เรื่องสั้น : โรคระบาด : วิชาญ อัยรักษ์

เรื่องสั้น : โรคระบาด : วิชาญ อัยรักษ์

            ยามนี้ที่กาลก่อน ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช ไม่เคยเดือดร้อนหรือกลัดทรวงกลุ้มฤทัยเหมือนวันนี้ เพราะทิพยอาสน์ที่เคยอ่อนแต่ก่อนมา กลับกระด้างดังศิลาประหลาดใจ แถมมันร้อนรนดั่งเหล็กที่ถูกเพลิงเผาจนแดงก่ำ พระพายที่เคยพัดมาเยี่ยมเยือนก็เบือนหนี คงจะมีแค่นิดหน่อยที่ปล่อยผ่านมาเป็นฝอยละอองบางๆ แต่ก็ไม่วายหอบเอาความร้อนมาด้วย ทุกอย่างมันไม่ปรกติดังแต่กาลก่อน

            “จำต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” ท้าวอมรินทร์เทวาธิราชผู้เป็นประมุขแห่งเทพยดาทั้งปวงในสรวงสวรรค์รำพึงด้วยความโศกเศร้าพระหฤทัยเป็นที่สุด

            พระองค์จึงรวบรวมสมาธิสอดส่องทิพยเนตรดูเหตุภัยท่ามกลางความร้อนระอุในแดนดาวดึงส์แห่งนั้น กาลผ่านไปได้ไม่นาน ดวงเนตรของพระองค์ก็แดงก่ำราวก้อนเพลิง น้ำพระเนตรไหลหลั่งดั่งสายธารแห่งโลหิต พระพักตร์ของพระองค์ที่ขจีอยู่แล้วกลับเพิ่มความเข้มมากขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นนิลไม่ต่างจากพระศอขององค์ศิวะมากนัก

            พระองค์รู้ด้วยทิพยญาณวิเศษนั้นแล้วว่า บัดนี้ได้เกิดวิกฤตอย่างใหญ่หลวงขึ้นแล้วกับดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งที่เรียกว่าโลกาพิภพ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งในหมู่เทพว่า พระราหู มหันตภัยนั้นคือ ความเปลี่ยนแปลงตามกฎอนิจจัง อนัตตา และกฎแห่งกรรมขององค์สมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้าส่วนหนึ่ง และเกิดจากการกระทำของสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า “สัตว์ประเสริฐ” อีกส่วนหนึ่งนั่นเอง

            “อย่ากระนั้นเลย เราต้องเรียกมวลเทพยดาน้อยใหญ่ในไอยสรวงให้มาประชุมสันนิบาตกันอย่างพร้อมเพรียงเพื่อแก้ปัญหาเป็นการด่วน” ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช ผู้ปลดเปลื้องโศกาอาดูรแห่งอนาถาชน ผู้ปลดรัตติกาลด้วยอโณทัย ผู้กระทำความบกพร่องให้เป็นความสมบูรณ์ ครุ่นคิด แต่เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอน พระองค์จึงมีบัญชาเรียก ท้าวจตุโลกบาล ซึ่งเป็นผู้ปกปักรักษาดูแลชาวโลกทั้งสี่ทิศให้ขึ้นมาหารือเป็นปฐมบทก่อน

            เสี้ยววินาทีนั้นท้าวจตุโลกบาลก็ปรากฏกาย ถวายความเคารพ ด้วยท่าทางที่ประหวั่นพรั่นพรึง เพราะสังเกตพระพักตร์ของท่านท้าวอมรินทร์ฯที่เปลี่ยนไปจากปรกติมากนั่นเอง ท่านคงเป็นห่วงหรือไม่พอใจอะไรสักอย่างเป็นแม่นมั่น

            “หรือเราระแวงตัวเองดุจถือฟืนไฟดุ้นสั้น หรือเป็นวัวสันหลังหวะก็ไม่รู้” ท่านท้าวจตุโลกบาลคิดหนักขณะนั่งก้มพระพักตร์อันขาวเผือดดังปุยเมฆยามต้องแสงสุรีย์อ่อน ๆ

            “ทำไมน้ำจึงท่วมโลกที่ท่านดูแลอยู่” ท่านท้าวอมรินทร์ฯปุจฉาด้วยสุรเสียงอันเข้มและข้น

            “เพราะโลกร้อนขึ้นทุกวันขอรับ” ท้าวจตุโลกบาลพนมมือวิสัชนา แต่ยังก้มพระพักตร์ทูลด้วยเสียงสั่นเครือคล้ายมีอะไรติดพระศอหรือเสมือนคนติดอ่าง เพราะจิตใจวุ่นวายสับสนเป็นกำลัง

            “ก็พระอาทิตย์ท่านอ่อนพลังลงแล้วมิใช่หรือ” ท้าวอมรินทร์ฯชะโงกหน้าออกถาม

            “ใช่ขอรับ แต่ความร้อนที่เรียกว่าเรือนกระจกนั้นชาวโลกเขาทำกันเองแหละขอรับ” ท้าวจตุโลกบาลเงยหน้าขึ้นรายงานผู้เป็นใหญ่ในไอยสรวงสวรรค์อีกครา

            “แล้วทำไมพวกเขาจึงร้องแรกแหกกะเฌอกล่าวโทษพวกเราละท่านท้าว” ท่านท้าวอมรินทร์ฯรำพึงเสียงละห้อยด้วยความน้อยใจว่าอะไร ๆ ก็โทษเทวดาฟ้าดินกันหมดไม่เคยโทษตัวเองกันเลย

            “ก็เพราะเขามีความเห็นแก่ตัว มีความโลภ ความหลง มองไม่เห็นความผิดของตัวเอง มักกล่าวโทษคนอื่นอยู่เสมอ เมื่อมีภัยมาถึงตัวเองจึงมองไม่เห็นกรรมหรือผลจากการกระทำของตนเอง” ท่านท้าวจตุโลกบาลเอาหลักธรรมมาร่ายยาว

            “ทำไมท่านไม่ห้ามปรามตักเตือนพวกเขาบ้าง” ท่านท้าวอมรินทร์ฯผู้เป็นประธานในเทวสภา ผู้มีอำนาจหน้าที่ปกครอง ควบคุม ธำรงรักษา บำรุงสวรรค์และโลกปุจฉาด้วยความฉงนเป็นยิ่งนัก

            “ข้าพระพุทธเจ้าปรึกษาหารือและประสานกับเทพเจ้าโพไซดอน เทพเจ้าแห่งทะเลทำให้เกิด สึนามิบ่อยครั้งเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ยังไม่เข็ดหลาบ ยังคงทดลองระเบิดนิวเคลียร์บ้าง ขุดแก๊สและน้ำมันขึ้นมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยบ้างจนโลกของเขาเสียสมดุลในการหมุนรอบตัวเอง ทำให้เกิดรอยร้าวความร้อนภายในจึงประทุถี่ขึ้นขอรับ” ท่านท้าวจตุโลกบาลรายงานพร้อมลงความเห็นอย่างคล่องแคล่ว พระพักตร์ดูสดชื่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

            ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช เงียบไปครู่หนึ่ง พระองค์กำลังมโนภาพถึงโพไซดอน เทพเจ้าแห่งทะเลเป็นเทพเจ้าที่หงุดหงิด โมโหง่าย และอารมณ์รุนแรง ดวงเนตรสีฟ้าดุดันมองผ่านทะลุม่านหมอกได้ และเกศาสีน้ำทะเลสยายลงมาเบื้องหลัง เขาได้รับสมญานาม ว่า “ผู้เขย่าโลก” เพราะเมื่อปักตรีศูลลงบนพื้นดิน โลกพลันสั่นสะเทือน และแยกออกจากกัน เมื่อฟาดตรีศูลลงบนทะเล จะบังเกิดคลื่นลูกใหญ่เท่าภูเขา และเกิดพายุมีเสียงครึกโครมน่ากลัว ทำเรือแตกและผู้คนที่อาศัยอยู่ชายทะเลจะจมน้ำตาย แต่เมื่อยามที่โพไซดอนอารมณ์ดี ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไป ทำให้ทะเลสงบและทรงยกแผ่นดินใหม่ขึ้นจากน้ำในบางครั้งได้

            “แล้ว พระพาย พระพิรุณ ไม่มาช่วยกันแสดงพลังให้พวกเขาขยาดกลัวบ้างหรือไร อะไรนิดอะไรหน่อยก็พึ่งเทพต่างชาติเป็นประจำ เทพของเราก็เก่ง ๆ หลายพระองค์มิใช่หรือ” ท่านท้าวอมรินทร์ฯทั้งตำหนิและชมผสมกัน

            ท้าวจตุโลกบาลได้ทูลให้ทรงทราบว่า พระพายจะมาในรูปของพายุเกย์บ้าง เฮอริเคน บ้าง ทอร์นาโดบ้าง หรือมรสุมบ้าง แล้วแต่จะเรียกกัน ซึ่งมาบ่อยครั้งกว่าแต่ก่อนมาก แต่พวกเขาก็ไม่หลาบจำ ส่วนพระพิรุณนั้นบอกว่า เมื่อน้ำบนพื้นพิภพมีมากขึ้น ครั้นถูกความร้อนมากเข้าก็ระเหยขึ้นเป็นมวลเมฆมากท่านอุ้มไว้ไม่ไหว จำเป็นต้องปล่อยลงมามากขึ้นจนไม่เป็นฤดูกาล อีกประการหนึ่งท่านอุทกบอกว่า ชาวโลกมัวสร้างถนนให้รถราวิ่งมากจนลืมสร้างคูคลองให้ท่านสัญจรได้อย่างสะดวก เรื่องนี้เราจะไปโทษท่านเหล่านั้นไม่ได้

            “พวกเราพร้อมเหล่าเทพทั้งหลายก็ต้องรับคำกล่าวโทษ รับผิดกระนั้นหรือ” องค์อินทร์ตวาดเสียงขุ่น แกว่งพระหัตถ์ที่ถือวัชระเป็นอาวุธอยู่นั้นไปมาด้วยความโกรธายิ่ง

            “ก็ปล่อยให้ท่วมบ้านท่วมเมืองอย่างนี้แหละอยากทะเลาะเบาะแว้งแตกแยกความสามัคคีกันมากนัก สร้างศึกทั้งนอกบ้านและในบ้าน รบราฆ่าฟันกันเองจนเลือดรดแผ่นดิน พระพิรุณจึงให้เจ้าอุทกลงไปล้างปฐพีอย่างไรละขอรับพระองค์ท่าน” ท้าวจตุโลกบาลรวบรวมพลังความกล้าระบายความในใจที่อัดอั้นมานานออกมาอย่างสาสมใจ

            “เจ้าอย่าพูดเป็นเล่นไป คนที่ทะเลาะกันมันน้อยกว่าชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนาผู้ยากจนต้องพลอยเดือดร้อนด้วย เราว่ามันไม่ยุติธรรมนะ ความจริงต้นไม้ก็มีส่วนสำคัญมากในการช่วยลดความรุนแรงของเจ้าอุทก พวกเขาคิดถึงเรื่องนี้กันบ้างไหม” ท้าวอมรินทร์เทวาธิราชแสดงอาการฉงนสนเท่ห์

            “ไม่ทราบขอรับ เรื่องนี้ ท่านเทพ เทพารักษ์ เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบอยู่ขอรับ” ท้าวจตุโลกบาลกล่าวออกตัวอย่างชาญฉลาด

            เมื่อเอ่ยนามถึงเทพองค์นี้ ท้าวอมรินทร์ฯถึงกับยกพระหัตถ์นาบเหนือพระกรรณทั้งสองข้างทันที พระองค์รู้สัญชาติของเทพองค์นี้ดี เพราะเทพารักษ์ เป็นเทพระดับหนึ่ง ที่อยู่ในสวรรค์ชั้น กามาพจรภพ แต่บางที่ก็เรียกว่าเป็นเทวดา บางที่ก็เรียกว่าผี ถ้าหากสิงสถิตอยู่ที่ใดก็จะทำตัวเป็นใหญ่เป็นโตในที่นั้น เขาก็จะเรียกว่าเจ้าที่ , เจ้าท่า , เจ้าป่า หรือ เจ้าเขา เป็นต้น

            เทพารักษ์ถือเป็นเทวดาชั้นต่ำเนื่องจากมิได้อยู่เมืองฟ้า มักอาศัยอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ เรียกว่า รุกขเทวดาบ้าง ส่วนที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนก็เรียกว่าเทพารักษ์บ้าง

            “เรียกเทพารักษ์ขึ้นมาหาเราหน่อย มีเรื่องจะต้องคุยกันมาก” ท้าวอมรินทร์ฯบัญชา

            พริบตาเดียว เทพารักษ์ ในชุดสีเขียวเปื้อนโคลนสีดินเปรอะไปทั้งตัว หน้าตามอมแมม อารมณ์อมทุกข์ ถ้าอยู่ที่อื่นคงได้กลิ่นเหม็นสาบจนเป็นลมกันแน่ แต่นี่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลิ่นไม่พึงประสงค์จึงหามีไม่

            “เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบดูแลรักษาป่า รักษาต้นไม้เพื่อให้อุ้มดินอุ้มน้ำ เพื่อรักษาต้นน้ำลำธารทำไมท่านจึงปล่อยปละละเลยให้มีการตัดไม้ทำลายป่ากันมากมายถึงขนาดนี้” ท้าวอมรินทร์ฯใส่อารมณ์ดั่งพายุในทะเลทรายถาโถมสู่เทพารักษ์จนตั้งตัวแทบไม่ทัน

            “ข้าพระพุทธเจ้าระวังไม่ทันพระเจ้าข้า พวกเรามีกำลังน้อยและงบประมาณจำกัด พวกมันใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยตัดฟันอย่างรวดเร็วจนเราห้ามปรามหรือตามทำร้ายมันไม่ทันพระเจ้าข้า” เทพารักษ์ทูลตะกุกตะกักคล้ายคนลิ้นไก่สั้นหรือเครื่องยนต์ที่เดินไม่ครบสูบ

            “เจ้าอย่ามาแก้ตัว” ท้าวอมรินทร์ฯแผดเสียงดังกึกก้อง กวัดแกว่งวัชระไปมาจนเกิดประกายแปลบปลาบไปทั่วทั้งดาวดึงส์ “เราเคยเล็งญาณวิเศษเห็นท่านรับเงินสินบนจากพวกตัดไม้เป็นประจำ เราคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นอย่างนี้ อดีตเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เคยช่วยเหลืองมขวานเงินขวานทองให้คนตัดไม้ผู้ซื่อสัตย์ ท่านยังชื่นชมเขาอยู่เลย แต่เดี๋ยวนี้ท่านมาฉ้อโกงคอรัปชั่นเสียเอง ท่านไม่ละอายใจตนเองหรือ” ท่านท้าวอมรินทร์ฯเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน

            ทั้งเทพารักษ์และท้าวจตุโลกบาลตัวสั่นเทิ้ม เหงื่อกาฬไหลทั่วกาย กัดฟันหันหน้าผลัดกันมองตากันไปมาหลายครั้ง คล้ายจะระแวงระวัง ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน หรือกลัวอะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ถูกเปิดเผย

            “ท่านเทพารักษ์ ท่านสารภาพเสียเถิดมิฉะนั้นเราจะสาปให้ท่านไปสถิต ณ ต้นกล้วยตานีที่อยู่ปลายด้ามขวานแห่งสยามปฐพีนั้น” ท่านท้าวอมรินทร์ฯเตรียมตั้งข้อหาและลงโทษผู้ทำความผิด

            “เดี๋ยวก่อนท่านท้าวอมรินทร์เทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ในแมนสรวง” เทพารักษ์พนมมืออย่างสั่นเทิ้มเหมือนทรงเจ้าเข้าผีขึ้นเหนือเศียรกล่าวละล่ำละลัก

            “สิ่งของเงินทองที่ได้มาข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ส่วนตนฝ่ายเดียวทั้งหมดหรอกขอรับ” เทพารักษ์ตรัสแล้วชำเลืองหางตาไปทางองค์เทพที่นั่งอยู่ใกล้กันในที่นั้น แล้วกัดฟันตัดสินใจเปล่งวาจา

            “ข้าพระพุทธเจ้าแบ่งให้ท่านท้าวจตุโลกบาลส่วนหนึ่งด้วยขอรับ”

            “อุวะ !!!” ท้าวอมรินทร์เทวาธิราชอุทานพร้อมกระทืบบาทาสะเทือนไปทั้งแมนสรวง “โรคนี้มันระบาดขึ้นมาถึงบนนี้เชียวหรือนี่”

 

................................................................. 

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

  

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

           วรรณกรรมออนไลน์