เรื่องสั้น : ท่าน(ไอ้)เทพ : พ่อ ไข่นุ้ย

เรื่องสั้น : ท่าน(ไอ้)เทพ : พ่อ ไข่นุ้ย

 

         ไอ้เทพกับผมเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนประถม สนิทกันมากเหมือนเป็นเงาตามตัวกันเลยทีเดียว มันเป็นคนเรียนหนังสืออ่อน แต่กะล่อน และเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ ครั้งหนึ่งครูวรรณี สอนวิชา สปช. สั่งให้หาเห็ดละแวกบ้านมาส่งเป็นการบ้าน ตอนส่งงาน ไอ้เทพมันลืมหา แต่ลอยหน้าลอยตาบอกครูวรรณีว่า มันกับผมช่วยหากันสองคน เลยพลอยได้คะแนนแบบหน้าด้าน ๆ ไปด้วย

         หลังจากจบประถมหก พ่อแม่ฝากผมให้ไปอยู่กับญาติในตัวจังหวัดเพื่อเรียนต่อ ชีวิตของแต่ละคนผกผันไปตามชะตากรรมกำกับ ห่างไกลจากบ้านเกิด เจอเพื่อนใหม่ โรงเรียนใหม่ สังคมใหม่ ผู้คนใหม่ ๆ กว้างใหญ่สลับซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม

         ระหว่างที่ผมเรียนต่อและไต่ระดับชั้นขึ้นไปเรื่อย ๆ จากระดับมัธยม เป็นอุดมศึกษา และพอจบก็ทำงานสร้างครอบครัวอยู่ในเมืองหลวง ภาพไอ้เทพเลือนรางห่างหายไปเหมือนกับภาพจำอื่น ๆ ในวัยเยาว์ แต่แล้วยุคสมัยเหมือนรู้ใจมนุษย์ผู้โหยหาความทรงจำในอดีต ผู้คนมีเฟซบุ๊คและไลน์ติดต่อสื่อสารกัน โทรศัพท์มือถือหน้าจอไฟฟ้ากลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามของร่างกาย ใครคิดจะหาใครที่ไหนก็ง่ายดายขึ้น ได้เจอเพื่อนเก่าในเฟซบุ๊ค จากคนหนึ่งไปสู่คนหนึ่ง และพอคุยกับทางแชทเกิดหวนรำลึกเมื่อครั้งอดีตตอนเรียนประถม เราตามหาเพื่อนๆ สมาชิกรวบรวมเท่าที่พอจะหาได้ ตั้งชื่อกลุ่มไลน์ว่า ‘ชั้นป.6 ห้องครูวรรณี’

          ผลคือ ผมได้รู้จากเพื่อนในกลุ่มไลน์ว่า ไอ้เทพ บัดนี้เปลี่ยนสถานะกลายเป็น พระอธิการเทพ สุภาจาโร เจ้าอาวาสวัดที่ติดกับโรงเรียนเราสมัยเด็กไปเสียแล้ว

         สรรพนามเวลาเราเพื่อนในกลุ่มไลน์พูดถึง ไอ้เทพ อุ้ย ! ท่านเทพ เลยเปลี่ยนไป และล้วนอีหลักอีเหลื่อใจเหลือประมาณเวลาย้อนพูดถึงวีรกรรมของท่านเทพที่ทำไว้สมัยเรียน

 

         เมษายน เทศกาลสงกรานต์ ตอนแรกผมไม่ค่อยคิดอยากจะกลับบ้านเท่าใดนัก หลังจากพ่อกับแม่เสีย ทรัพย์สมบัติที่ดินมรดกของพ่อแม่ถูกแบ่งกันตามสัดส่วน ผมขายที่ดินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ตัวเองให้พี่ชาย เพราะไม่อยากต้องรังวัดตัดแบ่งให้เสียเวลาวุ่นวาย ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างกรุงเทพฯกับบ้านเกิดอีก พอนานวันเข้า ความรู้สึกผูกพันกับบ้านที่ไม่มีพ่อกับแม่หย่อนยานลง ไม่รู้สึกอยากกลับบ้าน เวลาถึงหน้าทำบุญกระดูกพ่อแม่ปู่ย่าตายายเดือนห้าเดือนสิบตามความรับเชื่อโบราณของท้องถิ่น ก็หาวัดทำเอาในกรุงเทพฯ ใช้วิธีเขียนชื่อแล้วเผากรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ตามพระบอก ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์

         แต่พอรู้ว่า เพื่อนเก่าได้เป็นเจ้าอาวาส และเพื่อนคนนี้คือ ไอ้เทพ ผมเกิดอารมณ์อยากกลับไปทำบุญที่บ้านเกิดทันที  ก่อนหน้านั้นเวลาเพื่อนในออฟฟิศแจกซองผ้าป่ากฐินงานบวชงานบุญอะไรผมไม่เคยขาด ร่วมทำบุญใส่ซองให้ไปทุกครั้ง และถือว่าครั้งนี้ผมขอเอาคืนบ้าง ซองกฐินผ้าป่าไม่ต้อง บอกปากเปล่าเลยว่าจะกลับไปทำบุญที่วัดบ้านเกิด คือเอาเงินก้อนหนึ่งไปทำบุญ ใครจะร่วมเท่าไหร่ก็ได้ ผมถือว่าตัวเองมีเครดิตพอ ไม่เอาเงินทำบุญเข้ากระเป๋าตัวเองแน่ ๆ  ผลจากการคิดเรื่องนี้ เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่รักใคร่ชอบพอผมช่วยกันคนละนิดละหน่อย รักมากก็ให้แบงก์ใหญ่ รักน้อยก็ให้แบงก์ขนาดกลาง ๆ รวมกันเป็นจำนวนเกือบสี่หมื่นบาท ผมกะว่าถึงบ้านเกิดจะนำเงินจำนวนนี้ถวายเจ้าอาวาส หรือที่ผมเรียกในใจอย่างกลัวบาปกินหัวว่า ท่าน(ไอ้)เทพ

 

         พี่ ๆ น้อง ๆ ดีใจกันอย่างออกหน้าออกตาเมื่อเห็นผมกลับมาเที่ยวสงกรานต์ที่บ้าน สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเมื่อถูกระยะเวลาความห่างเหินคั่นกลาง พอได้เจอกันใหม่สร้างความชื่นมื่นเป็นที่สุด ซึ่งถ้าหากอยู่ใกล้กันทุกวันอาจทะเลาะถึงขั้นตัดพี่ตัดน้องกันก็ได้ เห็นมาหลายรายแล้ว ผมลางานมาบ้านครั้งนี้ห้าวัน โดยขับรถมาเอง และเลือกที่จะไม่เอาครอบครัวมาด้วย

         วันแรกที่มาถึงบ้าน ผมตั้งใจว่า หากสามารถปลีกตัวจากวงกินเลี้ยงพี่ ๆ น้อง ๆ หลาน ๆ และเพื่อนบ้านได้ จะรีบตรงไปยังวัดประจำหมู่บ้าน กราบเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าให้หายคิดถึง แต่จนแล้วจนรอด วงกินเลี้ยงไม่มีทีท่าจะวายลงง่ายๆ มิหนำซ้ำเพื่อนบ้าน ทั้งที่เคยเห็นหน้าค่าตาในวัยเด็กและเพื่อนใหม่เพิ่งเห็นหน้ากันในวงเหล้าทยอยมาเรื่อย ๆ จนเลยเถิดมืดค่ำเที่ยงคืน

         รุ่งขึ้นอีกวัน หลังจากได้ต้มไก่บ้านร้อน ๆ กับข้าวสวยหุงใหม่ฝีมือพี่สะใภ้ กินไล่อาการมึนหัวจากฤทธิ์เหล้าเบียร์ที่ประเดประดังดื่มเข้าไปตั้งแต่เมื่อคืน รู้สึกเป็นแรงสดชื่นขึ้นอักโข ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับพี่ชายและบอกจุดประสงค์ว่าอยากจะทำบุญกระดูกพ่อแม่ที่บ้าน ขอออกค่าจัดการทั้งหมด ทั้งอาหารเลี้ยงพระ ค่าทำบุญถวายซอง นิมนต์พระมาสวดสักสี่รูปตามธรรมเนียมนิยม ซึ่งพี่ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร แถมยังสนับสนุนเสียอีก เพราะตั้งแต่พ่อกับแม่เสีย ได้แต่นำกระดูกใส่โกศทองเหลืองตั้งไว้บนหิ้ง ไม่เคยได้ทำบุญให้แบบเป็นเรื่องเป็นราวสักที ด้วยความไม่พร้อมหลาย ๆ อย่าง

         เมื่อตกลงกันพร้อมสรรพแล้ว พี่เป็นคนจัดแจงเตรียมการเรื่องสถานที่ อาหาร ถ้วยโถโอชาม ส่วนผมอาสาไปนิมนต์พระ เพราะจะได้ถือโอกาสเยี่ยมกราบพระเพื่อนด้วย

         ผมนุ่งกางเกงกีฬาแบบสบาย ๆ ใส่เสื้อยืดคอกลม และยืมมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งพี่ชายขับไปวัดเพื่อมุ่งหมายเยี่ยมเพื่อนเก่าและนิมนต์มาสวดกระดูกพ่อแม่ที่บ้านพรุ่งนี้ด้วย

         ไปถึงวัดผมจอดรถเครื่องใต้ต้นมะขามข้างกุฏิเจ้าอาวาสแล้วเดินเข้าไปหา ท่านเทพ หรือ ไอ้เทพอดีตเพื่อนสนิทของผม ซึ่งตอนนี้ดูดีมีสง่าราศีมาก สีหน้าเปล่งปลั่ง แก้มเรื่อมีเลือดฝาดแดงดั่งนวลหน้าสาวใหญ่ ตอนผมเข้าไปกราบและยังไม่ได้แนะนำตัวเองว่าเป็นใคร ท่านเทพจำผมไม่ได้ ปล่อยองค์ตามสบาย ๆ เพราะอยู่ในกุฏิไม่ได้ออกทำกิจสงฆ์ข้างนอก นุ่งสบงและสวมผ้าอังสะหลวม ๆ คงคิดว่าผมเป็นคนบ้าน ๆ แถวนี้ ดูจากลักษณะการแต่งตัวผมเหมือนเพิ่งกลับมาจากตัดยาง ผมลอบมองท่านเทพเห็นเลี้ยงพุงขาวนวลอ้วนฉุเหมือนกำลังอุ้มโอ่งมังกรลูกย่อม ๆ ไว้ตลอดเวลา น่ารักน่าชัง

         “มีธุระไรรึโยม....”

         ผมยิ้มเมื่อได้ยินคำเอ่ยทักทาย ท่านเทพจำผมไม่ได้ ระยะเวลาร่วมยี่สิบปีที่ไม่ได้เจอกัน ทำให้รูปร่างหน้าตาเราเปลี่ยนไปจากเดิมชนิดไม่เหลือเค้าเดิม ดีที่ว่าผมรู้มาก่อนว่า ไอ้เทพเพื่อนสนิทของผมบวชเป็นพระและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ไม่เช่นนั้นคงจำไม่ได้เหมือนกัน

         ผมบอกกับท่านเทพอดีตเพื่อนสนิทไปตามความเป็นจริง ว่ามานิมนต์พระไปสวดกระดูกพ่อแม่พรุ่งนี้สี่รูป โดยยังนึกสนุกไม่แนะนำตัวว่าผมคือใคร อยากอำพระเล่น ท่านเทพพยักหน้ารับรู้แล้วลุกขึ้นเอาปากกาเมจิกไปเขียนรายการไว้ที่ป้ายไวท์บอร์ดกิจนิมนต์อย่างเป็นระบบ

         และก่อนที่ผมจะพูดอะไร พอดีมีรถฟอร์จูนเนอร์สีดำคันงามแล่นเข้ามาจอดหน้ากุฏิ คนขับดูท่าจะเป็นคนมีอันจะกินแถบถิ่นนี้ ท่านเทพเหมือนจะรู้จักคุ้นเคยกันดีกับชายดังกล่าว รีบลุกขึ้นไปเอาจีวรมาห่มหลวม ๆ ให้ดูเป็นสมณสารูป ไม่ประเจิดประเจ้อเหมือนตอนนั่งคุยกับผม

         จากการแอบฟังสรรพนามที่ท่านเทพเรียกผู้มาใหม่ว่า คุณโยม และพอสักพักก็รู้ว่าเขามานิมนต์พระไปทำบุญที่บ้านเหมือนกัน เขาเป็นเถ้าแก่โรงโม่หินหลายโรงแถบถิ่นนี้ และยังเป็นเจ้าของตลาดใหญ่ในตัวอำเภอด้วย  ต้องการพระไปทำบุญที่บ้าน ๙ รูป ทางนั้นเขาจะทำบุญอาบน้ำคนแก่ แต่ผมต้องการสี่รูปเพื่อไปสวดกระดูกพ่อกับแม่

         พอคล้อยหลังจากรถฟอร์จูนเนอร์ขับออกไป ท่านเทพถอดจีวรออกเหลือแต่ผ้าอังสะเหมือนเดิม ตอนนี้เองที่ผมประกาศเผยตัว

         “จำผมได้ไหมท่าน ผม ประจวบ จ่ารอด

         ผมบอกพร้อมหัวเราะพรืด ๆ ออกมาอย่างเกินอั้น

         ท่านเทพ ทำตาโต จ้องมายังผมอย่างเพ่งพินิจ ก่อนหัวเราะดังลั่นออกมา

         “ไอ้จวบ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ไอ้จวบ ไอ้เพื่อน ไม่เจอกันนาน สบายดีไหม”

         ว่าแล้วเราทั้งสองก็พรั่งพรูเรื่องราวต่าง ๆ ใส่กัน อย่างลืมนึกไปว่า อยู่ต่างสถานะ ผมบอกอดีตเพื่อนสนิทอย่างละเอียดว่า รู้ข่าวจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มไลน์  เลยนึกอยากมาเยี่ยมเยียน ตอนแรกก็กะไม่บอก ค่อยบอกพรุ่งนี้ตอนไปสวดที่บ้าน เพราะคิดว่า ท่านน่าจะนึกได้ สมัยเด็กเคยไปกินข้าว นอนค้างคืน เล่นที่บ้านผมออกจะบ่อย แต่อดใจไม่ไหวรีบเผยความลับเสียก่อน

         ผมกับท่านเทพคุยกันพักใหญ่อย่างออกรส ถึงตอนนี้ผมเริ่มกล้าแซวกล้าหยอกเพื่อนเก่าผู้นุ่งผ้าสบงและเลี้ยงพุงบ้างแล้ว เพราะสมัยก่อนเราสนิทกันถึงขนาดเคยดึงอาวุธประจำกายที่พ่อให้มามาวัดกันว่าของใครใหญ่กว่า เห็นไส้เห็นพุงกันหมด

         คุยกันกระทั่งเย็นย่ำ ถึงเวลาพระต้องทำวัตรสวดมนต์เย็น ท่านเทพเลยพูดแบบสีหน้าเอาจริงเอาจังกับผม

         “โยมจวบต้องการพระสี่รูปใช่ไหม”

         “ครับท่าน ว่าจะให้พระสวดทำบุญกระดูกพ่อกับแม่ นานแล้วไม่ได้ทำให้ นิมนต์ท่านไปสวดด้วยนะครับ”

         พอได้ยินผมพูดอย่างนี้ ท่านเทพถึงกับทำสีหน้าหนักใจ

         “เกรงพระจะไม่พอนะสิ จวบ พรุ่งนี้เถ้าแก่ คนที่มาเมื่อครู่ก็ต้องการนิมนต์พระเก้ารูปไปเจริญพระพุทธมนต์อาบน้ำคนแก่ ทางนั้นเขาทำใหญ่ทุกปี พระทั้งวัดตอนนี้มีเก้ารูปพอดี นอกนั้นก็เป็นเณรบวชภาคฤดูร้อน...”

         ขณะที่ท่านเทพทำหน้าครุ่นคิดเครียด ผมกลับนึกย้อนไปสมัยเรียนประถมด้วยกัน ใบหน้าเดียวกันนี้ สีหน้าแววตาแบบนี้แหละ ถ้าหากไอ้เทพทำให้เห็นเมื่อไหร่ เตรียมตัวเตรียมใจได้ว่ามันต้องเล่นไม่ซื่ออะไรสักอย่างแน่ ๆ

         “ไม่รู้ล่ะ พรุ่งนี้ท่านต้องหาพระให้ผมสี่รูปละกัน จะเอารถมารับตอนสิบโมงนะครับ ไม่มีพระให้ผม ผมงอนจริง ๆ ด้วย”

         ผมพูดแซวขำ ๆ ก่อนกราบลาท่านเทพเพื่อกลับไปเตรียมงานอีกหลายอย่าง

        

         รุ่งขึ้น ผมเอารถยนต์มารับพระตอนสิบโมงเช้านิด ๆ ทว่าพระที่รอไปสวดงานบ้านผม กลายเป็นลูกเณรเล็กๆ บวชภาคฤดูร้อนสี่รูป พระไปงานเถ้าแก่โรงโม่หมด  ตอนแรกผมจิตตกเพราะรู้สึกผิดหวังและเสียแรงที่เตรียมการอย่างดี แต่ชั่ววูบเดียวเท่านั้นก็ทำใจได้ เมื่อได้เห็นวงหน้าอ่อนเยาว์ของสามเณรน้อยที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยพระอรหันต์ รีบยกระดับจิตใจให้อิ่มเอมเป็นบุญ นิมนต์ลูกเณรน้อยทั้งสี่ขึ้นรถขับไปบ้านที่มีพี่ ๆ น้อง ๆ ญาติ ๆ รอร่วมพิธีกรรมอยู่ 

         จากตอนแรกที่ตั้งใจจะให้พระสวดบทมาติกายาว ๆ แต่พอเห็นเป็นลูกเณรภาคฤดูร้อนยังท่องจำบทสวดมนต์อะไรไม่ได้มาก พี่ชายในฐานะคนเคยบวชสองพรรษา เสนอให้ลูกเณรแค่ท่องบทบังสุกุลสั้น ๆ หรือ บทพิจารณาสังขาร ‘อนิจจา วต สังขารา ฯ’ โดยพี่เป็นคนนำให้ลูกเณรว่าตาม จากนั้นพวกเราญาติ ๆ ก็ร่วมกันถวายมตกภัตตาหาร แล้วรับพรสั้น ๆ จากลูกเณร พี่ชายอีกนั่นแหละเป็นคนนำลูกเณรสวดให้พรให้ว่าตามทีละท่อน ระหว่างที่ลูกเณรให้พร พวกเราพร้อมใจกันกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พ่อกับแม่  เป็นอันว่าพิธีกรรมเสร็จสิ้น ลูกเณรฉันภัตตาหารที่เตรียมไว้อย่างเพียงพอทั้งต่อพระและต่อผู้มาร่วมงาน

         ผมนำซองขาวสี่ซองใส่เงินทำบุญถวายลูกเณร โดยเอาเงินที่เพื่อน ๆ ที่ทำงานร่วมทำบุญ ซึ่งตอนแรกว่าจะถวายให้เจ้าอาวาสท่าน(ไอ้)เทพ แต่เปลี่ยนใจกะทันหัน และได้ฝากซองทำบุญไปกับลูกเณรถึงท่านเจ้าอาวาสด้วยหนึ่งซอง ผมควักเงินส่วนตัวใส่ไปตามที่คิดว่าสมควรเหมาะสม โดยเขียนกำกับบนซองไว้ว่า ‘ถวายท่านเจ้าอาวาส.....จาก เพื่อนจวบ’

        

         “เขาถวายตั้งหมื่นหนึ่งครับอาจารย์ !”

         หนึ่งในสามเณรที่ไปกิจนิมนต์สวดกระดูก รายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุด ๆ ต่อเจ้าอาวาส

         “เจ้าภาพยังฝากซองมาถวายอาจารย์ด้วยนะครับ” ว่าแล้วสามเณรรูปดังกล่าวดึงซองขาวที่เจ้าภาพฝากมาถวายยื่นให้

         พระอธิการเทพ สุภาจาโร เจ้าอาวาสหุ่นตุ้ยนุ้ย รีบจัดการฉีกซองออกดูปัจจัยด้านใน เห็นแบงก์ยี่สิบหนึ่งใบบรรจุอยู่ในซอง ถึงกับยิ้มมุมปากน้อย ๆ อาการเหมือนเสือใหญ่โดนลูบคม

        

         เย็นวันนั้นเอง หลังจากเสร็จงานทำบุญกระดูกให้พ่อกับแม่ ผมขับรถกลับกรุงเทพฯด้วยความรู้สึกเบิกบาน ครึ้มอกครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก กะว่าพรุ่งนี้พอไปถึงกรุงเทพฯจะพิมพ์เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มไลน์ ‘ชั้น ป.6 ห้องครูวรรณี’ อ่าน

         ผมขับรถไปยิ้มไป เกิดความรู้สึกเหมือนตอนเรียนประถมอีกครั้ง.

 

                           ...............................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

  

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

           วรรณกรรมออนไลน์