ตัว ลูบไล้ไปทั่วร่างเหมือนกำลังส่องหาอะไรสักอย่างบนร่างกายของฉัน เพียงไม่นาน คล้ายพบสิ่งที่ต้องการ ตบหัวเบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม และพวกเขาก็ปล่อยฉันไป

            นาทีนี้เอง นอกจากความตกใจกลัวแล้ว สิ่งที่ได้รับมากไปกว่านั้น คือความปลาบปลื้มใจ สามีภรรยาคู่นี้ ไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจความพิกลพิการของฉันเหมือนอย่างเผ่าพันธุ์ของตัวเอง แถมยังโอบเอื้อไออุ่นอันแผ่ซ่านไปทั่วร่างด้วยฝ่ามือที่นุ่มนิ่ม สัมผัสอันแผ่วเบา แววตาของเขาเหมือนมีความวาดหวังบางชนิดเปี่ยมล้นอยู่ในตัวฉัน

 

                                                                        ...

 

            ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ ที่ฝ่ายภรรยาลิงโลดอย่างมีความสุข  ดูเธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลังจากจดจ่อรอฟังอะไรสักอย่างจากกล่องสี่เหลียมสีดำใบน้อย ที่มีเสียงคนพูดออกมาจากในนั้น ตกเย็นคล้ายมีการเฉลิมฉลองเล็ก ๆ ภายในครอบครัว ฉันสังเกตุว่าพวกเขามาด้อม ๆ มอง ๆ แถวซอกหลืบที่ฉันเตาะไต่อาศัยอยู่ ด้วยสีหน้า และแววตาเปี่ยมสุข

            หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา พวกเขาเอ็นดูฉันเป็นพิเศษ ประหนึ่งสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ยามปะหน้ากัน จะค่อย ๆ ยื่นมือมาลูบหัวลูบหางเบา ๆ บางครั้งก็เอาไปโอบอุ้มอย่างเอ็นดู ซึ่งบ่อยครั้งเข้า ก็รู้สึกชิน และอบอุ่นในหัวใจ กับสมาชิกในครอบครัวของฉัน พวกเขาไม่ใส่ใจอะไรมากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับขับไล่ไสส่ง ยังคงให้อาศัยอยู่ในบ้านต่อไป แม่เคยบอกกับฉันว่า ครอบครัวนี้เป็นคนจิตใจดี

 

            4.

            ฤดูกาลหอบเอาความร้อนแล้งมายาวนานกว่าที่ควร ความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินทิ้งช่วง พืชพรรณที่ผู้คนปลูกปักแคระแกรน กิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่ตายซากโกร๋นเกร๋น สายน้ำเหือดแห้ง ไร้ผองปูปลาให้จับกิน ต้นข้าวพากันยืนตายคานา ปรากฏการณ์อันวิปริตผิดแผกผ่านไปกว่าสองฤดู ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น สัตว์บางชนิดจากบนภูเขาลงมาอาศัยหากินในแถบถิ่นของผู้คน ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศยังส่งผลเผื่อแผ่ไปถึงมนุษย์อย่างทั่วถ้วน ไม่เว้นกระทั่งครอบครัวที่ฉันอาศัยอยู่ แม้ผู้เป็นสามีจะขยันขันแข็งเพียงใด แต่การงานกสิกรรมนั้นต้องพึ่งพิงฤดูกาล จากที่ข้าวปลาอาหารไม่เคยขาดครัว ยามนี้คล้ายว่าเหลือเพียงปะทะปะทังปากท้อง ปลาแห้งปลาป่นที่กักตุนไว้เริ่มลดน้อยลง ข้าวสารใกล้หมดเต็มที ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเริ่มมีสีหน้ากังวล

 

                                                                        …

 

            การณ์ผ่านมาเช่นนี้ พร้อม ๆ กับกลุ่มคนแปลกถิ่นที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน มีเสียงสื่อสารกันระหว่างเผ่าพันธุ์ของฉัน จากบ้านนั้นสู่บ้านนี้ ปากต่อปาก พ่อบอกเมื่อวานตอนออกไปหากินแถวฟากคะโน้น ลือกันว่าให้ระวังตัวให้ดี หาที่หลบซ่อนให้ได้ ไอ้พวกแปลกถิ่นที่มา มันมีเพียงกระสอบใบใหญ่กับมือเปล่าเท่านั้น ไล่คว้าไปทีละตัวสองตัว เจ้าของบ้านแต่ละหลังก็ดูเหมือนยิ้มแย้มเต็มอกเต็มใจให้พวกมันเข้ามาค้นหาพวกเรา เพื่อแลกกับเศษกระดาษเพียงไม่กี่ใบ โอภาปราศรัยกันเล็กน้อย ก่อนที่พวกมันจะพากันไปยังบ้านหลังอื่น ๆ

 

            5.

            แล้ววันหนึ่ง ท่ามกลางความร้อนระอุที่ครอบคลุมมายาวนาน ก็ทวีคูณขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เมื่อข่าวลือเดินทางมาถึงภายในบ้านซึ่งครอบครัวของฉันอาศัยอยู่ กลุ่มชายแปลกถิ่นสองสามคน มาพร้อมรถกระบะคันใหญ่ กับกระสอบจำนวนหนึ่ง

            เป็นจังหวะที่ฉันกำลังไต่ต้วมเตี้ยมอยู่แถวนอกชาน เห็นท่าไม่ดีจึงรีบแจ้นเข้าไปบอกพ่อกับแม่ หาบริเวณหลังตุ่มไม่พบ ขึ้นขื่อใต้ชายคายังไม่เห็น ลองดูในห้องน้ำก็ไม่เจอ นี่พวกเขาไปอยู่ตรงไหนกัน ฉันเริ่มกระวนกระวายใจ อาจด้วยสังขารอันเชื่องช้า หรือชะตากรรมก็สุดคาดเดา กว่าจะรู้ตัวอีกที ฉันก็เห็นแม่ กำลังดิ้นอย่างสุดกำลังอยู่ในกำมือของชายแปลกถิ่น พวกเขายังตามไปจนถึงตัวพ่อ ก่อนจะย่องเบา ๆ ไปที่บานประตูซึ่งเปิดแนบไว้กับผนังหน้าห้องครัว อย่างรวดเร็ว พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ของฉัน ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาเสียแล้ว

            สิ่งที่ฉันคลางแคลงใจก็คือ เหตุใดสองสามีภรรยาผู้ซึ่งมีใจโอบอ้อมอารีจึงยินยอมให้ใครก็ไม่รู้ เข้ามากระทำสิ่งนี้ในบ้านได้ พวกเขาเคยเอ็นดูครอบครัวฉันมิใช่หรือ พวกเขาเคยจับฉันไปลูบไล้เนื้อตัวอย่างทะนุถนอมมิใช่หรือ แล้วนี่พวกเขาเป็นอะไรกันหมด ความสงสัย และความหวาดกลัวของฉัน แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ฉันรวบรวมความกล้า พุ่งตัวออกไปเผชิญหน้ากับพวกเขา เนื้อตัวสั่นเทา หางสามแฉกสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ กวัดแกว่งหมายจะเอาเรื่อง โดยไม่นึกถึงอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น

            ทันทีที่ชายแปลกถิ่นเห็นฉันเท่านั้น ดวงตาของพวกเขาคล้ายมีประกายบางชนิดฉายโชน ความฉงนฉงาย ผสมปนเปกับความละโมบอันทะลักล้น หนึ่งในจำนวนนั้นยิ้มเหมือนกับว่าพบเจอสิ่งล้ำค่าสุดประดา เขาควักปึกกระดาษออกมาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมากกว่าครั้งแรกที่เขาเอาออกมาแลกกับชีวิต พ่อ แม่ และพี่น้องของฉัน พยายามหยิบยื่นให้คู่สามีภรรยา แต่ทั้งคู่ดูเหมือนจะลังเล

 

            6.

            “ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เหมือนว่าฉันเป็นผู้สร้างตราบาปให้แก่เผ่าพันธุ์”

            นึกย้อนไปเมื่อครั้งที่ครอบครัวของเรายังอยู่ในป่า แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็โตพอที่จะจดจำอะไรต่อไรได้บ้างแล้ว ฉันเองที่เป็นต้นเหตุให้ครอบครัวต้องระหกระเหิน ถูกขับไล่ออกจากกลุ่ม สงสารพ่อกับแม่จับใจ ไหนจะยังพี่น้องร่วมท้อง ที่ต้องมาแบกรับชะตากรรมเพราะฉัน แต่พวกเขาก็ไม่เคยพูดตอกย้ำ หรือสร้างปมด้อยให้คิดน้อยเนื้อต่ำใจ กลับกัน ยังคอยประคับประคองในฐานะน้องสุดท้องผู้อ่อนแอ พวกเราดำเนินชีวิตกันมาอย่างรักใคร่กลมเกลียว สำหรับพ่อ อาจดูเหมือนเงียบงำ และเฉยชา แต่ลึก ๆ แล้ว ฉันรู้ดีว่าเขาห่วงใยฉันมากกว่าใครในกลุ่ม

 

                                                                        …

 

            จนขณะนี้เอง ที่ความแปรปรวนของอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาล หรือจิตใจมนุษย์ มันได้ส่งผลกระทบมาสู่ครอบครัวของเรา ด้วยการหยิบยื่นความพลัดพรากมาให้ ฉันเริ่มตระหนักอีกครั้งแล้วว่า เพราะความผิดแผกแตกต่างของฉันนั่นเองที่เป็นสาเหตุ ไม่รู้นี่เป็นโชคร้าย หรือโชคดี หากเพียงแค่ฝ่ายสามีภรรยาจะยินยอมรับปึกกระดาษจำนวนนั้นมาจากกลุ่มชายแปลกถิ่น ฉันคงได้ไปผจญชะตากรรมร่วมกับครอบครัว แม้ไม่รู้อนาคตจะนำพาไปถึงแห่งหนใด แต่อย่างน้อย ๆ ฉันก็ยังได้อยู่ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับพวกเขา สิ่งที่สงสัยอีกอย่างก็คือ เหตุใดมนุษย์จึงให้ค่ากับความผิดเพี้ยนของฉันมากมายถึงเพียงนี้ ในขณะที่เผ่าพันธุ์ของตัวเองกลับขับไล่ไสส่ง และทำเหมือนกับว่าเป็นตัวปัญหา

            อย่างอัศจรรย์ เหมือนจู่ ๆ ฉันเกิดฟังสิ่งที่พวกเขาใช้สื่อสารกันได้กระจ่างแจ้ง ทั่วถ้วนทุกถ้อยกระทงความ แล้วความสงสัยทั้งหมดก็คลี่คลายลง เมื่อฝ่ายภรรยาเอ่ยปากปฏิเสธออกมา

 

            “จะเอาตัวไหนก็เอาไปเถอะ แต่ตัวนี้ฉันขอไว้สักตัว เขาให้โชคมาหลายงวดแล้ว”

         พร้อมกับยื่นมือมาลูบไล้ตัวฉันอย่างแผ่วเบา ด้วยแววตาโอบอ้อมอารี...

 

                                    ................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์