เรื่องสั้น : ศูนย์รวมจักรวาลคนโง่ : ปฏิพัทธิ์ อัคราพูนรัตน์

เรื่องสั้น : ศูนย์รวมจักรวาลคนโง่ : ปฏิพัทธิ์ อัคราพูนรัตน์ 

        ณ ปี xxxx ได้เกิดสงครามครั้งใหญ่ จากเหล่าปัญญาชนและผู้นำทางทหารทั้งหลายรวมตัวกันก่อสงครามปฏิวัติรัฐบาลโลก แต่ว่า สงครามครั้งใหญ่ครั้งนั้น ผลสรุปไปไม่ได้ออกมาตามที่ผู้ก่อสงครามหวังไว้ รัฐบาลยังคงเป็นรัฐบาลเช่นเดิม เหล่าผู้นำก็กลายเป็นคนโง่ เหล่าบุคคลที่ออกมาเผยความลับภายในจะกลายเป็นคนโง่ คนฉลาดนั้นจะต้องอยู่เงียบ ๆ และตายจากไป

        โลกถูกแบ่งเป็นสามเขต หลัก ๆ 1.คนโง่ 2.คนชั้นกลาง 3.คนฉลาด

 

        คนโง่จะอยู่ในเขตสลัมที่โสโครกอย่างมาก

        คนชั้นกลางจะอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่พอกิน

        คนฉลาดจะได้อยู่ในคฤหาสน์อันหรูหรา

 

        โลกออกกฎถึงการอยู่กันอย่างสันติโดยแบ่งเขตให้เหล่าคนโง่ และคนฉลาด อยู่กันคนละที่

        จะได้ไม่แว้งกัดกัน คนแนวเดียวกันจะรู้จักกันดี

        ใครก็ตามที่ถูกตีตราว่าคนโง่ ลูกหลานที่สืบทอดตระกูลก็จะต้องสืบสกุลคนโง่ต่อไป

        พ่อของผมเป็นผู้ก่อปฏิวัติสงครามครั้งนั้น และเมื่อสงครามสิ้นสุด พ่อผมแพ้ ถูกประหารชีวิต

 

        และสวัสดี ผมคือ คนโง่

 

        เซ็นทรัลคือศูนย์กลางระหว่างสามเขตของพวกเรา

        จะมีแค่ที่นี่ที่เดียว ที่คนโง่ คนฉลาด คนชั้นกลาง จะมารวมตัวอยู่ด้วยกันได้ พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายข้ามเขตซึ่งกันโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ก็มีบ่อย ๆ ที่เรามักจะเห็นคนฉลาดเหาะเหินร่อนเร่ไปทั่วตามใจชอบดั่งว่าตนเป็นพระเจ้า กฎหมายมีเพื่อพวกแม่งอย่างชอบธรรม

        ครั้งที่พวกมันเบื่อ ๆ ก็แค่เดินเข้ามาหาเรื่องเราในสลัม และถ้าหากเราตอบโต้ เกิดเหตุวิวาทขึ้น พวกชุดน้ำเงินก็จะรีบแจ้นออกจากรังตัวเอง บินมาเพื่อกดทับพวกเราให้หมอบลงกับพื้น ส่วนพวกคนฉลาด/คนรวยน่ะเหรอ ก็ผิวปากเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยน่ะสิ หรือบางคนก็ระยำหน่อย ยืนมองทั้งรอยยิ้มของความสะใจ ผมอยากฆ่าพวกมันจนใจจะขาด แต่การทำแบบนั้นมันคือวิถีของคนโง่ ความฝันอันสูงสุดของผมคือการได้หลุดจากวงโคจรจักรวาลของเหล่าคนโง่ เผาอดีตตัวเองเสีย สร้างมันขึ้นมาใหม่ ระบุว่าผมมีพ่อกับแม่ ครอบครัวที่แสนอบอุ่น ผมไม่ได้มีพ่อเป็นนักปฏิวัติที่เอาตัวเข้าไปตายโง่ ๆ

        ครั้งหนึ่งเคยมีพวกชุดน้ำเงิน กดเข่าลงต้นคอลิดรอนลมหายใจพวกเราคนหนึ่งให้ตายช้า ๆ อย่างทรมาน ไม่ว่ารอบข้างจะส่งเสียงประท้วงแค่ไหน มันก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เมื่อพวกเดียวกันเห็นว่าทำอะไรกับพวกเราก็ได้ไม่มีผิด มันก็เริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น พวกเราตายอยู่ข้างถนนทีละคน โดยไม่มีใครเหลียวแล การระดมพลประท้วงที่หายไปนับสิบปี จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง

        แต่ไม่มีใครสนใจคนโง่หรอก คุณก็รู้ เราจะหยุดทำงาน ทุบทำลายข้าวของเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมไปมากเท่าไร มันก็ไม่ช่วยอะไร เพราะการประท้วงเหล่านั้นมันเกิดขึ้นในเขตของคนโง่เท่านั้น สื่อข่าวที่ฉายออกไป ก็ฉายข่าวประท้วงแค่ในวงเฉพาะคนโง่

        เราไม่อาจจะไประดมพลที่ศูนย์กลางได้ เพราะไม่มีใครจะเอาขวดน้ำไปสู้กับกระสุนปืนได้หรอก

        อย่าว่าแต่กฎหมายใหม่ที่ออกมาไม่ให้ชุมนุมที่ศูนย์กลางเลย บทเรียนครั้งสำคัญจากครั้งก่อนมันสอนพวกเราไว้มาก

        หนำซ้ำ อีกสองเขตก็ไม่เคยเหลียวตามองพวกเราเลยด้วยซ้ำ พวกเราล้มตายเพื่อบางสิ่ง แต่กลับเป็นพวกมันที่เป็นฝ่ายที่ได้ไปทั้งหมด ไม่ว่าใครจะชนะ เราแพ้ และมัน ชนะ

 

        ผมไม่เคยเข้าร่วมการประท้วงเลย

        ผมจึงถูกถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนรอบข้าง พ่อเป็นถึงนักปฏิวัติ แล้วลูกละเป็นอะไร

        ผมจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เฉยเมยว่า “พ่อตายไปแล้ว”

 

        บัดนี้ถนนละแวกบ้านของผม ต่างเต็มไปด้วยเศษขยะ กระจก และกลิ่นประสงค์อันแรงกล้า ที่เหม็นสาบเกินกว่าพวกชอบน้ำหอมจะทนรับได้ ผมได้แต่เดินผ่านไปแล้วสมเพชพรรคพวกตัวเองในใจ

ผมบอกแล้ว พวกมันไม่สนใจเราหรอก ต่อให้เรากินยาฆ่าตัวตายพร้อมกันหมดเขต ก็ไม่มีใครมาสนใจเราหรอก

 

        เช้าวันนี้ผมต้องไปที่ศูนย์กลาง ซื้อของบางอย่างแล้วกลับมานอนบ้าน

        สวนสดับกับผู้คนในเขต ที่ต่างขีดเขียนบนใบหน้า ใส่หน้ากากออกซิเจนเพื่อสื่อถึงอากาศหายใจที่พวกมันขโมยไปทีละคนจากพรรคพวกของเรา มีใครคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคารถที่ไหม้เกรียม สวมหน้ากาก ถือไม้เบสบอลเจาะตะปูปักธงชาติที่ถูกไฟเผา โชว์ความกล้าหาญออกสื่อ ตากล้องถ่ายรูปเขาอย่างมัวเมา

แน่นอน สื่อยังคงเป็นสำนักที่เหาะเหินไปได้ทั่วทุกทิศ แต่คุณคงรู้ดี ว่าสื่อเป็นยังไง

        ธงชาติโบกสะบัดไปตามแรงลม พร้อมกับไฟที่มันลุกลามเผาเกรียมไปทั่วผืนผ้า

        ชายคนนั้น หลังจากเผาธงออกสื่อไป ผมให้เวลาเขาไม่เกิน 24 ชั่วโมงหรอก

        พวกเราจะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเลย

        มาถึงหน้าประตูกั้นกลางเข้าสู่ศูนย์กลาง เหล่าคนโง่มาชุมนุมกันอยู่ตรงนี้ได้จะอาทิตย์แล้ว ป้ายประท้วงชูชันไปทั่ว มีป้ายหนึ่งที่เขียนว่า “มนุษย์เราต่างต้องตายกันทุกคน ไม่ว่าโง่หรือฉลาด แล้วทำไมต้องฆ่ากันด้วย” เรียกร้องความยุติธรรมผ่านปรัชญาเหรอ เหอะ เหมือนมันสน

        นิ้วกลางต่างถูกชูชันขึ้นมาใส่พวกชุดน้ำเงินที่ยืนกันผู้ชุมนุมไว้อยู่ เห็นอย่างนั้นแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน

        นิ้วกลาง กับ กระสุนปืนเหรอ

 

        การข้ามไปยังศูนย์กลาง ต่างต้องสแกนบาร์โค้ดที่สลักไว้อยู่ต้นคอเรา

        มันจะแสดงประวัติของเราตั้งแต่เกิด รวมทั้งชี้ด้วยว่าเรากำลังจะไปไหน ทำอะไร และมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดที่จะก่อการร้าย

        กล่าวโดยรวมเราถูกควบคุมตั้งแต่เกิดยันตายด้วยโค้ดโง่ ๆ ที่ฝังบนคอเรา

        ยุคนี้จึงกำเนิดการบาร์โค้ดนอกรีตใต้ดิน ไม่ต่างจากยาเสพติด

 

        ศูนย์กลางเป็นเขตที่สะอาด และปลอดภัย ผิดจากเราที่เป็นสลัมยาจก บ้านชิดติดกันแสนคับแคบ ขนาดบ้านแต่ละหลังแทบจะไม่เกิน 5 ตารางวา แต่ต้องอยู่กันถึง 5 คน

        โชคดี ผมไม่มีใคร

 

        ผ่านเข้าสู่เขตศูนย์กลางอย่างง่ายดาย ผมตรงดิ่งไปยังจุดหมายตัวเอง ไม่ว่อกแว่กข้องแวะกับสายตาเหยียดหยามรอบข้าง

        ทุกคนรู้ ว่าผมเป็นลูกของคนที่ก่อสงคราม แต่คนที่ได้ประโยชน์จากสงครามครั้งนั้น ก็คือพวกมันที่มองผมอยู่ในตอนนี้

 

        รองเท้า Nike การจะได้มันมาชั่งแสนยากลำบาก ผมต้องทำงานพิเศษสองงานระหว่างเรียน ม.6 ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเอนท์เข้ามหาลัยอีกต่างหาก แต่เอาเถอะ ในเมืองแบบนี้ ต่อให้จบหมอ

        อย่างมากก็ได้เป็นแค่ หมอโง่ ๆ เท่านั้น

 

        ระหว่างเส้นทางกลับไปยังประตูข้ามเขตแดน ควันสีขาวโขมงเต็มไปหมด ผู้คนต่างพากันวิ่งหนีควันเหล่านั้น ผมเองก็น่าจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่ก้าวขาของผมมันเลือกที่จะสาวเท้าย่างเข้าหาควันขาว ผมสำลักควัน ไอ จาม น้ำมูกน้ำตาไหล ผมปิดจมูก แล้วก้มหน้าเดินต่อ

        ใครบางคนวิ่งสวนออกมา สวมหน้ากาก และผูกผ้าลายธงชาติไว้ที่ต้นคอ เขาเป็นหนึ่งในขบวนการของเหล่าคนโง่แน่นอน เขาดึงผมให้วิ่งไปกับเขา แต่ผมเปล่า ผมสะบัดแขนหนี แล้วสาวเท้าก้าวย่างเข้าไปยังฝูงควันพิษเหล่านั้นต่อ บางอย่างมันเรียกร้องผมให้เข้าไปหา ไม่นาน อะไรบางอย่างที่เหมือนกับดอกไม้ไฟสีส้มก็ระเบิดออก ผมเห็นมันด้วยหางตาตัวเอง ก่อนจะหลับไป

 

        สลึมสลือตื่นขึ้นมาท่ามกลางฝูงควันดำและขาวผสมปนเปกัน เพลิงไหม้รถคันหนึ่งอยู่ต่อหน้าผม ผมยังลุกขึ้นเดินได้อยู่ แต่รู้สึกเจ็บ เจ็บและจุกตรงบริเวณอก ผมเริ่มหายใจไม่ออก ผมพยายามควานหาออกซิเจน แต่ไม่พ้นคาร์บอนจากเหล่าควัน ผมกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในเหล่าคนโง่ที่ทำการแสดงสักอย่างในเชิงสัญลักษณ์ควานหาอากาศหายใจ ผมจึงเริ่มวิ่ง วิ่ง เพื่อหาทางออก ผมไม่อยากเป็นหนึ่งในคนโง่ ผมอยากเป็นคนฉลาด อยู่เฉย ๆ ไป แล้วสักวันผมจะเป็นคนฉลาด ผมไม่อยากเป็นแบบพ่อ ไม่เอาเด็ดขาด—

        เมื่อพ้นขอบควันพิษได้

        ...หญิงสาวคนหนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อยืด กางเกงยีน สวมหน้ากาก ไม่ผิดแน่ หนึ่งในขบวนของคนโง่ เธอกำลังถูกเหล่าชุดน้ำเงินที่สวมเสื้อเกาะอย่างแน่นหนา ฉุดกระชากทั้งตัวทั้งเสื้อ หล่อนดิ้นสู้ ขว้างหินขว้างทราย แต่มันช่วยอะไร เป็นการกระทำของคนโง่สิ้นดี เสื้อของเธอถูกฉีกขาด เต้าอกชูชันตั้งขึ้น ผมเห็นมันกับตา พวกชุดน้ำเงิน จะข่มขืนเธอ ผมมองดูอย่างแน่นิ่งไม่ไหวติง แต่บางอย่างมันขยับตั้งชี้ขึ้นไปเองเมื่อสายตาของผมบรรจบลงหน้าอกขาวนวลนางนั้น ผมบอกตัวเองว่า ไม่ใช่เรื่องเด็ดขาดเลย

        จะทำกันตรงนี้จริง ๆ เหรอ

        หน้าไม่อาย

        ไร้ยางอาย

        ไม่สิ ไม่ใช่ เดรัจฉานเป็นที่สุด การข่มขืนคือเดรัจฉาน เราเป็นมนุษย์มิใช่หรือ

        พวกชุดน้ำเงินสองคนกดเธอหมอบลงกับพื้น ดึงหน้ากากออก หน้าอกกระเพื่อมตั้งขึ้นชี้บนฟ้า เธอร้องไห้ แหกปากเสียงดังก่อนจะถูกมือของพวกชุดน้ำเงินปิดปากเอาไว้ ใครคนหนึ่งที่ดูเป็นหัวหน้าใหญ่สุด มันค่อย ๆ คร่อมตัวลงเธอ

        ควันสีดำโขมงไปทั่ว อารมณ์ไหนจะปรารถนากัน เดรัจฉาน เดรัจฉานแน่แท้

        แต่ผมจะทำอะไร ผมจะเดินเข้าไปเหรอ ไม่สิ นั้นเป็นการกระทำของคนโง่ ผมจะเดินหนี ผมจะเป็นคนฉลาดในสักวัน ใช่ ผมจะเป็นคนฉลาด ผมเดิน เดิน และเดิน

        แต่ว่า ขาของผมมันก้าวผิดฝั่ง ขัดกับใจที่ต้องการ มันพาผมวิ่งทะยานเข้าไปหาเหล่าเดรัจฉานตรงหน้า แล้วปากล่อง Nike ที่พึ่งซื้อมาเข้าหัวพวกชุดน้ำเงิน กระทบหัวดัง*ปึ้ง*เบา ๆ แก่คนที่ดูเป็นหัวหน้า มันลุกขึ้นยืนจากการนั่งคร่อมหญิงสาวเมื่อตะกี้ มันคงเจ็บ ผมประชดในใจ แล้วผมก็วิ่งเข้าไปต่อ หางตาเห็นแท่งเหล็กตรงพื้น ผมหยิบขึ้น ง้างสุดวงแขน ผมเล็งเอาไว้ ที่หน้ากากของมัน ถ้ามันหายใจไม่ออกเหมือนผม มันก็มีสิทธิ์ตายได้ ผมรู้สึกได้ว่า ผมวิ่งเร็วเอาการ ผมทำได้แน่ ผมทำได้ ผมฟาดมันได้... ผมสู้กับอำนาจได้--

 

        “ไอ้ห่า ใครบอกให้มึงยิง” คนที่ดูเป็นหัวหน้า คนที่ผมปารองเท้าใส่หัวมันพูดขึ้น

        “ก็มัน...” ไอ้ชุดน้ำเงินคนที่ปิดปากเธอเลิ่กลั่กตอบ

        “หมดอารมณ์เลยแม่งเอ๊ย ช่างแม่งวะ ทิ้งแม่งทั้งสองไว้งี้แหละ”

        แล้วพวกมันก็จากไป ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมนอนกองกับพื้น และเพิ่งรู้สึกตัวอีกว่าที่ท้องมันเปียกแฉะไปด้วยน้ำแดง กลิ่นของเลือดมันแตะจมูก ช่างคุ้นเคย ผมได้กลิ่นคาวเลือดมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะพ่อผมมักจะพาไปยังที่ชุมนุมเสมอ เขาจะให้ผมสืบทอด ตั้งแต่รู้ว่า เขาจะแพ้ เป็นพ่อที่แย่ที่สุด

        ผมอยู่ด้วยในตอนที่เกิดการสลายชุมนุมครั้งใหญ่ ฝนห่ากระสุนกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้า วันนั้นนั่นแหละที่ผมได้กลิ่นเลือด จดจำจนถึงทุกวันนี้

        ดวงตาผมเริ่มมืดมัว สลัวมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีขาว บ้าน่ะ ท้องฟ้ามันสีครามจะตายจะขาวได้ไง ไม่สิ

        ที่ขาวคงจะเป็นเนื้อนังมังสาของเธอคนนั้นที่กำลังเขย่าตัวผมอยู่ เธอพูดว่าอะไรแล้วผมไม่ได้ยิน

        แต่แย่จัง เธอปิดหน้าอกตัวเองเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง เห็นแค่ไหปลาร้าขาวนวลนาง

        ผมสงสัยตัวเองจริง ๆ ว่าผมเข้าไปทำไม ทำไมผมไม่ทำแบบทุกที ทุกทีที่คนในเขตผมกำลังตาย ผมจะเดินหนี

        ชายคนนั้นที่ได้เป็นผู้จุดชนวนของเหตุการณ์นี้ทั้งหมดด้วยความตายของตนก็ด้วย ผมก็อยู่ตรงนั้น แต่ผมเดินหนี

        แล้วทำไมผมถึงวิ่งเข้ามาช่วยหล่อนกัน เธอเป็นส่วนได้ส่วนเสียของผมก็ไม่ใช่

        ไม่ใช่เลย...

        อ่า... ผมรู้แล้ว

        ผมเป็นคนโง่จริง ๆ ด้วย มันดิ้นหลุดไม่พ้นหรอก ต้นกำเนิดของตัวเราเอง

        และราตรีสวัสดิ์ ผมนั้น คือคนโง่

 

..........................................................................

 

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง     

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

           วรรณกรรมออนไลน์