เรื่องสั้น : เป็นไปตามกรรม : ปิติ ระวังวงศ์

เรื่องสั้น : เป็นไปตามกรรม : ปิติ ระวังวงศ์ 

            ผมเพิ่งกลับจากงานศพแม่ของเพื่อนนักเขียน หญิงสาวคนรักของผมซึ่งรู้จักมักคุ้นกับน้องชายของเพื่อนนักเขียน ขอตามไปร่วมงานด้วย เธอเป็นเจ้าหน้าที่ประจำองค์กรแห่งหนึ่งที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ในระหว่างนี้ กำลังลงพื้นที่เพื่อทำงานเก็บสำรวจข้อมูลสำหรับโครงการงานวิจัย นานร่วมเดือนแล้ว ที่เธอมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าของผม ผมรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวเพื่อนนักเขียนมาเกือบยี่สิบปี เมื่อคราวแรกที่เริ่มหัดเขียนหนังสือ เขาก็ช่วยชี้แนะและเป็นกำลังใจ ครอบครัวของเขาใช้พื้นที่หน้าบ้านซึ่งตั้งอยู่ในย่านการค้าของเมือง เปิดเป็นแผงขายหนังสือพิมพ์ และร้านขายของชำ บ่อยครั้งที่ผมและเพื่อนคนอื่น ๆ ใช้พื้นที่ตรงนั้น ตั้งวงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งเพลงที่ฟัง หนังที่ดู และหนังสือที่อ่าน บางครั้งชวนกันวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงทัศนคติทางการเมือง เพื่อนบางคนก็คิดอ่านพูดคุยด้วยแนวความคิด และถ้อยคำที่สุ่มเสี่ยง จนในบางคราวพ่อของเพื่อนนักเขียน ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ ต้องลุกเดินออกมาปราม หรือบางครั้งก็นั่งลงร่วมวงสนทนา

            “ที่ไม่ค่อยได้พบเจอกัน ก็ด้วยเพราะเหตุนี้แหละ” เพื่อนนักเขียนพูด เมื่อเดินมาต้อนรับทักทาย ผมมองจ้องตั้งแต่หัวจดเท้า จากเดิมที่อ้วนท้วมสมบูรณ์ สองแก้มที่อวบอูม ก็แลดูซูบตอบจนแปลกตา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถามไถ่หรือเล่าสู่กันฟัง แต่ผมก็พอจะรู้ว่า กว่าหกเดือนที่ผ่านมา เขาใช้เวลาในห้วงนั้น ดูแลปรนนิบัติแม่ที่เจ็บป่วย และรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ก่อนนี้ตอนเย็นหลังเลิกงาน และวันหยุดประจำสัปดาห์ ผมจอดรถหยุดแวะ หรือไม่ก็ออกไปนั่งพูดคุยกับเพื่อนนักเขียนอยู่เป็นประจำ หลัง ๆ มานี้ ผมติดพันอยู่กับทั้งหน้าที่การงาน และเรื่องส่วนตัว จึงเป็นเหตุให้ห่างหายไป 

            “แม่ป่วยเป็นอะไรหรือ” ผมถาม เพื่อนนักเขียนหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ท่าทางอิดโรย และเหนื่อยล้า แววตาหมองเศร้า ผมเอื้อมมือตบไหล่เขาเบา ๆ เขาพยักหน้าแล้วยิ้ม ผมยิ้มตอบ หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก ยิ้มแล้วส่งสายตาเป็นกำลังใจ

            “มะเร็ง” เขาตอบสั้น ๆ ผมคิดจะถามต่อ แต่เปลี่ยนใจ น้องชายของเพื่อนนักเขียนเดินเข้ามาทักทาย พร้อมยกสำรับกับข้าวชุดหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะ เขาทำท่าว่าจะนั่งร่วมโต๊ะ แต่ญาติคนหนึ่งร้องขานชื่อ แล้วยืนโบกมือกวักอยู่ไกล ๆ ก่อนเดินกลับออกไป เขากระซิบกระซาบบางอย่างกับหญิงสาว ทั้งสองคนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเรียนจบมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน น้องชายของเพื่อนนักเขียนเป็นนักกิจกรรม หญิงสาวเล่าให้ฟังว่าเคยร่วมกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาด้วยกันหลายครั้ง ผมได้พบเจอรู้จักกับหญิงสาวในค่ายวรรณกรรมของสถาบันแห่งหนึ่ง เธอเข้าร่วมงานในฐานะนักข่าวฝึกหัด ผมติดตามนักเขียนรุ่นพี่คนหนึ่งมาเป็นผู้ช่วยวิทยากร พูดคุยกันถูกคอก็เลยแลกเบอร์โทรให้กันไว้

            “อาหารมังสวิรัติ” เพื่อนนักเขียนบอก ผมพยักหน้า มองสำรับที่วางบนโต๊ะ หญิงสาวคุยกับเพื่อนนักเขียนถึงอาหารจานหนึ่งที่วางบนโต๊ะ แต่ผมฟังได้ยินไม่ค่อยถนัด ครอบครัวเพื่อนนักเขียนถือมังสวิรัติ พ่อของเขาทำงานเผยแพร่ธรรมะ ตามแบบอย่างนิกายมหายาน อยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง

            “...วันนี้ฉันขอให้เธออยู่เคียงข้างฉัน ให้ฉันได้เดินทางไปสู่หนทางสุดท้ายของชีวิตด้วยความถูกต้อง ครบถ้วนตามประเพณีเท่านั้น สำหรับความรักและความอดทนของเธอ ฉันจะตอบแทนเธอด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ของฉัน ในรอยยิ้มน้อย ๆ นั้นตกผลึกเป็นความรักอันนุ่มลึก แนบแน่น มั่นคง ที่ฉันมอบให้เธอตลอดไป อย่างไร้ขีดจำกัด ไร้กาลเวลา ไร้ที่สิ้นสุด...”

            ถ้อยความนี้ เป็นข้อเขียนจากหนังสือเล่มหนึ่ง ที่พ่อของเพื่อนนักเขียนแปล เรียบเรียง และตีพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน ผมเคยได้รับหนังสืออภินันทนาการมาหลายเล่ม

 

            “เป็นเวลานานที่แม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วย” เพื่อนนักเขียนพูด ผมวางมือจากจาน ช้อน ที่เอื้อมหยิบ หันมาสนใจที่จะฟัง แต่เขากลับนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ

            “มะเร็งเป็นโรคทางร่างกาย แต่สิ่งที่ก่อให้เกิดผลร้ายที่สุด มาจากการที่ผู้ป่วยมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับโรค” หญิงสาวพูดขึ้นมาบ้าง ผมกับเพื่อนนักเขียนหันมาสนใจฟัง เมื่อเห็นท่าทีนั้น เธอก็พูดต่อ “เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งก็เจ็บป่วยด้วยโรคนี้ แต่เท่าที่เห็น เขาหาได้มีชีวิตอย่างคนป่วยเลย เขาอยู่เพื่อสนุกกับงาน และหาความสุข เมื่อมีคนถามเขาก็บอกว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นภาวะธรรมชาติ ทุกศาสนาล้วนมีหลักการพิจารณาวาระสุดท้ายของมนุษย์ด้วยความสงบ ถือเป็นเครื่องช่วยในการเจริญสติที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วย และคนใกล้ชิดให้ได้พิจารณาไปพร้อม ๆ กัน เขาเรียนรู้และเข้าใจหลักธรรมที่ว่าด้วยการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในระหว่างที่เจ็บป่วย”

            “คงไม่ชินกับตำรับมังสวิรัติ” น้องชายเพื่อนนักเขียนพูด เมื่อเดินกลับเข้ามา แล้วมองสำรับกับข้าวที่วางบนโต๊ะ ซึ่งผมกับหญิงสาวตักกินแต่เพียงอย่างละนิดหน่อย

            “ปกติก็ไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักกับผลไม้ ว่าจะฝึกกินมังสวิรัติให้เป็นนิสัย” หญิงสาวตอบ ในขณะที่ผมนั่งครุ่นคิดติดพันอยู่กับเรื่องบางเรื่อง

            “อาหารมังสวิรัติเป็นกุญแจที่จะเปิดประตูทุกบาน และเป็นหลักประกันของสุขภาพอันสมบูรณ์ ความเจริญทางวัตถุ ความสมดุลทางปัญญา ความบริสุทธิ์ ความดี ความเมตตาต่อสัตว์ และมนุษย์ ในยุคแห่งความหลงอวิชชา ความบ้าเลือด และความทุกข์ทรมาน อาหารมังสวิรัตินั้นมีความบริสุทธิ์ ส่งเสริมจิตใจให้เกิดความเมตตา ความสงบเย็น สันติภาพทางจิตวิญญาณ และจำเป็นมากในการยกระดับจิตวิญญาณของคนอีกด้วย เพราะเชื่อกันว่าสัตว์ทั้งหลายมีวิญญาณ” พ่อของเพื่อนนักเขียนร่วมแลกเปลี่ยน ในคราวหนึ่งที่ผมและเพื่อน ๆ ตั้งวงพูดคุยกันที่หน้าบ้าน

            “ยังทำงานอ่านเขียนอยู่หรือเปล่า” เพื่อนนักเขียนชวนคุยต่อ ในขณะที่น้องชายของเขาลุกขึ้นเดินเลี่ยงออกไปคุยโทรศัพท์

            “ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อ่านเขียนไปเรื่อย ๆ ตามประสา” ผมตอบ ญาติคนหนึ่งเดินมากระซิบกระซาบบางอย่าง เขาลุกจากเก้าอี้เดินตามญาติคนนั้นเข้าไปในศาลาตั้งศพ ผมนั่งมองตามหลัง เมื่อกวาดสายตาไปหยุดที่โลงไม้ซึ่งตั้งอยู่กลางศาลา ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า คราวหนึ่งเมื่อรู้ว่าผมกำลังหาบ้านเช่า แม่ของเพื่อนนักเขียนก็แนะนำบ้านเช่าหลังหนึ่งให้

            “เจ้าของเป็นญาติกัน คนที่เช่าอยู่ค้างค่าเช่ามาหลายเดือนแล้ว เขาประสบอุบัติเหตุต้องนั่งรถเข็น อาศัยใช้จ่ายกินอยู่กับเงินชดเชย ที่ได้รับจากนายจ้างและประกันสังคม ลูกชายหญิงที่แต่งงานออกเรือนก็เหินห่างไป เมียที่อยู่ด้วยกันก็หาได้ใส่ใจดูแลเท่าที่ควร จะเร่งรัดเกินไป ก็ดูกระไรอยู่เหมือนกัน”

            แม่ของเขาเล่าความ ได้ยินได้ฟังแล้ว ผมก็รู้สึกหดหู่ใจ

 

            “หาบ้านเช่าได้แล้ว กำลังเตรียมที่จะย้าย” ผมบอก เมื่อเพื่อนนักเขียนถามข่าวคราว

            “เมื่อวันก่อนเข้าไปคุยเรื่องค่าเช่าที่ค้าง ถ้ายังไม่จ่ายก็คงต้องขอให้ย้ายออก”

            ผมนั่งนิ่งฟัง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด เพื่อนนักเขียนมองสบตาเหมือนหยั่งเชิง

            “เพิ่งรู้ว่าน้องแพรเป็นหลานสาวของคุณ” เขาชวนคุยต่อ

            “น้องแพรก็เคยพูดให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าเจอกับคุณกับแม่อยู่บ่อย ๆ” ผมบอก แม่ของเขาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ เงยหน้ามอง ยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อผมส่งยิ้มทักทาย

            “รู้สึกถูกชะตากับเด็กผู้หญิงคนนี้เสียเหลือเกิน พูดคุยได้สนิทใจเหมือนรู้จักกันมานาน ไม่นึกว่าจะเป็นคนกันเอง” แม่ของเพื่อนนักเขียนพูด หนังสือที่เปิดอ่าน วางกางคว่ำหน้าอยู่บนตัก หลานสาวของผมทำงานในมินิมาร์ทที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แม่ของเพื่อนนักเขียนทำขนมหลายอย่างไปวางฝากขาย จึงได้รู้จักมักคุ้นกัน หลาย ๆ ครั้งที่ผมแวะมาหาเพื่อนนักเขียน ก็มักจะได้ลิ้มชิมรสขนมอร่อยๆ ซึ่งเป็นฝีมือแม่ของเขาอยู่เป็นประจำ ผมติดอกติดใจความอร่อยของขนมเต๋าทอดร้อนๆ ที่เพิ่งยกขึ้นจากกระทะ ความสดใหม่และกลิ่นเนื้อแป้งที่หอมกรุ่น ในขณะที่หญิงสาวชื่นชอบขนมโก๋อ่อน ที่เนื้อแป้งหอมหวานและนุ่มลิ้น ครอบครัวเพื่อนนักเขียนสืบทอดเคล็ดลับนี้มาจากรุ่นสู่รุ่น

            “นี่ก็ว่าจะไปงานศพลุงของน้องแพร” ผมบอก เพื่อนนักเขียนมองจ้องหน้า เหมือนมีคำถาม

            “เขาพิการนั่งรถเข็น ขยับรถเข้าใกล้หน้าต่าง ผูกเชือกกับเหล็กดัด คล้องเข้ากับคอ แล้วเลื่อนรถเข็นออก คนข้างบ้านนึกแปลกใจ เมื่อไม่เห็นออกมานั่งเล่นที่หน้าบ้าน เหมือนอย่างทุกวัน ตะโกนเรียกก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เมื่อเดินเข้ามาดู จึงได้รู้ว่าเขาสิ้นลมหายใจไปเสียแล้ว”

            ผมบอกเล่าตามที่ได้ฟังมาจากหลานสาว เขาหันไปสบตาคนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ผมหันมองตาม แม่ของเขาก้มหน้าหรุบต่ำ ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้พับ เดินหายเข้าไปหลังบ้าน เพื่อนนักเขียนเสหน้ามองไปทางอื่น เมื่อผมหันกลับมา

            “ตั้งศพที่ไหน” เขาถามไม่เต็มเสียง สีหน้าแววตา ดูแปลกไป

            “บ้านพี่สะใภ้ ใกล้ ๆ กับบ้านพ่อแม่ของผมนั่นแหละ”

            ผมหยุดคำที่พูด ชั่วครู่หนึ่ง ชะเง้อหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน เมฆฝนกำลังตั้งเค้า ลมเย็นพัดโชยมาเบา ๆ

            “คืนสุดท้าย พรุ่งนี้เผา” ผมพูดต่อ เพื่อนนักเขียนลุกขึ้นยืน เดินออกมาหยุดยืนริมทางเท้าหน้าบ้าน ผมลุกขึ้นเดินตามออกมายืนอยู่เคียงชิด เขาเหลือบตามองกลับเข้าไปในบ้าน ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้า

            “ฝนกำลังจะตก” เพื่อนนักเขียนพูดเสียงสั่น ๆ ผมยืนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้วยเมฆฝน ก่อนขอตัวกลับเข้าบ้าน

 

            “คุณยังจำเรื่องผู้ชายนั่งรถเข็น ที่เคยเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า” เพื่อนนักเขียนถาม

            “ทำไมหรือ” ผมถามกลับ นานเกือบร่วมเดือนแล้ว ที่ผมไม่ได้หยุดแวะพูดคุยหรือทักทายกัน

            “เพิ่งรู้ว่าเป็นคนเดียวกันกับลุงของน้องแพรที่ผูกคอตาย” เขาพูดต่อ ผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แม่ของเขาเดินออกมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วพูด “ไม่รู้เหมือนกันว่าการเร่งรัดค่าเช่าบ้านที่ค้าง แล้วยื่นคำขาดให้ย้ายออก จะเป็นเหตุให้เขาคิดทำอย่างนั้นหรือเปล่า”

            “เกิดมาเป็นคนหนีไม่พ้นความตาย” ผมพูดขึ้นลอย ๆ เหมือนตั้งใจที่จะพูดให้ตัวเองฟัง

            “แล้วรู้จักสนิทสนมกับคนที่ตายหรือเปล่า” แม่ของเพื่อนนักเขียนถาม น้ำเสียงที่แหบแห้ง ฟังสั่นเครือ

            “แต่ก่อนนั้น ทำงานเป็นพนักงานขับรถขนส่งสินค้า เป็นคนรักสนุก พูดคุยสรวลเสเฮฮา ขับรถขึ้นเหนือล่องใต้ มีเรื่องราวมากมายเก็บเอามาเล่าให้ฟัง ที่ใช้ชีวิตสำเริงสำราญ ไปไหนมาไหนได้สะดวกสบาย ก็ต้องแปรเปลี่ยนไป หลังประสบอุบัติเหตุแล้วต้องกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็น กินนอนหรือขี้เยี่ยว ก็ต้องพึ่งคนอื่น คนใกล้ชิดต่างก็รู้ว่าเป็นเรื่องยาก ที่จะทำใจให้ยอมรับได้ หลายคนที่เคยแวะมาเยี่ยมเยียน ก็เล่าให้ฟังว่าบ่อยครั้งที่เขามักพูดบ่น และทดท้อในโชคชะตาตัวเอง แต่ไม่มีใครคิดเฉลียวใจ ว่าเขาจะปลดปล่อยตัวเองด้วยวิธีการนี้”

            “เขาคงตกอยู่ในห้วงทุกข์และความรู้สึกที่ทรมาน” แม่ของเขาพูดเสียงสั่น ๆ เพื่อนนักเขียนมองสบตาผม ก่อนก้มหน้าจัดเก็บหนังสือที่วางบนแผงให้เข้าที่เข้าทาง ในขณะที่ผมจ่อมจมอยู่กับบางความทรงจำอันเกี่ยวเนื่องกับคนที่ตาย จำได้ว่าเมื่อครั้งเด็ก ๆ ทุกครั้งที่เสร็จสิ้นงานขนส่งสินค้า แล้วได้กลับมาหยุดพักผ่อนที่บ้าน เขามักจะแลกธนบัตรใบละสิบบาท ยี่สิบบาท ติดกระเป๋าเอามาจ่ายแจกหลาน ๆ จนถ้วนทั่ว

            “ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องบางเรื่องของคนบางคน จะเชื่อมโยงเกี่ยวข้องเหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน หากไม่ใช่พรหมลิขิต ก็คงเป็นบุญกรรมที่สร้างทำกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน”

            หญิงสาวตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

            “อันที่จริงแล้ว ชีวิตและความตายล้วนแต่มีค่าเท่าเทียมกัน” ผมพูด หญิงสาวค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้น เอนหลังพิงพนักเตียง ผมขยับตัวลุกตาม เอื้อมมือหยิบหมอนใบใหญ่มาหนุนหลัง ผมกับเธอเพิ่งเสร็จสิ้นการร่วมรักกัน ทั้งผมและเธอยังคงอยู่ในอาการอ่อนระโหยโรยแรง เธอชอบที่จะให้ผมโอบกอดและก่ายเกย หลังจบสิ้นกิจกรรมเสพสม ซึ่งผมเองก็รู้สึกหลงใหลกรุ่นกลิ่นที่กำจายออกมาจากเรือนร่างเปลือยเปล่าของเธอ

            “ความตายเป็นทางออกของคนสิ้นหวังซึ่งไม่รู้ว่าจะดำรงชีวิตให้ผ่านความทุกข์ไปได้อย่างไร” หญิงสาวหันมามองสบตา หลังพูดจบ ผมพยักหน้าบอกให้รู้ว่าคิดเห็นไม่ต่างกันกับเธอ

            “ความกลัว ความเขลา ความเหงาและความรัก มักจะเป็นเหตุตั้งต้น แห่งโศกนาฏกรรมในชีวิตของคนเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือนิยายประโลมโลก เหมือนเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่เกี่ยวกับใคร แต่ทว่าแท้จริงแล้ว มันเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย” ผมพูด ในขณะที่มองจ้องเนินอกเปลือยเปล่าของเธอ อย่างไม่วางตา

            “ความตายหาใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่การที่ต้องอยู่อย่างคนสิ้นหวัง ซึ่งมันเหมือนกับว่าตายไปแล้ว นั่นต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก ควรทำให้ทุกวันที่เรามีชีวิตอยู่เป็นโลกใบนี้ เหมือนกับว่าจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต เพื่อที่เราจะได้ทำชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่นั้น ให้มีความสุขเต็มที่”

            หญิงสาวที่เงียบฟังอยู่นาน เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

            “คิดอยู่เหมือนกัน ว่าจะเก็บเอามาเขียนให้เป็นเรื่องสั้นสักเรื่อง” ผมบอก เธอมองหน้า ท่าทางเหมือนกำลังใช้ความคิด ผมเอื้อมจับมือข้างหนึ่งของเธอมากุมเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างสบตากัน ผมสอดนิ้วประสานเข้ากับหว่างนิ้วของเธอ ในขณะที่เธอก็เกี่ยวประหวัดเป็นการตอบรับ ผมค่อย ๆ เหวี่ยงขาขึ้นทาบทับ ก่ายเกยและเกี่ยวประหวัดร่างเธอเข้ามาแนบชิด ลมหายใจอุ่น ๆ กระชั้นถี่ของเธอ ระบายแผ่วผ่านสัมผัสที่แผงอก ความใคร่ที่เพิ่งระงับด้วยกามกิจ ค่อย ๆ คุกรุ่นขึ้นมาอีกระลอก ผมปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกในห้วงนั้น เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ และใจปรารถนา โดยไม่กล้ำกลืนฝืนทน ปล่อยให้อารมณ์ไหลลื่น ไม่ปฏิเสธขัดขืน ซึ่งเธอเองก็แสดงออกในท่าทีที่ไม่ต่างกัน

           

            “เพราะโลกมันกลมหรือเป็นพรหมลิขิต ชื่อนี้น่าจะเหมาะ” หญิงสาวพูดโพล่งขึ้นมา ผมพยักหน้าเออออ เธอยิ้มอย่างพึงพอใจ หลายครั้งเหมือนกันที่เธอช่วยตั้งชื่อเรื่องงานเขียนของผม

            “โลกที่หมุนเปลี่ยนเวียนไป นำพาผู้คนให้มาพบเจอกัน มันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ” เสียงที่พูดของเธอฟังสั่นๆ ต่างฝ่ายต่างมองสบตากัน ผมเพ่งจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้น แล้วนึกย้อนทวนถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ทั้ง ๆ ที่คบหากันมามากกว่าห้าปี แต่ก็ไม่อาจระบุสถานะภาพของความสัมพันธ์ที่ชัดเจนได้ ดูเหมือนว่าทั้งผมและเธอ ตั้งใจที่จะปล่อยให้เซ็กส์เป็นพันธนาการหลวม ๆ ที่ผูกพันตัวเองเอาไว้

            “พื้นฐานของความรักคือเซ็กส์อย่างนั้นหรือ” หญิงสาวถาม

            “รักที่ปราศจากเซ็กส์ไม่ใช่ความรัก มันคือมิตรภาพ” ผมตอบ บ่อยครั้งอยู่เหมือนกันที่ผมกับเธอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ว่าความรัก ความเสน่หา และอารมณ์พิศวาสระหว่างชายหญิงคืออะไร

            “ไม่มีบทเรียนใดในโลก ที่จะสอนคนเราให้เข้าใจได้ลึกซึ้งเท่าความรัก ด้วยเพราะความรักเท่านั้น ที่จะเปิดดวงตามนุษย์ให้มองเห็นความละเอียดอ่อน” เธอพูดถ้อยคำนี้ ให้ได้ยินได้ฟังอยู่เป็นประจำ ซึ่งผมเองก็รู้ตัวดีว่าพฤติกรรมหยาบกระด้างของตัวเองโอนอ่อนผ่อนลง ตั้งแต่เมื่อได้คบหากับเธอ

            “.....ให้เรานึกภาพดอกไม้ที่งดงามเบ่งบาน นึกต่อไปอีกว่าดอกนั้นค่อยๆ โรยกลีบลงทีละกลีบ ส่วนที่ยังอยู่ก็เหี่ยวแห้ง สีที่เคยสวยก็ค่อย ๆ หมองคล้ำ นึกภาพจนกระทั่งเห็นดอกไม้เฉาลงในที่สุด ชีวิตที่ตื่นรู้ อยู่อย่างผู้ไม่ประมาท คือชีวิตที่ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมรับมือความตายทุกขณะ แต่ในขณะที่ยังไม่พร้อม ก็หมั่นฝึกอบรมจิตใจตนเองอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็ขวนขวายทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพราะตระหนักดีถึงความไม่แน่นอนของชีวิต.....”

            คำสาธยายธรรมของพระคุณเจ้า ที่ได้ฟังในงานศพแม่ของเพื่อนนักเขียน แวบเข้ามาในห้วงคิด แต่ครั้นพอหญิงสาวขยับกายเบียดเข้าแนบชิด แล้วค่อย ๆ เอนศีรษะซบลงบนหัวไหล่ ความคิดอ่านของผมก็กระเจิดกระเจิง กลิ่นกำจายของเพศตรงข้าม ปลุกอารมณ์และแรงปรารถนาในห้วงลึกของผมให้พลุกพล่าน

ผมซุกใบหน้าจูบลงเบา ๆ ที่ก้อนเนื้อบนเนินอกของเธอ ใช้ฝ่ามือลูบไล้ และบีบเคล้นเบา ๆ แล้วค่อย ๆ พรมจูบไล่ระเรื่อยต่ำลงมายังหน้าท้อง เธอขยับตัวพลิกพลิ้วตอบรับการโถมทับของผม

            “กามารมณ์เป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ เป็นสีสันของความรัก เป็นสัมผัสรักที่จับต้องได้ เป็นการแสดงออกถึงความรักด้วยภาษากาย ถ่ายทอดสัมผัสรสรักผ่านอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย คือผิวหนัง”

            ผมนึกถึงเรื่องที่เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเธอ แต่ก็ต้องละวางความรู้สึกนึกคิดเอาเพียงแค่นั้น เมื่อเธอพลิกร่างเหวี่ยงตัวขึ้นมานั่งคร่อมร่างของผม แล้วต่อจากนั้น บทรักอันเร่าร้อน ก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง

 

                                    .......................................................................................................

 



Link ที่เกี่ยวข้อง      

 

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

  

           วรรณกรรมออนไลน์