เรื่องสั้น : มหาสมุทรของแม่ : ปันนารีย์

เรื่องสั้น : มหาสมุทรของแม่ : ปันนารีย์

 

        เช้าที่มีแต่สายฝนโปรยปราย แม่ตื่นขึ้นมาถักไหมพรม แม่ว่าฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ควันจากฟืนฟางที่ปลายกระท่อมจะโชยกรุ่น เราจะไปเผาข้าวหลามริมสระน้ำกัน ฉันแย้งขึ้นทันที เขาห้ามเผา มลพิษทำพวกเรามีแต่สภาวะสิ้นหวังจากการหายใจ อากาศของเราเป็นพิษเสมอในฤดูหนาว แม่จำไม่ได้เหรอ

 

        เผาฟืน ไม่ได้เหรอ เผาไม่ได้เหรอ แล้วจะนึ่งข้าวจะใด๋ แล้วจะเผาข้าวหลามจะใด๋ แม่ถาม    

 

        ฉันเอาแต่ส่ายหน้า ได้ยินแม่เพรียกเสียง เรียกหาวันวานมาจากมุมนั้นมุมนี้ตลอดเวลา เสียงหวีดลมมาจากสายฝนที่ย่ำฝีเท้าบนหลังคาอยู่ทั้งคืน- - - -    แม่ว่า อากาศดี หลังฝนตกทั้งคืน ได้กลิ่นดินหอมชื่นใจ  ดอกแก้วริมรั้วร่วงแล้วสิ  อ่อนแอ  โดนฝนนิดหน่อยก็ร่วงผล็อย สู้ดอกเข็มขาวไม่ได้  แข็งแรงอดทน         เออ..ว่าแต่ ว่านสี่ทิศตรงโคนต้นมะขามใหญ่ริมสระน้ำออกดอกรึยัง ซุ้มดอกชงโคร่วงหรือยัง มันปูพรมสีชมพูอมม่วง แม่ชอบถอดรองเท้าลงเดินเล่น พ่อเอ็งนี่ คิดอะไรไม่รู้ ขุดหลังบ้านเป็นสระน้ำแล้วเอาเรือเป็ดมาลอยคอ ยังกะจะทำบ้านเป็นรีสอร์ท  

 

        ราวแม่ไม่เคยละสายตาจากสระน้ำ น้ำนั้นจึงยังกระเพื่อมไหว เพียงฝีเท้าเบาบางของจิงโจ้น้ำ อย่านะ อย่าทำน้ำไหว.........ฉันอยากเห็นความใสไม่สิ้นสุด แม่ท่องบทกวีสักบทที่แม่ไม่เคยลืม

 

        ฉันว่า แม่จ๋า ถนนใหม่ตัดผ่านได้สิบปีแล้ว ต้นมะขามเฒ่าต้นนั้นกลายเป็นเทวดาบนสวรรค์นานแล้ว หรือไม่มันก็เป็นโต๊ะหรูหราให้พวกเศรษฐีเอาไว้โชว์ความร่ำรวย สระน้ำของพ่อก็ถูกถมกลายเป็นส่วนหนึ่งของขอบถนนนานแล้ว

 

        แม่เหมือนไม่ได้ยินที่ฉันพยายามอธิบาย กระโจนหายไปในห้วงมหาสมุทรอันลึกล้ำ แล้วแม่ก็ผินหน้าตัวเองจากสระน้ำ มาสู่ประตูบ้าน  เอาต้นเขิงไปไว้ตรงนั้นทำไม เขาเอาไว้แขวนตุง เอาไปปักกองทรายในวัด จะได้เกาะตุงไชยไปสวรรค์ ต้นเขิงของแม่เป็นต้นไม้โบราณที่กำลังเป็นของยอดฮิต   ราคาแพงพอ ๆ   กับตระกูลวงศ์ว่านเศรษฐีทั้งหลาย ตรงนั้นของแม่คือกระถางหรูสีดำ  ที่บ่นว่าสีอัปมงคล   เอามาวางไว้ในบ้านทำไม ฉันเถียง สีดำสุดเท่กำลังอินเทรนด์ต่างหาก    

 

        เสียงรถวิ่งบนทางด่วนข้ามหลังคาบ้านของเราไปมา แม่ไม่ได้ยินหรือไง      นั่นไงล่ะ   สวรรค์ของคนรีบเร่งแต่เป็นนรกแท้จริงของพวกเรา ปีที่ถนนสี่เลนตัดผ่านนั้นแม่ผมขาวไปทั้งหัว แม่มวยผมไว้ท้ายทอย  แล้วหวีผมที่เหลือเรียบแปล้ไปด้านหลังด้วยน้ำมันมะกอก ยายของแม่ก็เคยไว้ผมทรงนี้ มวยผมเป็นเจ้าหญิงผมหอม ลูบด้วยน้ำมันมะกอกจนผมขาวเงาแวววาว อายุ 98 แล้ว แต่ฟันสีดำยังอยู่ครบทุกซี่ ถนนสี่เลนตัดหน้าบ้านของเราเปลี่ยนผ่านซอยคับแคบของชาวบ้านธรรมดา มีทางด่วนข้ามหลังคาบ้านเราไปมา เราโบกมือลาพื้นที่วิ่งเล่นอันกว้างขวาง มหาสมุทรของแม่ถูกเวนคืน เรากล่าวคำทักทายขบวนรถและเสียงบีบแตรรีบเร่ง พร้อมทำตัวให้เคยชินกับที่ดินเล็กเท่าแมวดิ้นตาย      

 

         แม่ว่า หิวข้าวอยากกินน้ำเหมี้ยง     

        ฉันบ่นอุบว่าแม่ เราจะไปหาซื้ออาหารแบบนั้นได้ที่ไหน นี่มันยุคแกรปสั่งอาหารยุคที่มีพาสต้าเส้นสด พิซซ่าขอบซีส แม่จำไม่ได้เหรอว่าตอนนี้อาหารโปรดที่แม่ชอบกิน คือ ซุปเห็ดออรินจิ วันก่อนหนุ่มรถแกรปมาส่งของแม่ออกไปพูดคุยกับคนส่งของ นานจนฉันกลับบ้านมาเจอเข้า พ่อหนุ่มส่งของคนนั้นคุยสนุก แม่ว่าแบบนี้ แต่ฉันกลัวแม่ถูกหลอก ไม่หลอก  เขาจะมาหลอกคนแก่ทำไม    เขาถามว่าอยู่กับใคร เขาเป็นห่วง เออ..นั่น แล้วแม่บอกอะไรเขาไปบ้าง .....จำไม่ได้แล้ว   ตอนนี้แม่ยังไม่ได้กินข้าวเลย  ฉันร้องว้าย แม่จำไม่ได้เหรอว่าเพิ่งกินไปเมื่อห้านาทีที่แล้วนี่เอง ก๋วยเตี๋ยวแห้งห่อนั้นฉันหิ้วติดมือเข้ามา  ส่วนแม่ยืนยัน   ไม่ ยังไม่ได้กิน ตอนนี้แม่อยากกินน้ำเหมี้ยงออกไปซื้อที่ตลาดให้ที    ร้านยายสานะ   น้ำเหมี้ยงของยายสาอร่อยที่สุด - - - - ยายสาคนไหน ก็ยายสาคนที่หลังงอจวนจะพับได้ไงล่ะ โธ่.....  ยายคนนั้นตายไปตั้งแต่สิบสี่ปีที่แล้ว

 

        แม่เงียบนิ่งไปพักใหญ่ ความเงียบอันลึกล้ำไม่อาจตีความ

 

        ถ้อยคำพร่ำบ่นถึงวันวาน โลกเหมือนโรงละครที่แม่ยังมีชีวิตโลดแล่น  มันอาจเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่แม่ยังมีชีวิต  ------   ความเงียบเหมือนท้องมหาสมุทรขนาดใหญ่เงียบสนิท ก่อนจะปล่อยตัวเองโล้ไปด้วยฟองคลื่นที่มีเศษไม้จำนวนมากมายล่องไหลมากระทบ

 

        ตั้งแต่ฉันจำความได้ แม่เป็นแค่แม่ค้าในตลาด ฉันจำได้ว่าแม่ต้องตื่นตีสามปั่นจักรยานเก่า ๆ ไปตามซอยแคบลึก เปลี่ยวและมีผีนั่งอยู่บนต้นฉำฉาใหญ่  ผีตนนั้นหายไปตอนที่ต้นฉำฉาถูกโค่น  และไฟฟ้าก็สว่างไสวไปทั้งซอย

 

        ตอนแม่คลอดฉันออกมานั้น แม่เล่าว่าอยากกินหมูทอดมาก แต่ไม่ได้กิน   ยายให้กินแต่ข้าวต้มกับเกลือ แกงหัวปลีเปล่า แม้ว่าแม่จะคลอดฉันที่โรงพยาบาลทันสมัยมากแล้ว  แต่แม่ยังต้องมีวิธีอยู่ไฟแบบโบราณ พร้อมทั้งต้อง “อยู่เดือน”    โดยไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ตามปกติ จนกว่าจะครบรอบหนึ่งเดือน      ฉันคิดว่าตัวเองรอดชีวิตมาได้ด้วยการกินอาหารที่ไม่เพียงพอจะผลิตน้ำนมได้อย่างไร

 

        ความทรงจำของแม่เหมือนมหาสมุทรที่แม่เล่าได้ไม่จบไม่สิ้น

 

        เชียงใหม่ ฤดูร้อน ปี 2520  อากาศร้อนที่สุดเพียง  35 องศาเซลเซียล เราเอนกายลงไปนอนซบกับพื้นดิน พอร้อนจัด ฝนก็เทลงมาพร้อมกลิ่นหอมของดินฟุ้งในหมู่บ้านเกี่ยวเกาะคืบคลานไปด้วยรั้วไม้ระแนง อัญชันสีม่วงเลื้อยพันเกี่ยวพันไปทั้งหมู่บ้าน ทิวแถวถนนสายเล็ก ๆ  ตรอกซอกซอยมีตำลึงเลื้อยตัวเนิบนาบอยู่อย่างเกียจคร้าน เด็ก ๆ ไปเล่นขายขนมครกดินโคลนกันใต้ถุนบ้านใหญ่สักหลัง    ทุ่งนามีแต่เสียงกบเขียดแข่งกันร้องดังระงม ปีนั้นฉันเรียนอยู่ชั้น ป. 1 ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ในบ้าน พ่อบอกว่าผู้หญิงคนนี้ ชื่อ  อารี เป็นพี่สาวของฉัน  ฉันตื่นเต้นที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นน้องสาว ชีวิตลูกสาวคนเดียวในบ้านจบสิ้นแล้ว ยิ่งตอนแม่บอกว่าเราจะถ่ายรูปตอนสงกรานต์ไว้เป็นที่ระลึกกัน  เราถ่ายรูปด้วยกันใต้ต้นชงโคหน้าสระน้ำ พ่อทำซุ้มชงโคสีม่วงบานสะพรั่งโรยตัวลงพรมพื้นใกล้แคร่ไม้ที่พ่อสานเอง  มันวางตรงนั้นมาหลายฤดู ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยสัญลักษณ์ของมอดแทะ ผงไม้ลุ่ยโปรยกระจายแข่งกับชงโคหล่นพื้น วาดพื้นดินสะกดสายตา อยู่ริมสระน้ำหลังบ้าน

 

        ฉันยังตัวเล็กมาก แม่ให้ฉันนุ่งชุดนักเรียน ฉันไว้ผมหน้าม้าสั้นจนเห็นติ่งหู   ยืนเกาะจักรยานโบราณคันนั้น กระโปรงนักเรียนของฉันจีบขอบเนียนกริบ  แม่รีดเรียบจนเป็นสันคม ต่างกับชุดนักเรียนของอารีที่เสื้อย่นยับ กระโปรงไม่ได้รีด     โครงหน้าของอารี เหลี่ยมชัน เน้นโหนกชัดเด่น อารีเหมือนพ่อไม่มีผิด ลุงปั๋น – คนถ่ายรูปมีจักรยานคันใหญ่บรรทุกกล้อง ขาตั้งกล้อง อุปกรณ์อะไรต่อมิอะไรไว้ท้ายรถ แม่จ้างลุงปั๋นมาถ่ายรูปให้ฉันกับอารี ส่วนแม่นั้นไปถ่ายรูปที่สตูดิโอที่ชื่อ “จงรักษ์” อยู่บนนถนนช้างคลาน เลี้ยวตรงหัวมุมเยื้องห้างตันตราภัณฑ์ไป แม่กลายเป็นผู้หญิงโก้ ตอนที่ถูกเชิญจากห้างตันตราภัณฑ์ให้ไปร่วมพิธีเปิด เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในเมืองเชียงใหม่ แม่เป็นคนทันสมัย ชอบถ่ายรูปซึ่งเป็นกิจกรรมยอดฮิตของปี พ.ศ. นั้น ปีนั้นอารีอยู่ป. 5 แล้ว อารีเป็นลูกสาวคนโตของพ่อกับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่บ้านหวาย ฉันไม่รู้ว่าบ้านหวายอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ ผู้หญิงที่เป็นแม่ของอารี ตัวสูง นุ่งผ้าซิ่นลายขวาง สวมเสื้อก้อมสีขาว  ตัวเล็กนิดเดียว    อารีเคยเอารูปแม่ให้ฉันดู แล้วบอกว่าแม่ตายแล้ว พ่อจึงรับอารีมาอยู่ด้วย ตอนนั้นเองที่ฉันรู้สึกสงสารอารีเหลือเกิน

 

        “พี่อยากไปอยู่ร้านขายผ้าของน้าหลีที่บ่อสร้าง แต่น้าปันไม่ยอม” 

 

        อารีแทนตัวเองว่าพี่ เรียกแม่ของฉันว่า น้าปัน มีบางครั้งที่ฉันเผลอเรียกพี่สาวอย่างอารีว่า “อารี”  สั้นๆ อารีอยากเป็นคนขายผ้าที่หน้าร้านของน้าหลี       ฉันเคยพบน้าหลี  คนที่เป็นน้องสาวของพ่ออีกที เธอเปิดร้านขายผ้าไหมอยู่ที่บ่อสร้าง น้าหลีผมยาวจนถึงกลางหลัง นุ่งผ้าซิ่นไหมลายสันกำแพงงามตาฉันว่าน้าหลีสวยกว่านางสาวเชียงใหม่เสียอีก อารีบอกว่าความฝันของเธอ คือ เป็นนางงามขี่รถถีบกางจ้องเหมือนน้าหลี ดูบางมุมอารีสวยเหมือนน้าหลีจริงๆ นั่นแหละ สวยเหมือนเอื้องผึ้งแซะที่แซมมวยผมยามนั่งรถสี่ล้อขาวเข้าในเมืองผ่านม่านไม้ฉำฉาเรียงราย   สีเหลืองของเอื้องผึ้งที่ประดับโคนต้นร่มรื่นสบายตายิ่งนัก

        “น้าปันบอกว่าเป็นผู้หญิงต้องเรียนหนังสือ แต่พี่ว่าจบป.6  พี่จะไปช่วยน้าหลีขายผ้าแล้วล่ะ”

 

        แม่มักมีอำนาจที่สุดในบ้าน  เพราะแม่เป็นคนขายของและเป็นคนเก็บเงิน  ทั้งพ่อ ฉัน และอารีต่างต้องแบมือขอเงินจากแม่พออารีจบ ป.6  จึงขอไปอยู่กับน้าหลี ตั้งแต่นั้นมา ฉันจึงไม่มีพี่สาวอีก ฉันพบอารีอีกครั้งตอนที่พ่อป่วยหนัก และเมื่อพ่อจากไป อารีก็หายไปจากวงจรชีวิตของฉันโดยสิ้นเชิง 

 

        ตอนนี้แม่กระโดดผลุบหายไปในวัยเยาว์ของตัวเอง แม่มักมีอายุเท่าฉันเท่านั้น  ไม่มีพ่อ  ไม่มีอารี   แต่แม่จำฉันได้คนเดียวและมีฉันเป็นเพื่อนเล่น แม่ร้องเพลงเป็ดอาบน้ำในคลองขึ้นมาคราวใด หมายถึงแม่กำลังชวนฉันเล่นเกมเป็ดลอยคอ มีเป็ดลอยคออยู่ในสระน้ำหลังบ้าน 

        สระน้ำหลังบ้าน ที่แม่มักพูดว่ามันคือมหาสมุทรที่เราต้องเล่นเป็นโจรสลัดบุกออกไปยังเกาะอันไกลโพ้น

        “โธ่ นกเป็ดน้ำผู้น่าสงสาร”

        แม่พึมพำพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเล่าว่านกเป็ดน้ำโบราณนี้หลงทางมา มันเกาะเสากระโดงเรืออยู่ จนกระทั่งพายุซัดเรือลำนั้นคว่ำไม่เป็นท่า    ต้องมีใครสักคนยิงนกตัวนั้นให้ตาย เพื่อไม่ต้องเดินทางข้ามเกาะนั้นไปเกาะนี้อีกต่อไป ใครบางคนฉุดดึงแม่ไปท่องมหาสมุทรแห่งหนใด จึงไร้ที่พำนัก

        “ไม่มีนกเป็ดน้ำ มีแต่เรือเป็ดลอยคอ”

        ฉันพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้  ถึงปีที่น้ำท่วมหนัก  ทุกอย่างเป็นแพทะเล  เหลือแต่เรือเป็ดลอยคออยู่ในน้ำ ปีไหนนะ เริ่มจำไม่ได้ ปีน้ำท่วมใหญ่  พวกเราไม่เคยเรียนรู้วิถีแห่งน้ำท่วมใหญ่ต่างลอยคออย่างไร้หนทางต่อสู้ กลายเป็นเป็ดตัวเล็กที่จมคอลอยเคว้งคว้างในมหาสมุทรกว้างใหญ่ซ้ำซาก  ปีถัดมา เราก็ลืมเหตุการณ์เหล่านั้นไปราวกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น- - - เราขยันสร้างวัตถุโลกอนาคต โดยไม่เคยเหลียวหลังมองอดีต เหลือเป็ดตัวนั้นลอยเท้งเต้งอยู่ในสระน้ำหลังบ้าน     แค่หวังว่าจะมีเด็ก ๆ มาถีบน้ำเล่นไปมาอย่างสนุกสนาน       

 

        ครู่หนึ่งเสียงเรียกจากชายหนุ่มดังขึ้น สายตาเขาไม่ได้ละจากมือถือหรอก        มือข้างหนึ่งของเขาก็ยังถูไถไปมาบนหน้าจอ  เขาต้องมัวแต่เล่นเกมเป็ด มันเป็นเป็ดที่ลอยคอในมหาสมุทร ฉันนึกขำ เป็ดตัวนั้นย้ายมาจากสระน้ำหลังบ้านมาอยู่ในจอคอมพิวเตอร์ของเด็กสมัยใหม่

        “แม่  มานั่งเล่นอะไรแถวนี้ ไม่กลัวเหรอ เดี๋ยวรถ ที่วิ่งสวนไปมาก็เบรคไม่อยู่ เข้ามาชนพอดี”

        เต้พูดกับฉัน แต่สายตายังจดจ้องอยู่บนหน้าจอมือถือ มือไถเกมอย่างเมามัน ดั่งว่าชัยชนะของเกมมันคือชัยชนะของเขาเช่นกัน

        “แม่มาดูเรือเป็ด เราจะเอามันออกวิ่งเล่นในสระได้อีกหรือเปล่า  เต้มาช่วยดูหน่อย หรือว่าเราต้องซ่อมมัน- - - นี่มันนานแล้วนะที่เราไม่ได้เล่นถีบจักรยานเป็ดกัน”

        สายตาที่หันมามองเต้ ยังเห็นแววตาแจ่มใสตื่นเต้นราวกับเป็นเด็กคนหนึ่งอายุ 6 ขวบ กำลังถีบขาบนเรือเป็ดกลางสระน้ำ เรือเป็ดลำนั้นเอาแต่หมุนวนไปมาราวกับกำลังใช้ช้อนคนถ้วยซุปเห็ด

        “เราขายเป็ดไปตั้งแต่เวนคืนที่ดิน แล้วนะแม่  เราไม่มีสระน้ำหลังบ้านแล้ว     เราจะเก็บเรือเป็ดไว้ทำไมกัน แม่ว่างี้ แม่เป็นคนขายเอง ได้ค่าเศษเหล็กมาสามร้อย ไง”

        “จริงหรือเต้”

        “แม่ขี้ลืมอีกแล้วนะนี่ แล้วแม่เอารูปยายออกมาจากตู้ทำไมอีก เดี๋ยวกระจกแตก เต้ขี้เกียจเอาไปทำกระจกใหม่  ม่ะ เดี๋ยวเต้เอาไปเก็บให้”

 

        ภาพแม่ยิ้มอยู่ในกรอบรูป เป็นยิ้มที่สวยเหลือเกิน ที่มุมใต้ภาพเขียนคำว่า “จงรักษ์” คนเขียนตัวหนังสือตวัดชื่อร้านสวยงาม พอ ๆ กันกับคิ้วของแม่ เขาเอาพู่กันแต้มคิ้วแม่สวย ริมฝีปากได้รูป เป็นการเขียนเส้นแต่งรูปด้วยมืออันสวยงามวิจิตรบรรจง พลิ้วไปบนกระดาษเคลือบ เงาสีขาวดำ รูปแม่ของฉันช่างสวยเหลือเกิน  

        “นี่  ดูรูปนี้สิ เต้เคยเห็นไหม  แม่กับป้าอารี  ตอนยังเด็ก”

        ใต้ต้นชงโค  เด็กผู้หญิงสองคนได้มีกลิ่นหอมของลมแม่น้ำ

        “ไม่เคยรู้จัก ป้าอารีของแม่ นี่ ใครกัน”

 

        ลมที่ไหนสักแห่งพัดไปมา ฉันกระชับผ้าพันคอไหมพรมที่แม่ถักให้ มันยากจะแกะออก ได้แต่จับกระชับกอดสายลมเปลี่ยนฤดู เสียงนาฬิกาเลื่อนผ่าน แล้วเรือลำหนึ่งค่อย ๆ แล่นออกไปสู่น่านน้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่   

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง 

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

          วรรณกรรมออนไลน์