เรื่องสั้น : บรรยากาศยังไม่น่าเป็นห่วง : ชชา ทรงศิริพิพัฒน

เรื่องสั้น : บรรยากาศยังไม่น่าเป็นห่วง : ชชา ทรงศิริพิพัฒน

 

            [คนกินไม่ได้ปลูก คนปลูกไม่ได้กิน]

            ใครเขาปลูกมะนาวไว้หน้าบ้าน ฉันสงสัย ก็แม่จะปลูก เสียงในทรงจำแว่วมา ใช่ บ้านของแม่ แม่จะปลูกต้นไม้ใบหญ้าอะไรก็ได้ แต่ทำไมต้องเป็นมะนาว และผ่านมาหนึ่งปี สองปี สามปี มะนาวของแม่ไม่ติดลูก บ้าใบเขียวอื๋อ ตัดกิ่งก็แล้ว ใส่ปุ๋ยเร่งดอกเร่งผลก็แล้ว พรวนดินไป บ่นไป ไม่ออกลูกฉันจะโค่นทิ้งนะ ร้องเพลงให้ฟัง เปิดเพลงให้ฟังก็แล้ว มีแต่ใบที่แผ่พุ่ม ไหนแม่บอกเป็นคนมือเย็น ฉันถาม “กล้วยไม้ออกดอกช้า ฉันใด” แม่บอก สำบัดสำนวนจริงคนแก่ ฉันว่า ไม่ใช่สำนวน นี่เรียกโคลงสี่ต่างหาก ของมล. ปิ่น มาลากุล ไม่รู้จักเหรอ ฉันส่ายหัว แม่ยิ้ม อีกนานกว่ามันจะออกลูก แม่รำพึง อีกไม่นานจะโค่นทิ้ง ฉันว่า มองใบหน้าแม่นิ่ง ลมพัดปอยผมสีขาวดอกมะลิพลิ้วไหว แม่นั่งรถเข็นมองต้นมะนาวแล้วยิ้ม เป็นรอยยิ้มเปล่งแสงได้ อีกห้าปีมันจะติดลูก แม่บอก กระแสลมพัดมาอีกวูบ ยอดใบมะนาวไร้ลูกไหวส่าย ก่อนจะอ่อนแรงราวกำลังฟังสิ่งที่แม่พูด แต่แม่คงตายก่อนละมั้ง แม่ก้มหน้า หยิบสร้อยคอห้อยรูปพ่อขึ้นมามอง ใช้นิ้วโป้งลูบ ๆ แม่ยังแข็งแรง อย่าเพิ่งตาย ฉันกระเซ้า หวังจะเปลี่ยนอารมณ์หม่นยามเช้าให้กลายเป็นท้องฟ้าแดดใส แม่ยังก้มหน้า ฉันเดินเข้าไปใกล้ แม่ตายก็เอากระดูกมาฝังไว้ที่นี่ แม่ยกนิ้วชี้ โถ แม่ ใครเขาเอากระดูกคนตายฝังไว้ในบ้าน ฉันแย้ง เดี๋ยวเขียนพินัยกรรมไว้ ใครอยากได้บ้านหลังนี้ก็ต้องทำตาม แม่เอียงคอสบตาฉัน แม่อย่าพูดเล่นนะ ฉันแหย่ แม่พยักหน้า รอยยับย่นเหมือนเสื้อไม่ได้รีดกระเพื่อม ฉันไม่นึกว่าจะเป็นคำสั่งเสียสุดท้าย หลังจากนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์แม่ก็ตาย นอนหลับไปในคืนฝนฟ้ากระหน่ำคำราม

            แล้วแม่ก็ไม่ทันได้เขียนพินัยกรรม ไม่มีลูกคนไหนบ้าเอาเถ้ากระดูกคนตายมาฝังไว้ใต้ต้นมะนาว ทุกคนลงความเห็นว่านำไปลอยอังคารดีที่สุด จากนั้นก็พากันแยกย้าย บ้านของแม่จึงร้างและรกไปด้วยยอดหญ้าชี้พุ่งขึ้นฟ้า

            ฉันแวะเข้ามาดูบ้านไม้ชั้นครึ่งเป็นบางครั้ง ติดป้ายให้เช่าก็ไร้คนติดต่อ ต้นมะนาวสูงท่วมหัว ฉันไม่กล้าโค่น เข้ามารดน้ำ ใส่ทั้งปุ๋ยมูลไส้เดือน ขี้ค้างคาวที่ซื้อจากร้านขายต้นไม้ริมทาง พอยืนนึกถึงมือและใบหน้าคนปลูก ดวงตาฉันก็เปียกชื้น

            จ้างคนแถวนั้นมาถางหญ้า เขาว่ามะนาวต้นนี้คงเพศผู้ ไม่งั้นออกดอกออกลูกดกดื่น ฉันหันมองหน้าเขา ไม่หาอีกต้นมาปลูกเคียงกัน เผื่อมันรอคู่ คนตัดหญ้าเอ่ย  ว่าไปนั่น ฉันคิดและหัวเราะหึ แล้วเดินผละมานั่งหน้าบ้าน คว้าหนังสือ “เดียวดายใต้เงาจันทร์” ขึ้นมาอ่าน

 

            [ห้าปีหลังจากนั้น]

            ห้าปีผ่านไป หลังจากแม่ตาย มะนาวต้นใหญ่ใบเขียวอื๋อพากันออกดอกขาวพราวต้น ติดลูกหล่นจนเก็บกินไม่ทัน นาน ๆ ฉันจะแวะมาดูบ้าน พี่น้องคนอื่น ๆ ไม่มีใครสนใจหรอก ยิ่งช่วงโควิดระบาด แต่ละคนก็ขาดการไปมาหาสู่ คิดถึงกัน อยากเห็นหน้าก็วิดีโอคอล สุดท้ายฉันตัดสินใจหนีจากเมืองแออัด มาอาศัยชั่วคราวที่บ้านของแม่

            ยืนมองต้นมะนาว เห็นลูกเขียว ๆ คงเปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันน่าดู ก้มลงเก็บลูกเหลืองอ่อนที่หล่นโคนต้น ได้ครึ่งกะละมังซักผ้า เอาไปไหนดีล่ะ เผลอรำพึงกับตัวเอง กินคนเดียวคงไม่หมดหรอก แจกใครดีเล่า จะมีใครแถวนี้กล้าออกมารับหากฉันเดินไปเรียกริมรั้ว หรือเคาะประตู ว่าไงล่ะแม่ ติดนิสัยนึกอะไรไม่ออกก็ถามคนแก่ ถ้าแม่นั่งรถเข็นให้เห็นตรงนี้ ฉันคงวิ่งหญ้าราบ พอพูดถึงหญ้า ฉันก็รีบโทรหาคนเคยมาจัดการมัน

คนตัดหญ้าเสนอให้ฉันใส่ถุงแล้วแขวนนอกแนวรั้วไม้ระแนง ฉันทำตาม แทนที่จะทิ้งไว้ให้เน่าเสีย ก็เขียนป้าย “แจกฟรีค่ะ” ห้อยไว้ให้คนผ่านไปมาช่วยกิน เพราะจะยื่นมือต่อมือ ผู้ให้กับผู้รับต่างคนต่างก็กลัว

ฉันไม่คาดคิดเลยว่า จะมีคนมาหยิบมันไปกิน สามสี่ถุงเห็นจะได้ ทำไมไม่เอาไปให้หมด วันนี้ฉันเก็บได้อีก 1 ใน 4 ของกะละมัง ผ่าแล้วคั้นเอาแต่น้ำใส่ขวดแช่ตู้เย็น บีบจนแสบนิ้วและซอกเล็บ ที่ตกใจก็คือ มีถุงใส่เสาวรสห้อยเข้ามาในบ้าน กับกล้วยน้ำว้าอีกหนึ่งหวี ฉันยิ้มกว้าง ในห้วงวิกฤติแบบนี้ น้ำจิตน้ำใจยังหาได้

 

            [มะนาวทำเมนูอะไรดี]

            ต้นมะนาวที่ฉันบอกว่าออกลูกดก แต่เพื่อนบ้านบอกว่าไม่ใช่ดกธรรมดา มันโคตรดก เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สนทนากับพวกเธอผ่านหน้ากาก น่าเอาไปดองใส่ขวดโหลไว้ เธอคนหนึ่งเปรย เอาไปอีกถุงสิ แล้วบอกต่อๆ กันนะ ใครอยากใช้มะนาวไปทำอะไรให้มาเอาที่นี่ พวกเธอกล่าวขอบคุณ ชายคนหนึ่งวิ่งออกกำลังกายผ่านมา และยืนเท้าสะเอวมองต้นมะนาว เอาไปกินบ้างสิคะ ฉันบอก เขาเดินมารับถุงที่แขวนไว้ ใบหน้าสีมะเขือเทศอาบเม็ดเหงื่อ  เอาไปอีกถุง ฉันว่า แค่นี้ก็คงกินไม่ทัน เขาตอบ ยกขาขึ้นมาเตะสลับ ไม่เอาไปใส่ตู้ปันสุขของหมู่บ้านบ้างละครับ เขาพูด สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ฉันย่นหัวคิ้ว แต่ก็พยักหน้าเออออ ไม่ได้ถามว่าตู้ปันสุขมันตั้งอยู่จุดไหน ใจจริงไม่อยากออกนอกบ้านไปไหนถ้าไม่จำเป็น

            เย็นนี้ทำเมนูอะไรล่ะ ฉันถาม ยังไม่รู้เหมือนกันครับ แต่อยากกินต้มโคล้งปลาช่อนตากแห้ง ซดน้ำร้อน ๆ เน้นเปรี้ยว เค็ม เผ็ด น่าจะแซ่บ เขาพูด

            ฉันยืนกลืนน้ำลายเอื๊อก

 

            [โกวเล้งรำพัน]

            จิบกาแฟยามเช้ากับขนมปังโฮลวีตปิ้งกรอบเกรียม แกล้มตัวหนังสือของโกวเล้ง เสียงนกกล่าวเกริ่นทายทักกัน ไก่ขันเอก อี เอ้ก ไกล ๆ แสงค่อย ๆ สว่างฟ้า เหม่อมองก้อนเมฆกระจัดกระจาย เห็นพระจันทร์ข้างแรมซีดขาวราวกระดาษทางทิศตะวันตก กาแฟอุ่นลิ้นและกระพุ้งแก้ม ส่งกลิ่นหอมอวลเตะจมูก กระตุ้นกำลังวังชา

            “มีคนกล่าวว่า ความสุขเป็นสิ่งที่ไม่อาจแบ่งสรรกันเสพได้ เพราะว่าเรื่องที่ทำให้ท่านมีความสุข ผู้อื่นอาจจะมิได้รู้สึกมีความสุขเสมอไป บางครั้ง กระทั่งกลับทำให้อิจฉา เคียดขึ้ง ขุ่นเคือง

         ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ ? ไม่ ! อย่างน้อยข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าความสุขมิใช่สิ่งที่ไม่อาจแบ่งสรรกันเสพ เพราะว่าสิ่งที่ท่านแบ่งปันให้ผู้อื่นได้นั้น กลับมิใช่เรื่องที่ทำให้ท่านมีความสุข แต่เป็นบรรยากาศแห่งความสุขอย่างหนึ่ง”

            ฉันเงยหน้าจากตัวหนังสือใน “เดียวดายใต้เงาจันทร์” แล้ววางมันบนโต๊ะ ระบายยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะสอดนิ้วเกี่ยวหูแก้วกาแฟมาจิบอึกสุดท้าย มองแสงเช้าห่อหุ้มต้นมะนาวหน้าบ้านและลุกจากเก้าอี้

 

                                    ...............................................................

 

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์