เรื่องสั้น : หญิงชรากับหมาตัวหนึ่ง : กิติศักดิ์ ศรีแก้วบวร

เรื่องสั้น : หญิงชรากับหมาตัวหนึ่ง : กิติศักดิ์ ศรีแก้วบวร

 

            “สุดท้ายชีวิตคนเราก็แค่นี้ ชาติหน้าถ้ามีขอให้เราได้เป็นเพื่อนกันอีกนะจันทร์”

            หญิงชรารำพึงขณะบรรจงวางดอกไม้จันทน์บนพาน หน้าหีบศพของเพื่อนรักครั้งเยาว์วัย ที่มิตรภาพยาวนานมาจนกระทั่งวัยไม้ใกล้ฝั่ง ผู้ซึ่งจากไปไม่มีวันหวนกลับเมื่อห้าวันก่อนด้วยโรคลมปัจจุบันอย่างสุดอาลัย ก่อนหอบสังขารโรยราในวัยใกล้เจ็ดสิบ กลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมในศาลาโรงธรรม รอเวลายกหีบศพขึ้นเมรุทำการฌาปนกิจ พลันทอดถอนลมหายใจ ขณะทอดสายตามองรูปถ่ายหน้าหีบศพ ให้ประหวัดไปถึงเรื่องราวในวันเก่า...

            นวลกับจันทร์เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น พอจบชั้นประถมที่โรงเรียนใกล้บ้าน พ่อแม่ก็ส่งจันทร์เข้าไปเรียนในตัวอำเภอห่างไปราวยี่สิบกิโลเมตร ตอนนั้นทั้งสองจึงได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน เข้าอกเข้าใจราวรู้จักกันมาแสนนาน ทั้งยังช่วยเหลือเฟือฟายเมื่อยามอีกฝ่ายขัดสนหรือมีปัญหาทางบ้าน จนเป็นเพื่อนสนิทสนมกันในที่สุด ทว่าจำต้องห่างกันไปหลังเรียนจบมัธยมปลาย ด้วยต่างคนต่างก็ต้องเดินตามเส้นทางของตัวเอง จำต้องห่างเหินกันไปคนละทิศละทาง กระทั่งสายลมกระแสหนึ่งได้พัดหวนมาในช่วงบั้นปลายของชีวิต นวลจึงได้พบกับจันทร์อีกครั้ง ในงานทอดกฐินของวัดแห่งนี้ เมื่อปีกลาย

            “สวัสดีค่ะป้านวล” หญิงวัยสี่สิบเศษเอ่ยขึ้น ขณะเดินตรงเข้ามา พลางพนมมือนอบน้อม

            “ไหว้พระเถอะจ้า” ผู้สูงวัยรับไหว้ กล่าวออกไปทั้งยังไม่แน่ใจนักว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร

            “จำหนูได้ไหมคะ” หญิงในชุดสีกากียื่นมือจับแขนหญิงชรา

            “อ้าว... แม่นุช มางานนี้เหมือนกันหรือ” หญิงชราเพ่งพิศใบหน้าผู้ทักทายครู่หนึ่ง ก่อนร้องออกไป นงนุชเป็นเพื่อนกับนิตยาลูกสาวของนาง สมัยเรียนมัธยมเคยมาทำรายงานและเที่ยวเล่นที่บ้านอยู่หลายครั้ง

            “ป้าจันทร์แกเป็นญาติห่าง ๆ ของหนูค่ะ แล้วนี่ป้านวลรู้จักป้าจันทร์ด้วยหรือคะ” นงนุชไม่วายฉงน

            “จันทร์เป็นเพื่อนเก่าป้าน่ะ แต่ห่างกันไปนาน เพิ่งมาพบกันอีกทีเมื่อปีก่อนนี้เอง” หญิงชราพลางเล่าถึงที่ไปที่มา

            “อ๋อค่ะ เอ่อ จริงสิคะ แล้วนี่ตกลงป้านวลตัดสินใจได้หรือยังคะ ว่าจะไปอยู่บ้านใคร” จู่ ๆ เพื่อนลูกสาวก็ถามขึ้น

            “ก็ยังอยู่บ้านเก่าหลังเดิม ที่หนูเคยไปตอนเด็ก ๆ นั่นแหละ” หญิงชราตอบไปอย่างที่คิด

            “เอ๊ะ ก็เมื่อเดือนก่อนนิตเพิ่งมาโอนบ้านหลังนั้น ให้คนที่มาขอซื้อไปแล้วนี่คะ” นงนุชซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินประจำอำเภอเริ่มสาธยาย “วันนั้นหนูทำเอกสารการโอนทั้งหมดให้เองกับมือเลยนะคะ นพยังมาเซ็นเอกสารด้วยเลยค่ะ” นพหรือนพดลคือน้องชายของนิตยา

            หญิงชรางงเป็นไก่ตาแตก จนไม่อาจจับต้นชนปลายได้ ลูกสาวกับลูกชายมาจากต่างจังหวัดเมื่อไหร่กัน นี่ก็หลายเดือนแล้วที่พวกเขาไม่เคยแวะมาเยี่ยมเยียนนาง ก็เมื่อไม่กี่วันพวกเขาเพิ่งโทร.มาบอกว่า วันแม่ปีนี้ติดธุระสำคัญ ไม่ได้กลับมาหาดังเช่นปีก่อน ๆ แต่จะมารับไปเที่ยวต่างจังหวัดหลังวันแม่ ให้นางตระเตรียมเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นให้พร้อม แล้วเรื่องขายบ้านนั่นอีก ไม่เห็นมีใครเคยบอกเรื่องนี้แก่นางเลยสักคน มันต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันแน่ ๆ เลย

            “หนูขอตัวก่อนนะคะป้านวล เดี๋ยวต้องรีบกลับไปเคลียร์เอกสารที่สำนักงานต่อ ช่วงนี้ซื้อขายที่ดินกันเป็นว่าเล่นเลย” เธอกล่าวอย่างรีบร้อน พลางยกมือไหว้ลาผู้สูงวัย

            พอกลุ่มควันสีหม่นพวยพุ่งขึ้นจากปล่องเมรุ หญิงชราจึงค่อยเดินออกจากศาลาโรงธรรม ทว่าไม่วายเหลียวมองกลับไปยังเมรุราวกับจะเก็บภาพสุดท้ายไว้ บัดนี้เพื่อนรักของนางไปสบายแล้ว คนไร้ลูกไร้ผัว อยู่ตัวคนเดียวมาทั้งชีวิต มีอะไรให้ต้องห่วงหาอีกเล่า คงเหลือแต่นางที่ไม่รู้ว่าวันข้างหน้ามีชะตากรรมใดบ้างรออยู่ เบื้องบนเมฆฝนตั้งเค้ามาไกล ๆ แล้ว นางจึงรีบจ้ำเดินมารอขึ้นรถสองแถวที่ศาลาหน้าวัด

            ภายในศาลารอรถโกโรโกโส ผ่านแดดฝนมานานปี มีคนรอรถอยู่สองสามคน รอบเสาสี่มุมเต็มไปด้วยใบปลิว ประกาศต่าง ๆ และโฆษณาสินค้า แปะทับกันไร้ระเบียบจนแทบไม่เห็นเนื้อไม้เดิม ทว่ามีแผ่นหนึ่งที่สะดุดตาหญิงชรา ด้วยยังใหม่อยู่และเคลือบพลาสติกไว้อย่างดี นางพลันเดินเข้าไปใกล้ ก่อนขยับแว่นตา อ่านในใจช้า ๆ...

            รถสองแถวมาจอดรับผู้โดยสารตอนไหนไม่ทันสังเกต นางสะดุ้งสุดตัวเมื่อคนขับบีบแตร ก่อนพาตัวเองขึ้นไปนั่งที่ว่างด้านใน หญิงชรารู้สึกว่าห้วงเวลาจากตัวอำเภอมายังบ้านช่างยาวนาน ทั้งที่ระยะทางเท่ากับขามา ด้วยยังนึกถึงคำพูดของเพื่อนลูกสาวในวัดเมื่อครู่อยู่ทุกขณะ จิตใจเลื่อนลอยเตลิดไปไกล จนรถที่โดยสารมาเกือบเลยบ้าน โชคดีที่นางได้สติกดกริ่งให้รถหยุดได้ทันท่วงที

 

            บ้านปูนครึ่งไม้สองชั้นในที่ดินไม่กี่สิบตารางวาหลังนี้ ถึงมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยเรื่องราวร้อยพัน นางกับสามีช่วยกันเก็บหอมรอมริบ สร้างเนื้อสร้างตัวกันมาจนมีบ้านของตัวเองหลังแรก พร้อมกับโซ่ทองคล้องใจตามมา ลูกสาวคนโตกับลูกชายคนเล็ก ทิ้งระยะคลานตามกันมาเพียงสองปี ครอบครัวที่มีพ่อเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน มีแม่เป็นแม่บ้านคอยดูแลลูกน้อย อบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา กระทั่งลูก ๆ เติบโต

            สามีนางภาคภูมิใจกับบ้านหลังนี้มาก เพราะผ่อนซื้อที่ดินมาจากสำนักงานจัดสรรที่ดินเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นแถวหน้าบ้านยังเป็นทุ่งนา มีถนนลูกรังเต็มไปด้วยหลุมบ่อเพียงสายเดียวตัดผ่าน นาน ๆ จะมีรถสักคันแล่นมาที แล้วจึงกู้เงินก้อนหนึ่งมาสร้างบ้านหลังนี้ในเวลาต่อมา

            แรกเริ่มที่พากันย้ายจากบ้านเช่าห้องแถวมาอยู่กันที่นี่ ยังรู้สึกว่ามันไกลปืนเที่ยง ไม่คิดไม่ฝันว่าเวลาผ่านไป ถนนหนทางถูกสร้างขึ้นใหม่ สะดวกสบายต่อการเดินทาง บ้านเรือนก็เริ่มผุดขึ้นหนาตา กระทั่งมีรถประจำทางผ่านหลายสาย

            หญิงชราไขกุญแจเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน บ้านที่ตอนนี้มีเพียงความว่างเปล่า เหลือเพียงร่องรอยแห่งความทรงจำรางเลือน ต้นไม้ที่สามีลงดินไว้หลายต้นยังคงอยู่ให้ร่มเงา ชิงช้าที่ลูก ๆ เคยนั่งเล่นยังแขวนห้อยที่เดิม ก่อนทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะม้าหิน มองไปรอบ ๆ อย่างค้นหาอดีตที่หลงเหลือ...

            หลังลูกชายแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง แยกไปอยู่อีกจังหวัดหนึ่งเมื่อสามปีก่อน แม้ไม่ไกลกันนัก แต่ตอนนั้นเองที่นางเริ่มรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างในชีวิตได้ขาดหายไป หลังจากนั้นเพียงปีเดียวลูกสาวก็ออกเรือนไปอยู่กับสามีที่กรุงเทพฯ ชีวิตนางจึงหงอยเหงาลงไปอีก กระทั่งสามีมาจากกันไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อปีกลาย ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง ตอนนั้นราวทุกอย่างภินท์พัง เหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร หลายครั้งหลายหนที่นางรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนคนลอยคออยู่กลางทะเล โชคดีที่จันทร์ยื่นมือมาฉุดขึ้นฝั่งได้ทันเวลา...

            ระยะหลังเพื่อนของนางได้ชวนให้เข้าวัดทำบุญ นั่งวิปัสสนาเมื่อมีโอกาส โดยเฉพาะในวันพระ วัดที่สองคนมักจะไปปฏิบัติธรรมอยู่เสมอก็คือวัดในตัวอำเภอแห่งนั้น กระทั่งจิตใจของหญิงชราเริ่มพบความสงบ ความเศร้าหมองคลี่คลาย แม้ต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวเมื่อกลับมาบ้านทุกครั้งก็ตาม

นั่งรับลมเย็นได้พักหนึ่ง พลันเสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น นางรีบกุลีกุจอเดินมาไขกุญแจ เปิดประตูเข้าห้องรับแขก

            “สวัสดีค่ะ นั่นบ้านคุณนิตยาใช่ไหมคะ” เสียงผู้หญิงเอ่ยถามจากปลายสาย

            “ชะ ใช่ค่ะ ไม่ทราบจากไหนคะ” หญิงชราพูดตะกุกตะกัก น้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

            “จากสถานสงเคราะห์คนชราที่ติดต่อไว้นะคะ พอดีทางเราติดต่อคุณนิตยาจากเบอร์มือถือที่ให้ไว้ไม่ได้ทั้งวัน เลยต้องโทร.เข้าเบอร์บ้านค่ะ” ปลายสายเว้นจังหวะ แล้วพูดต่อ “ จะเรียนแจ้งว่าตามที่ได้นัดคุณแม่คุณนิตยาให้เข้าบ้านพักหลังวันแม่ เราขอเลื่อนไปก่อนค่ะ พอดีมีเจ้าหน้าที่ติดโควิดกะทันหันหลายคน ต้องปิดบ้านพักสักระยะ แล้วทางเราจะโทร.แจ้งวันนัดใหม่ไปอีกทีนะคะ ต้องขออภัยจริง ๆ ค่ะ”

            หญิงชราถึงกับเข่าอ่อนหลังวางสาย รู้สึกคล้ายร่างกายถูกถ่วงด้วยตุ้มเหล็ก ราวกับคนถูกควักหัวใจออกจากตัวทั้งที่ยังหายใจ แต่เมื่อผนวกสิ่งที่ได้รับรู้จากเพื่อนลูกสาว ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ไม่ยากนัก

            อันที่จริงนางได้รับรู้ปัญหาของลูกชายได้สักพักใหญ่ ๆ นพดลทุ่มลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตามแรงยุของเมีย ที่เป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ฟุ้งเฟ้อ ทำตัวจมไม่ลงมาตลอด ปรากฏว่าหุ้นตกขาดทุนย่อยยับ แถมยังต้องเป็นหนี้เป็นสินกันต่อไปอีก ส่วนลูกสาวผู้พี่ก็มีปัญหาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ได้ยินมาว่า นิตยาลงทุนทำธุรกิจใหม่กับเพื่อนคนหนึ่ง สามีห้ามปรามก็ไม่ฟังเพราะเห็นว่าวางใจในตัวเพื่อนมากเกินไป สุดท้ายถูกเพื่อนโกงไปนับล้าน สามีโวยวายเป็นเรื่องราวใหญ่โต มีปากเสียงกันแทบบ้านแตก

            ช่วงหลังมานี้ หญิงชรารู้สึกได้ว่าลูกทั้งสองคนมักจะพูดเลียบ ๆ เคียง ๆ ทำนองว่าเป็นห่วงที่นางต้องอยู่ลำพัง บางครั้งช่วยกันพูดตะล่อม หว่านล้อมต่าง ๆ นานาให้นางขายบ้าน แล้วจะรับนางไปอยู่ด้วย อันที่จริงบ้านหลังนี้มีชื่อลูกทั้งสองคนเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม สามีนางได้ทำพินัยกรรมเช่นนั้น เป็นกุศโลบายเพื่อรักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้ให้นานที่สุด ด้วยหากจะขายบ้านจะต้องยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับตัวนางแต่อย่างใดอีก

            วันนี้นางรู้ซึ้งแล้วว่า ที่แท้มันก็แค่การผลักไสที่เคลือบแฝงด้วยความห่วงหาอาทรจอมปลอม นางอยากถามลูก ๆ ที่เลี้ยงมากับมือเหลือเกินว่า คิดกันดีแล้วใช่ไหมที่จะทำอย่างนี้ แต่ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความน้อยใจไว้เพียงผู้เดียว

            แสงสุดท้ายแห่งวันเลือนหายไปแล้ว แต่ฝนยังโปรยปรายอยู่ข้างนอก หลังกินอาหารมื้อค่ำคนเดียวอย่างฝืดฝืน หญิงชราพาร่างบอบบางมานั่งที่ห้องรับแขก พลางเปิดโทรทัศน์ดูข่าวสารบ้านเมือง ช่วงหนึ่งผู้ประกาศข่าวบอกว่า พรุ่งนี้วันแม่จะเวียนมาอีกครา แล้วบางอย่างก็แล่นขึ้นมาจุกอก จนขอบตานางร้อนผ่าว เกินกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่งริน…

 

            วันรุ่งขึ้นฝนซาลงแล้ว หญิงชราตื่นก่อนไก่โห่มาหุงหาอาหาร เพื่อใส่บาตรพระสงฆ์หน้าบ้าน นี่คงเป็นความสุขเดียวที่นางพอจะทำได้ในตอนนี้ เมื่อคืนนางครุ่นคิดทั้งคืน จิตใจว้าวุ่นสับสนถึงหนทางชีวิตข้างหน้า มิอาจข่มตาหลับอย่างคืนก่อน ๆ จนต้องลุกขึ้นมากำหนดลมหายใจเข้าออก ไม่นานจิตที่ฟุ้งก็สงบลงได้ พันธนาการที่มองไม่เห็นซึ่งจองจำนางไว้ก็ได้เวลาปลดเปลื้อง การปล่อยวางเท่านั้นคือทางออก โลกนี้ไม่มีสิ่งใดต้องยึดติด บ้านช่องที่เคยผูกพันก็มิอาจถือครองให้อุ่นใจได้เหมือนเคย คงเป็นจริงดั่งคำพระท่านสอน ‘ได้มาก็อย่าดีใจ เสียไปก็อย่าเศร้าโศกให้มาก ทุกอย่างในโลกนี้ ครอบครองได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น’

            ตะวันสายหญิงชราปิดบ้านใส่กุญแจ หิ้วกระเป๋าใบเดียวออกมาจากบ้านที่เคยพักพิงมายาวนาน ไม่มีถ้อยคำใดทิ้งไว้ ไม่แม้กระทั่งเหลียวหลังกลับไปอาลัยอาวรณ์ ให้อดีตฉุดรั้งตัวนางไว้ได้อีก ก่อนนั่งรถสองแถวห่างออกไป ห่างออกไป

            ไม้ใกล้ฝั่งที่รอคอยวันล้มลงน้ำ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องห่วงกังวลอีก แม้แต่สังขารนี้นางก็ได้อุทิศให้สภากาชาดไทยไปแล้ว เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ชีวิตนางก็เป็นเพียงการเดินทางไปสู่ความตายเช่นเดียวกับคนอื่น ไม่ว่าสุดท้ายจะอยู่ที่ไหน แต่อย่างน้อยวัดแห่งนั้นก็เสมือนมีเพื่อนรักของนางอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา หญิงชราตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะบวชชีอยู่ในร่มพระพุทธศาสนาไปตลอดชีวิต ขอพึ่งพิงวัดเก่าอันสงบเย็นในตัวอำเภอเป็นบ้านหลังสุดท้าย เมื่อลูก ๆ มาหานางในวันพรุ่งนี้ และไม่มีนางอยู่ในบ้านหลังนั้นแล้ว พวกเขาคงจะตัดสินใจทำอะไรได้สะดวกขึ้น

            รถโดยสารมาจอดที่ศาลาหน้าวัดเมื่อครู่ ขณะหญิงชรากำลังก้าวเดินเข้าไปในวัด ยินเสียงร้อง หงิง ! หงิง ! ของสิ่งมีชีวิตหนึ่งแว่วมากระทบโสต นางหยุดกึกสอดส่ายสายตาเสาะหาต้นเสียง

            เจ้าตัวเล็กสี่ขาหน้าขนสีน้ำตาลอ่อน เนื้อตัวมอมแมม หน้าตาบ้องแบ๊ว นอนขดตัวสั่นเทา ท่าทางอ่อนล้า อยู่ใต้ที่นั่งในศาลา พลันโงหัวขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หญิงชราสาวเท้าเข้าไปใกล้ พลางนั่งลง เอื้อมมือหมายจะลูบหัวเจ้าสุนัขพันธุ์เล็กด้วยความสงสารและผูกมิตร แรกทีเดียวมันตั้งท่าจะลุกหนี แต่พอนางบอกอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัวนะลูก” มันจึงตอบสนองด้วยการยกขาหน้าตะกายป่ายปีน หางส่ายไม่หยุด ก่อนส่งเสียงร้อง บ๊อก ! บ๊อก ! ราวกับจะขอฝากชีวิตของมันไว้กับนาง

            หญิงชราเห็นที่คอของมันมีปลอกคอสีชมพู น่าจะหลงกับเจ้าของ พยายามจะอุ้มมันขึ้นมา ขณะที่หมาน้อยยังมีทีท่ากล้า ๆ กลัว ๆ ถอยจากมือของนางไปเล็กน้อย พลางเอียงคอมองเมียงอย่างตัดสินใจ เมื่อเริ่มคุ้นเคยจึงยอมให้อุ้มแต่โดยดี ตอนนั้นนางเพิ่งสังเกตเห็นว่าตาข้างหนึ่งของมันสีขุ่นมัวต่างจากอีกข้าง พลันนึกบางอย่างได้ จึงเดินไปอ่านใบประกาศที่เห็นเมื่อเย็นวาน ซึ่งแปะอยู่ที่เสาด้านตรงข้ามอีกครั้ง...

            ‘ตามหาน้องหมาชิสุ ตัดขนสั้น น้องแก่แล้ว ตาเป็นต้อกระจกหนึ่งข้าง สวมปลอกคอสีชมพู’

            ในประกาศตอนท้าย ระบุเน้นย้ำว่าเจ้าของเป็นห่วงมาก เนื่องจากไม่เคยไปไหนไกลบ้าน หากผู้ใดพบเห็นหรือมีเบาะแส ทางเจ้าของยินดีมอบรางวัลตอบแทน พร้อมทิ้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้

            หญิงชราไล่อ่านข้อความที่อ่านไม่ทันจบเมื่อวานจนครบถ้วน แล้วก้มลงเพ่งพิศเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดอย่างอาทร

            จะว่าไปแล้วตอนนี้นางกับหมาน้อยก็คงคล้ายกันอยู่บ้าง ตรงที่ต้องระเห็จจากบ้านที่เคยอยู่มา ทั้งดวงตาข้างหนึ่งยังเป็นต้อกระจกเหมือนกันอีก ต่างกันก็แต่ดูเหมือนมันจะมีราคาค่างวดมากกว่าตัวนางเป็นไหน ๆ ป่านนี้เจ้าของคงตามหากันให้ทั่ว แล้วตัวนางเล่า หากหายไปจากบ้านยามนี้ จะมีใครออกตามหาบ้างไหมหนอ...

            หญิงชรารำพึงกับตัวเองด้วยความสะท้อนใจ

 

                                    ..................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์