เรื่องสั้น : การจากไปที่แสนเศร้าของนักเดินทางแห่งท้องทะเล : ปพน คำแก้ว

เรื่องสั้น : การจากไปที่แสนเศร้าของนักเดินทางแห่งท้องทะเล : ปพน คำแก้ว

 

            กลางอ่าวไทยสีครามอันสง่างามของวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2521

            “เชือกมันพันเข้าไปในใบจักรหลายรอบเกิน กูพยายามตัดและดึงออกแต่ก็ยังไม่หมด” เสียงตะโกน ขึ้นมาจากผิวทะเลด้านท้ายเรือดังแข่งกับเสียงครางของเครื่องยนต์คัมมิ้นส์ขนาด 6 สูบหลังจากที่เขาสะบัดศีรษะโผล่ขึ้นมาเหนือแผ่นน้ำสีครามอันเย็นเฉียบในช่วงเช้ามืด

            “ให้ใครดำลงไปช่วยตัดอีกสักคน กูขอพักเอาแรงสักนิดก่อน” เขาพูดต่อขณะลอยคอและร้องขอไปกับกลุ่มคนสี่ห้าคนที่นั่งบ้างยืนบ้างรวมกันอยู่ท้ายเรืออวนลากซึ่งได้ปลดเกียร์ว่างจอดลอยลำห่างจากปากน้ำสิชลออกมาประมาณ 8 ไมล์ทะเล

            “เออได้ มึงขึ้นมาก่อนไอ้พร เดี๋ยวกูให้ไอ้เอียดลงไปแทนมึง” เสียงอันห้าวของพรานทะเลเมืองใต้ ที่ใคร ๆ เรียกเขาว่า เถ้าแก่เริญ เจ้าของเรือ ป.กล้าสมุทรลำสีเขียวใบไม้ตัดขอบบนด้วยสีขาวไข่มุกคาดแถบแดง เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำ ผมดำหยิกหยอง จมูกใหญ่หนา คิ้วดกดำเปลือกตาชั้นเดียวเขาอยู่ในชุดกางเกงขายาวผูกเอวสีดำใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน สวมสร้อยคอทองคำเส้นใหญ่และห้อยพระเครื่องหลายองค์รอบคอ นาฬิกาเรือนกลมใหญ่สีทองอร่าม แต่ก็นั่นละด้วยความเป็นเถ้าแก่ทำให้เขาดูอ้วนพุงพลุ้ยกว่าคนอื่น ๆ บนเรือ

            “เอ้า ไอ้เอียดมึงเอามีดที่ไอ้พรแล้วเหน็บเอวไว้ แข็งใจลงไปช่วยตัดเชือกไนล่อนต่อจากมัน ถ้ามึงตัดและดึงออกไม่หมดก็รีบผุดขึ้นมาแล้วเดี๋ยวกูให้ไอ้พรลงไปสลับกัน ตอนนี้ให้มันพักก่อนสักเดี๋ยว” เถ้าแก่เริญสั่งให้เอียดตังเกวัยฉกรรจ์ผู้ที่มีกล้ามบนแผ่นอกหนาบึกบึนราวกับนักเพาะกาย ผิวสีดำแดงแต่คล้ำเพราะกร้านลม ทว่าก็ดูกลมกลืนไปกับรอยหมึกสีเขียวที่เขาสักยันต์เป็นอักขระขอมหลายบรรทัดไว้รอบลำตัว

            สิ้นเสียงสั่งของเถ้าแก่เริญยังไม่ทันอึดใจเอียดซึ่งเป็นหนึ่งในสิบของลูกเรือก็กระโจนลงทะเลต่อจากพรทันที ก็ในเมื่อเป็นคำสั่งของเถ้าแก่จะให้เขาบ่ายเบี่ยงอิดออดอยู่ได้อย่างไร ความเยือกเย็นของน้ำทะเลในเช้าวันนั้นก็ไม่ได้ทำให้เอียดต้องสะท้านได้แต่อย่างใด เขาใช้ปอดอันเป็นถุงเก็บอากาศเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ในร่างกายและพลังจากกล้ามเนื้อแขนขาอันแข็งแรงเหมือนกับกบแหวกน้ำลงไปสู่ก้นทะเลโดยมีปลายทางคือใบจักรทองเหลืองขนาดใหญ่ใต้ท้องเรือซึ่งขณะนี้มันหมดฤทธิ์เดชที่จะออกแรงหมุนฟันท้องน้ำให้เป็นเกลียวเพื่อให้เรือที่มีความยาวขนาด 20  เมตรขับเคลื่อนต่อไปได้ แฉกทั้งสี่ใบของมันถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกไนล่อนที่หลุดมาจากคร่าวปากอวนหลังแผ่นตะเฆ่

            บัดนี้เรือ ป.กล้าสมุทรไร้อิสรภาพอย่างสิ้นเชิง ดวงอาทิตย์ดวงกลมสีทองโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ทะเลที่หลับใหลอยู่เมื่อคืนก็ตื่นมารับแสงอรุณด้วยอาการกระปรี้กระเปร่า นกทะเลบินโฉบหัวเรือและส่งเสียงทักทาย ฝูงกุ้งปลาน้อยใหญ่ในอ่าวไทยก็ออกมาโลดแล่นสะบัดครีบหางกันอย่างรื่นเริง ทั้งฝูงปลาทูปลาลัง ปลากะมง และฝูงกุ้งเคยนับแสนนับล้านตัวอันเป็นเหยื่ออันหอมหวานของบรรดาปลานักล่าที่มีฟันคมกริบและนักเดินทางใต้น้ำไม่ว่าจะเป็นปลาอินทรีปากมีดโกน ปลาสากปากยาวจอมเขมือบ รวมทั้งปลาฉลามเพชฌฆาตร้ายกลางมหาสมุทรสีฟ้าแห่งนี้ เถ้าแก่เริญก็ไม่ต่างกับบรรดานักล่าฟันคมจอมเขมือบใต้น้ำเหล่านั้น

            เป้าหมายของเขาคือบรรดาฝูงปลาพเนจรทั้งผู้ถูกล่าและผู้ล่าที่โชคร้าย เขาจะกวาดต้อนพวกมันเข้าไปสู่อวนที่ลากติดอยู่กับท้ายเรือลำนี้ให้หมดแล้วจากนั้นก็จะสั่งให้ชายฉกรรจ์อันแข็งแรงที่เป็นลูกน้องสิบกว่าคนบนเรือช่วยกันกู้อวนด้วยการกว้านมันขึ้นมาจากท้องทะเลลึกไม่ว่ามันจะมีน้ำหนักมากสักแค่ไหนหรือคลื่นลมจะโหมแรงสักเพียงใดพวกลูกน้องเหล่านั้นก็ต้องรวมแรงกายแรงใจดึงเอาตาข่ายสีเทาขึ้นมาบนเรือให้ได้ จากนั้นก็เทพวกมันออกจากอวนให้หมดจนเต็มลำเรือแล้วเขาก็จะสั่งให้ไต้ก๋งแล่นกลับเข้าสู่สิชลด้วยความปรีดิ์เปรม เขาหวังเช่นนั้นในทุก ๆ วันที่เรือ ป.กล้าสมุทรของเขาบ่ายหน้าออกทะเลกว้าง แต่วันนี้เขาได้พบปัญหาใหญ่เสียแล้ว

            “นาทีอันเป็นปัญหานี้ก็เห็นจะมีไอ้พรกับไอ้เอียดเท่านั้นที่จะช่วยแก้ไขให้ทุกอย่างได้เดินหน้าเพื่อให้ภารกิจลากอวนของวันนี้สำเร็จลุล่วงไป” เถ้าแก่เริญกอดอกนิ่งใคร่ครวญคิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ท้ายเรือ

            เขาเดินขึ้นไปบนเก๋งเรือ“ไต๋ บอกยิเนียร์ ให้เบาเครื่องไว้ให้สุดรอบและปลดเกียร์ว่างไว้ก่อนนะ เดี๋ยวไอ้เอียดมันคงจัดการตัดเชือกออกจากใบจักรจนหมด รอมันขึ้นมาแล้วค่อยเดินหน้ากันต่อ” เถ้าแก่บอกไต้ก๋งที่อยู่บนสะพานเรือให้ส่งสัญญาณไปยังช่างเครื่องในท้องเรือ

            “ครับ เถ้าแก่” ไต๋ตอบมาจากเก๋งชั้นบนสุด

            ทันใดนั้น เรือ ป.กล้าสมุทรทั้งลำก็สั่นไหวโคลงเคลงราวกับจะล่มไปทั้งลำ คนบนเรือรู้สึกเหมือนกันว่ามันมีวัตถุลึกลับใต้ทะเลพุ่งชนเรือเข้าอย่างแรง ทุกคนอยู่ในอาการตกใจอย่างสุดขีด ทั้งเถ้าแก่ ทั้งลูกเรือต่างหันมองหน้ากันและต่างคว้าจับยึดทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัว บางคนก็ล้มลุกคลุกคลานกันอยู่ในเรือ

            “ไต๋ ๆ มันเกิดอะไรขึ้น” เถ้าแก่เริญตะโกนถามไต้ก๋งด้วยอาการตกใจ

            “ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ กำลังมองหารอบ ๆ ลำ” เสียงไต้ก๋งดังสวนมา

            ยังไม่ทันหายตกใจจากเหตุการณ์ประหลาดพลันก็มีแรงกระแทกจากใต้น้ำเหมือนครั้งแรกซ้ำขึ้นมาอีกเป็นหนที่สอง ทุกคนในเรือต่างชุลมุนผวาหน้าซีดเหมือนไก่ต้มกันไปหมดเรือยังโคลงเคลงไปมาไม่หยุด หวิดจะจมลงสู่ท้องทะเลในนาทีนั้น

            “ไต๋ สั่งให้ยิเนียร์เข้าเกียร์เดินหน้า เร่งเครื่องเต็มกำลังแล้วจอดรอไอ้เอียด” เขาตัดสินใจเดินเรือให้ขยับออกไปจากจุดที่ลอยลำและอาศัยแรงเครื่องยนต์เพื่อให้เรือทรงตัวไม่โคลงเคลงซึ่งอาจจะล่มลงได้ เสียงกริ๊งในห้องเครื่องกลางลำเรือดังติดกันสองสามครั้งเป็นรหัสสัญญาณที่สื่อสารระหว่างไต้ก๋งบนสะพานเดินเรือ กับยิเนียร์ที่ประจำเครื่องอยู่ใต้ท้องเรือ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคำรามของเครื่องคัมมิ้นส์ ขนาด 180 แรงม้าสองเครื่องมันพ่นควันสีดำเหมือนน้ำหมึกออกมาทางท่อไอเสียสนิมเขรอะขึ้นฟ้าดูตลบอบอวน เรือทรงตัวได้และขยับเดินหน้าจากจุดที่จอดออกไปประมาณครึ่งช่วงลำเรือ ไต้ก๋งก็กดกริ่งสัญญาณให้ยิเนียร์เบาเครื่องลงเหลือรอบต่ำที่สุดเพื่อจอดรอให้ไอ้เอียดลูกเรือคอทั่งสันหลังเหล็กที่ดำดิ่งลงไปตัดเชือกพันใบจักรขึ้นมา รออยู่ประมาณ 10 นาทีก็ไม่เห็นไอ้เอียดโผล่ขึ้นมา

            “ไอ้เอียด ๆ มึงอยู่ไหนวะ !” ลูกเรือทุกคนแม้กระทั่งเถ้าแก่เริญส่งเสียงตะโกนดังอื้ออึงแข่งแข่งกับเสียงเครื่องยนต์รอบลำเรืออวนลาก ป.กล้าสมุทร

            “ไต๋ ส่องกล้องดูรอบ ๆ ให้ดีนะส่องเวียนไปหลายรอบ เผื่อไอ้เอียดมันว่ายน้ำหนีออกห่างเมื่อตอนเรือโคลงเคลง” เถ้าแก่เริญตะโกนขึ้นไปบนสะพานเรือ

            “ครับ เถ้าแก่” เสียงไต้ก๋ง 

            “ไอ้พร ไอ้ทิศ ไอ้โอ๋ มึงสามคนรีบดำลงไปงมดู หาดูใต้น้ำอีกทีเผื่อมันจมอยู่” เถ้าแก่เริญสั่งลูกน้อง

ตะวันยิ่งสายเข้าไปทุกทีท้องฟ้าเริ่มโปร่งแดดปลายเดือนมกราคมส่องกราดลงบนผิวน้ำทะเลเป็นสีเทา นกนางนวลหลายตัวยังบินว่อนเหนือฝูงกุ้งเคยที่ยิบ ๆ อยู่บนระลอกคลื่น บางตัวก็โฉบเฉี่ยวลงมาบนฝูงเหยื่อ บรรยากาศในเรืออวนลาก ป. กล้าสมุทรเริ่มตึงเครียดขึ้นโดยเฉพาะเถ้าแก่เริญเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่น เขาตกอยู่ในอาการร้อนใจเหมือนไฟลน ก็ไอ้เอียดลูกน้องต้องมาจมหายไปในทะเลทั้งคน โดยที่เขาเองเป็นคนสั่งให้มันดำดิ่งลงไปใต้ท้องเรือเพื่อแก้ปัญหา ใครเล่าจะนิ่งเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้ หลายปีมานี้ไอ้เอียดมันได้ฝากชีวิตและครอบครัวไว้กับเรือลำนี้ งานหนัก งานเบาเขาก็เคยใช้สอยซึ่งมันเองก็ไม่เคยเกี่ยงงอนรีบทำให้ทันที เขาคิดถึงนางจวบเมียของมันที่มีความหวังจะได้เงินมาใช้จ่ายเป็นค่าผัดงวดรถมอเตอร์ไซด์คันใหม่งวดสามเดือนสุดท้ายและรายจ่ายอื่น ๆ จิปาถะในครอบครัว ไหนจะไอ้กวางลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของมันที่มันสัญญาว่าจะซื้อรถถีบบีเอ็มเอ๊กซ์ให้หลังเรือหยุดหงายน้ำนี้ มันยิ่งทำให้เถ้าแก่เริญกลัดกลุ้มจนเก็บอาการไม่อยู่ จนเวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากทะเลข้างกราบเรือด้านซ้าย

            “ไม่พบครับ ใต้น้ำไม่เห็นไอ้เอียดเลย” เสียงไอ้พรตะโกนบอกเถ้าแก่

             “ไม่เห็นครับ ผมก็วนอยู่หลายรอบ” ไอ้ทิศส่งเสียงตามหลังพร

            “ไม่เจออะไรเลยครับเถ้าแก่ ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน” เสียงไอ้โอ๋ก็ตอบมาแบบเดียวกันหลังจากดำผุดดำว่ายรอบเรืออยู่หลายรอบ

            “กูเชื่อว่ามันต้องเกิดเหตุร้ายกับไอ้เอียดแน่แล้ว เออ งั้นพวกมึงขึ้นมา” เถ้าแก่เริญปรารภและสั่งให้ลูกน้องทั้งสามคนกลับขึ้นมาบนเรือ

            “เอ้า พวกที่เหลือทุกคน ลงอวนล้อมบริเวณรอบเรือไว้เป็นวงจนสุดปลายอวน” เขาสั่งการให้ลูกน้องบนเรือปล่อยอวนกั้นล้อมบริเวณรอบเรือเพื่อหาศพของไอ้เอียด

            “ไต๋ ส่งวิทยุบอกเรือลำอื่นที่วิ่งผ่านพิกัดนี้ด้วยว่า ให้ช่วยดูด้วยเผื่อเห็นไอ้เอียดมันลอยคออยู่” เขาส่งเสียงบอกไต้ก๋งที่อยู่บนสะพานเรือ

            “ได้ครับ เถ้าแก่” เสียงไต้ก๋งเรือดังผ่านคลื่นลมออกมาจากเก๋ง

            ลูกเรือวางอวนล้อมรอบเรือในตอนบ่ายจัดของวันอันเลวร้ายจนเวลาผ่านไปเกือบจะรุ่งสางของอีกวัน คืนนั้นไฟสปอตไลท์ทุกดวงบนเรือถูกสาดแสงส่องลงไปยังพื้นน้ำทะเลจนทำให้รอบเรือดูสว่างไสวราวกับกลางวันแต่กระนั้นก็ไม่มีใครเห็นร่างของไอ้เอียดลอยขึ้นมา

            แต่ภายในรัศมีของวงอวนที่ล้อมไว้ตอนนี้เหมือนมีแรงกระชากดึงให้เรือเคลื่อนไหว เถ้าแก่เริญได้สั่งให้ลูกเรือเดินเครื่องสู้กับแรงดึงอันลึกลับใต้น้ำ

            “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่รึ เลก็เงียบสงบดีไม่มีคลื่นลม แต่เรือโคลงเคลง เหมือนกับมีอะไรดึงอวนอยู่นะไต๋” เขาถามไต้ก๋ง

            “ใช่ครับเถ้าแก่ ผมก็ประหลาดใจและรู้สึกแบบนั้น”

            “งั้นสั่งให้ยิเนียร์เร่งเครื่องสู้มัน แล้วไต๋เอาเรือออกจากวงอวนเบนหัวเรือเข้าหาฝั่ง” เขาสั่งไต้ก๋ง

“แล้วเรื่องไอ้เอียดละ” ไต้ก๋งถามกลับ

            “มันจนปัญญาแล้ว พวกเราพยายามหากันทั้งคืนแล้วยังไม่เห็นวี่แวว ต้องยกเลิกการหาไปก่อนหรือไม่ถ้าไอ้เอียดเป็นศพก็คงติดอยู่กับอวนนั่นละ แต่ถ้าหากอยู่แบบนี้กูว่ามีหวังเรือจมได้เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรลึกลับกำลังดึงเรือหรือเล่นงานพวกเราอยู่” เขาตอบและบอกการตัดสินใจ

            “เอาพันนั้นเหรอเถ้าแก่ เราไม่ตัดอวนทิ้งเหรอ ? มันน่าจะปลอดภัยกว่านะ” เขาถามเถ้าแก่เพื่อให้แน่ใจก่อนเสนอความคิด

            “ไม่ต้อง ลองสู้กับมันแล กูอยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่”

            ไต้ก๋งกดกริ่งยาวเป็นรหัสเพื่อส่งสัญญาณลงไปยังห้องใต้ท้องให้ช่างเครื่องเข้าเกียร์เดินหน้าและเร่งเครื่องเรืออย่างเต็มกำลังส่วนเขาก็เบนหัวเรือแล่นเข้าหาหาดทรายทอดตัวเป็นแนวสีงาช้างอยู่ลิบ ๆ เรือ ป.กล้าสมุทรเร่งเครื่องจนควันโขมงกลางทะเลลากผืนอวนที่หนักอึ้งและยื้อกับแรงลึกลับอันแสนประหลาด จนตะวันใกล้เที่ยงในที่สุดไต้ก๋งก็พาเรือเข้าสู่ฝั่งได้สำเร็จ

            บนผิวน้ำของอ่าวไทยในยามนั้นสงบนิ่งและราบเรียบไร้คลื่นลมจัดจ้านเหมือนที่เถ้าแก่เริญบอกก็จริงแต่ทว่าภาพเบื้องล่างใต้ท้องน้ำกลับผิดกันราวฟ้ากับดิน มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรงผิดปกติน้ำทะเลปั่นป่วนพื้นทรายและสาหร่ายเหนือก้นทะเลกำลังขุ่นข้นไปด้วยตะกอนนอนก้น ฝูงกุ้ง ฝูงปลาเมื่อตอนกลางวันแตกตื่นกระจายไปทั่วทุกทิศ ยักษ์ใหญ่สีเทาเข้มลายจุด มันกำลังดิ้นรนอย่างเจ็บปวดและทุรนทุรายอยู่ใต้ท้องทะเล ส่วนหัวที่ใหญ่โตมหึมาของมันติดอยู่ในอวนอย่างแน่นหนา ลำตัวพลิกคว่ำตะแคงทำให้เห็นท้องสีขาวเนียนและดวงจุดราวกับหมู่ดาวนับพันดวงเรียงรายอยู่บนผิวสีเทาอันหยาบหนา ครีบคู่หน้าซึ่งใหญ่โตเหมือนกับใบพายยักษ์ข้างหนึ่งกำลังเข้าไปติดพันพัลวันอยู่กับตาข่ายไนล่อนสีเทามันเป็นตาข่ายสำหรับการล่าเหยื่อของเรือ ป.กล้าสมุทรที่ลูกเรือปล่อยลงมาเมื่อตอนย่ำค่ำที่ผ่านมาและตอนนี้เจ้ายักษ์ใหญ่มันกำลังอยู่ในอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงลงไปมาก แต่ก็ยังพยายามดิ้นรนเพื่อให้ร่างกายอันใหญ่โตนั้นหลุดพ้นจากพันธนาการของตาข่ายมรณะอันนี้ไปให้ได้ ดูเหมือนโชคชะตาไม่เข้าข้างยักษ์ใหญ่ลายจุดมันออกแรงดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุด แล้วยังจะต้องใช้พละกำลังต่อสู้กับแรงเครื่องยนต์ที่มีกำลังมหาศาลบนผิวน้ำที่คอยฉุดลากมันไปอย่างไม่ปราณี

            เกราะอันแข็งแรงที่คอยปกป้องดวงตาคู่เล็กของมันค่อย ๆ หรี่หลับลง มันกำลังหวนคิดถึงการเดินทางอันแสนยาวนานและอิสรเสรีในโลกใต้ทะเลสีครามกว้างไกล มันคิดถึงเพื่อนร่วมทางมากมายในทะเลเขตร้อนอันอบอุ่นและเวิ้งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล คิดถึงเต่ามะเฟืองสีน้ำตาลอ่อน ปลาโลมาสีดำขลับสองแม่ลูก ปลาหมอทะเลตัวลายตาโปน ปลากระเบนจุดสีฟ้าบนพื้นทรายก้นทะเลและฝูงปลาทูน่าหางแข็งอีกหลายพันหลายหมื่นตัวในขณะที่มันกรองกินแพลงก์ตอนอย่างมีความสุขใกล้เกาะมัลดีฟส์ มันคิดถึงเมื่อตอนกำลังว่ายสะบัดครีบหางอย่างอ่อนโยนเคียงคู่ไปกับบรรดาเหาฉลามตัวเล็กจิ๋วไปช้า ๆ ผ่านแนวโขดหินและปะการังหลากสีในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องพื้นน้ำเป็นสีทองแถบหมู่เกาะมาลาปัสกัวในฟิลิปปินส์และจำได้ว่าเมื่อช่วงกลางฤดูร้อนของปีกลายที่ทะเลเปลี่ยนสีมันก็ไปล่าฝูงกุ้งเคยแถว ๆ ช่องแคบมะละกามันว่ายเลยขึ้นไปถึงหมู่เกาะสิมิลันจากนั้นมันก็วนกลับมายังอ่าวไทยอันสวยงามอีกครั้งหนึ่ง

            มันจำไม่ได้ว่าตลอดในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมามันเดินทางมากี่ร้อยกี่พันไมล์ทะเล มันไม่เคยรับรู้ว่าพวกมนุษย์ได้ตั้งฉายาให้มันว่าอะไรบ้างหรือจะให้เกียรติว่ามันเป็นสัตว์นำโชคหรือแม้กระทั่งยกย่องว่ามันเป็นปลาเทพเจ้า มันเพียงแต่จำได้ว่าตลอดชีวิตอันยาวนานที่ผ่านมามันไม่เคยทำร้ายมนุษย์คนใดเลย 

            ล่าสุดมันจำได้ว่าเมื่อตอนรุ่งสางในขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการกางปากกรองกินแพลงก์ตอนและกุ้งเคยฝูงใหญ่อย่างสุขใจอยู่กลางอ่าวไทยสีฟ้า รอบ ๆ ตัวมันเต็มไปด้วยฝูงปลากะมงขาวหลายร้อยตัวที่ว่ายวิบวับเป็นสีเงินวาวเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่เพิ่งจะจับขอบฟ้า แล้วมันรู้สึกว่าตัวเองดันทะเล่อทะล่าไปชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่ลอยเป็นเงาดำตะคุ่มอยู่บนหัวถึงสองครั้งและมันก็พยายามว่ายหนีออกไปให้ห่าง แต่ก็ว่ายไปได้ไม่เร็วนัก

            ดูเหมือนจะโชคร้ายเสียแล้วเมื่อมันรู้ตัวว่ากำลังว่ายเข้าไปติดกับเชือกไนล่อนเส้นสีเทาที่ถักเป็นตาข่ายกั้นขวางอยู่และถูกฉุดลากด้วยกำลังอะไรสักอย่างที่เกินครีบหางจะต้านทานไหว

            มันรู้สึกได้ว่าลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่กำลังจะหมดสิ้นลงในตอนนี้ ครีบเหงือกทั้งห้าช่องของมันเริ่มทำงานช้าลงอย่างผิดปกติ มันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงแว่วของคลื่นทะเลอันคุ้นชิน มันมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่สีครามอันงดงามของผืนน้ำรอบตัว มันไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะสะบัดหางให้กระดิกไหวได้สักนิดเดียว มันรู้สึกได้ว่าหัวใจดวงแกร่งที่ทำงานมายาวนานกำลังจะหยุดเต้น มันรู้สึกว่าเหนื่อยจริง ๆ เหนื่อยเหลือเกินมันบอกกับตัวเอง ความทรงจำสีเทาของมันก็ค่อย ๆ เลือนหายไปและมันรู้สึกว่าขณะนี้ทุกอย่างรอบตัวว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยและในที่สุดโลกใต้สมุทรก็ดับมืดลง

            เรือ ป.กล้าสมุทรเข้าเทียบท่าสะพานปลาพร้อมกับลากอวนอันหนักอึ้งติดท้ายเรือมาด้วย ทุกคนโดยเฉพาะเจ้าของเรือผิวดำพุงพลุ้ยซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่หวังใจว่าจะต้องมีร่างอันไร้วิญญาณของเอียดลูกน้องที่จมทะเลหายไปกลางอ่าวเมื่อวานนี้ติดมากับตาข่ายสีเทานั้นด้วย

            “เอ้า ! เตรียมเชือกหูอวนขึ้นไปใช้กับกว้านบนแพกว้านอวนขึ้นมา เพราะน้ำหนักอวนเที่ยวนี้มันมากเหลือเกิน” เถ้าแก่เริญสั่งลูกน้องในเรือ

            “เอ้า... ฮุยเลฮุย ! ฮุยเลฮุย ! ...เอ้า... ฮุยเลฮุย ! ฮุยเลฮุย !” เสียงชายฉกรรจ์หลายสิบคนที่เปล่งออกมาพร้อม ๆ กันในขณะที่กำลังกว้านดึงตาข่ายขึ้นจากน้ำ ดังเป็นจังหวะลั่นสะพานปลา

            เวลาผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเดียวอวนสีเทายาว 300 เมตรก็ถูกกว้านดึงขึ้นมาพ้นน้ำ ทุกคนบนสะพานปลาต่างตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า มันเป็นปลาฉลามสีเทาลายจุดขาวขนาดยักษ์ ตัวมันใหญ่โตราวกับรถบัสติดอวน

            “โอ้โฮ !” เสียงอุทานของใครต่อใครดังลั่นไปทั่วท่าเทียบเรือ

            “มิน่าละ ถึงทำให้เรือโคลงเราต้องเร่งเครื่องสู้ มันใหญ่โตขนาดนี้นี่เอง” เสียงเถ้าแก่พูดกับไต้ก๋ง

            “ตั้งแต่ออกเรือมาผมไม่เคยพบเห็นปลาฉลามที่ใหญ่โตมหึมาขนาดนี้มาก่อนเลย” ไต้ก๋งพูดกับเถ้าแก่

            “นี่ถ้ามันพุ่งชนเรือเราแรง ๆ เรือถึงกับจมได้เลยนะครับ” เสียงลูกเรือคนหนึ่งพูดขึ้นมา

            “ใช่” เถ้าแก่เริญตอบไป “ช่วยกันลากมันขึ้นมาไว้บนที่ว่างข้าง ๆ” เขาสั่งลูกน้อง

            แต่สิ่งที่หลายคนบนเรือกำลังหาอยู่คือศพของเอียด กลับไม่มีอยู่ในอวนที่ถูกกว้านขึ้นมาไร้วี่แววของไอ้เอียด ไม่มีใครพบเห็นศพของเอียดติดอยู่ในกองอวนปากนั้น

            ข่าวเรื่องปลาฉลามยักษ์ติดอวนเถ้าแก่เริญแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทั่วหมู่บ้าน บ่ายวันนั้นผู้คนในหมู่บ้านต่างมุ่งตรงไปยังเทียบเรือเพื่อดูฉลามยักษ์ให้เห็นกับตาด้วยความตื่นเต้นในจำนวนนั้นมีคนอยู่สองคนที่พกเอาน้ำตาและความเศร้าโศกไปด้วยก็คือนางจวบและกวาง เมียกับลูกของไอ้เอียดซึ่งเถ้าแก่เริญได้ให้ไอ้พรรีบไปบอกตั้งแต่เรือเข้าเทียบสะพานปลาว่าผัวมันได้หายไปตั้งแต่เมื่อวาน เถ้าแก่เริญสั่งให้ลูกน้องช่วยกันผ่าท้องฉลามเพราะคิดว่าเจ้าวายร้ายยักษ์ตัวนี้ได้กลืนกินเจ้าเอียดลงไปอย่างแน่นอน แต่ก็ไร้ประโยชน์อันใดในท้องของปลาฉลามยักษ์ตัวนั้นไม่มีศพหรือชิ้นส่วนใด ๆ ของมนุษย์มีเพียงแต่แพลงก์ตอนและกุ้งเคยก้อนใหญ่เท่านั้น

            “อ้าว... แล้วไอ้เอียดผู้สักอักขระขอมหลายบรรทัดรอบตัว หายไปไหน?” คำถามที่ยังเป็นปริศนาของคนในเรือ ป.กล้าสมุทรและอีกหลาย ๆ คนบนท่าเรือสิชล

            เช้าวันรุ่งขึ้นวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2521 หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่สีชมพูฉบับหนึ่งลงข่าวเรื่องฉลามยักษ์ หรือที่เรียกว่า ฉลามวาฬ วัดขนาดความยาวได้ 12 เมตร น้ำหนักประมาณ 1,000 กิโลกรัม ปากกว้าง 1.5 เมตร ติดอวนของชาวประมงใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และสิ้นใจตายในเวลาต่อมา เจ้าของเรือบอกว่าไม่ทราบจะจัดการซากอย่างไร ? ขายใครก็ไม่มีคนซื้อ ทิ้งไว้ก็เน่าส่งกลิ่นเหม็นไปทั้งตำบล จากนั้นก็ถูกลากออกไปทิ้งกลางทะเลอ่าวไทยสีคราม

            “โอ้... อนิจจาชีวิตนักเดินทางแห่งท้องทะเล” ข้าพเจ้าได้แต่รำพึงด้วยความเศร้าในหัวใจ

 

                        .....................................................................

 

            หมายเหตุ :

            1 เครื่องยนต์คัมมิ้นส์ (Cummins) เครื่องยนต์ดีเซลคุณภาพสูงสัญชาติอเมริกันมีจำหน่ายมากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก

            2 ไต๋ คำย่อมาจากคำว่า ไต้ก๋งเรือ หมายถึงนายท้ายเรือประมงหรือเรือจับปลา เป็นผู้นำในเรือซึ่งลูกเรือทุกคนจะต้องฟังคำสั่ง ทำหน้าที่ประจำอยู่บนสะพานเดินเรือ

            3 ยิเนียร์ เป็นคำเรียกย่อมาจากคำว่า เอนจิเนียร์ เป็นคนที่มีความชำนาญในเรื่องเครื่องยนต์ทำหน้าที่ควบคุม ซ่อมแซม บำรุงรักษาเครื่องยนต์ ชาวเรือใช้เรียกช่างเครื่องในเรือหาปลาหรือเรือประมง

 

.....................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์