เรื่องสั้น : ฝนดอกไม้ : ดอกชบา
เรื่องสั้น : ฝนดอกไม้ : ดอกชบา
...................................................
1
ฤดูฝนเคลื่อนเมฆคลุมฟ้าสีคราม โอบล้อมรุกไล่เปลวแดดร้อนแรงให้หลบเร้นในแสงเอียง ๆ อันอ่อนโรยที่ค่อย ๆ ลงลับขอบโค้งฟ้าในแสงสนธยาอย่างเจียมตน
ระงมเสียงเริงรำเหนือพุ่มไม้ชายคา ผ้าห่มผืนหนาห่อกายเปลือยเปล่า ความฝันเหล่านั้นบิดรูปเปลี่ยนอิริยาบถจากฤดูร้อนเข้าสู่ห้วงอารมณ์ใหม่หมาดของฝน แรงลมระลอกแล้วระลอกเล่าเข้ามากระชากหลุดออกจากเปลือกแข็งกระด้าง พลันตื่นขึ้นพบตนเองยืนหรุบปีก ลังเลตรงทางแยกของฤดูกาล, เป็นการต้อนรับการผลัดเปลี่ยนด้วยอาวรณ์ต่อเหล่าดอกไม้ที่เพิ่งจะเบ่งบานสีสัน ยังเพียงเสียงลมพัดผ่านการได้ยินที่ไม่ชัดเจน โคจรสู่การนับจังหวะห้วงเวลานาทีแห่งการม้วนเก็บพับทบเส้นทางแสนไกลไว้ในเขาวงกต ทิ้งใครบางคนไว้ในอาการเหม่อลอยท่ามกลางเสียงพึมพำเปียกปอนไปทั่ว
พลิกกายตะแคงด้วยรอยยิ้ม มองไปนอกหน้าต่าง ม่านน้ำโปรยปรายเป็นละออง ราวเป็นการเยียวยาช่วงเวลาโหดร้ายที่ยังไม่ล่วงผ่าน
“เพลงไหนเหมาะกับคุณในช่วงเวลานี้คะ”
“ประเทศกูมี”
เสียงหัวเราะคิกคัก ด้วยพอใจในคำตอบ หรือประชดประชันก็ไม่แน่ใจ
“แนวเพื่อชีวิตระดับตำนานของเมืองไทยไปไหนเสียล่ะคะ”
“ก็ยังอยู่ที่เดิม”
“ป่าเขาลำเนาไพร ?”
“พอเถอะ ไม่พูดแล้ว นอนฟังเสียงฝนดีกว่าไหม”
2
เนิ่นนานก่อนนั้นคุณเคยเดินท่องไปในทุกหนแห่ง วางจุดหมายไว้ในแสงเงียบงันให้หลบซ่อนใต้ร่มไม้ ลามเลียกลุ่มใบร่วงหล่นเปื่อยผุ ต่างก็ร่ำลากันตรงนั้น จบสิ้นกันตรงนี้ แสนไกลกว่านั้นคือเมล็ดพันธุ์ที่นกสักตัวคาบไปทิ้งไว้อีกหนแห่ง
เมื่อวาน หรือพรุ่งนี้กำลังสร้างเงื่อนไขให้เวลาของวันนี้ไม่อาจขยับเขยื้อน เมฆครึ้มครึ่งฟ้า ฝนไม่ทั่วฟ้า แดดสุดท้ายอีกฟากฝั่งอาลัยอาวรณ์ต่อการพบเห็น
เสียงพลิกกายหนักหน่วง ซุกมือในผ้าห่มหนา เสียงฝนพรำ เสียงกระซิกไหลร่วงอยู่เหนือระเบียง ริมรั้วนั้น เหล่าใบไม้กำลังขยับกายตายซากไหลลอยไปกับมวลน้ำฝนหลากล้น พวกมันเริงรำลิงโลด พลิกกายหงายคว่ำโดยมิล่วงรู้ความจริงของสิ่งที่ตายไปแล้ว
คล้ายเหมือนแต่ละวันคืนผ่านไปกับการรอ, ภายใต้แสงนำทางอันอ่อนแรงจากหลอดไฟใกล้หมดอายุในคืนมัวหม่น
ไม่มีสิ่งใดปกติเหมือนเดิม แม้แสงสว่างที่เจิดจ้า ยังเพียงทัศนวิสัยการมองเห็นที่หดสั้นลง และการเฝ้ารอให้ทุกอย่างกลับคืนเป็นปกติ
รถเมล์แล่นจอดตรงถนนใหญ่ที่เคยมีฝูงคนกรูขึ้นไป
ไฟล์ทบินถูกเลื่อน คนรักไม่กลับมา โรคระบาดพรากคนรักไปชั่วข้ามคืน
ร้านขนมหน้าปากซอยปิดเงียบ
ร้านชาตรงถนนข้างวัดไม่มีวงสนทนาทางการเมือง
การล้อมปราบผู้ชุมนุมทางการเมือง
นักศึกษาบางคนถูกจองจำในคุกด้วยข้อหาล้มล้างฯ ทั้งที่ศาลยังไม่พิพากษาความผิด
บาร์ที่เคยเนืองแน่นไปด้วยนักดื่ม เสียงเพลงกล่อมในอารมณ์ทึมเทา กลุ่มเพื่อนรักกอดคอกันระบายชีวิตบัดซบ
แต่ละวันคืนผ่านไปกับการก่นด่าอำนาจรัฐผู้กดขี่ แล้วต่างสวมหน้ากากออกไปหลอกผีกันเอง เชื้อร้ายภายนอกเต้นระบำในอำนาจของตน เชื้อร้ายในกายเดือดพล่าน ความตายกระซิบบอกถึงโลกใหม่ที่รออยู่ตรงหน้าประตูบ้านของคนอื่น เราไม่ได้ออกไปพบปะเพื่อนฝูงเพราะความกลัว เราหลีกหนีการพบหน้าเพราะรักกันเหลือเกิน ความปรารถนาดีเหล่านั้นเป็นไปภายใต้บรรยากาศอันหม่นมัว อึดอัดไร้สิ้นหนทาง
ตักข้าวใส่จาน อาหารมื้อโปรดราวเป็นมื้อแห่งการร่ำลา ค่ำคืนดื่มด่ำ บิดรูปเหมือนเชือกเส้นหนึ่ง แขวนเราค้างไว้ในโลกแปลกหน้า แสงสว่างริบหรี่ลง ขดปลายเชือกของมันไว้ในทัณฑสถานอันสิ้นหวัง หนทางหดสั้น รอยเท้าวนเวียนอยู่ในพื้นที่ไม่กี่ตารางนิ้ว เราจะตายอยู่ตรงนี้- ไม่มีเที่ยวบินไปดินแดนสวรรค์ รถประจำทางหยุดจอดหน้าวัด งานศพไร้ผู้มาร่วม เปลวเพลิงมอดไหม้ตำนานชีวิตเป็นกลุ่มควันสีดำ ส่งดวงวิญญาณโดดเดี่ยวไปสู่ร่ำลาครั้งสุดท้าย ซึ่งมันค่อย ๆ จางหายไปในหมู่ตึกเสียดฟ้า
ถ้อยคำรักจากคนรักเก่าเลือนหายไป แต่เสียงตะโกนขับไล่ปีศาจยังคงดังก้องทั่วมุมเมือง, ค่อย ๆ ละเลียดข้าวในจานให้หมด กอดคนรักไว้ให้แน่น สิ่งที่น่ากลัวในวันพรุ่งนี้ คือเรายังมีชีวิตอยู่ แต่เสรีภาพกลับถูกเหวี่ยงไปมาในมือของคนอื่นราวของเล่น
ปลายเชือกของความหวังยังทอดยาวออกไป ไกลแสนไกล
3
ดอกไม้
ดอกไม้
ดอกไม้
สักวันจะต้องมีใครสักคนร้องตะโกนหาดอกไม้สักดอกในท้องทุ่งอันแห้งแล้ง มวลเศษหญ้าโปรยปลิว และกองกระดูกของความลวงเกลื่อนกล่นไปทั่ว ณ ที่แห่งนั้นเราต่างกำลังดิ้นรนค้นหาอิสรภาพ ความหวัง ความยุติธรรม แต่มองไปทางไหนก็เห็นเพียงความเงียบงัน จิตวิญญาณเร่ร่อนของผู้ถูกกดขี่ ซุกซ่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ มันคือป่าช้ารกชัฏที่ไร้ซึ่งผู้คน ภูตผีตนใดก็หามีไม่ ยังเพียงความเงียบ และเสียงเหยียบย่ำที่ไร้ตัวตน เหล่าต้นไม้ใบหญ้าต่างรอการผลิดอกบานสะพรั่ง แต่มันก็นานมาแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เคยปรากฏ
กระทั่งเมื่อการลี้ภัยทางการเมืองสร้างบาดแผลในชีวิตของคนคนหนึ่ง ความเป็นไปในสังคมแปลกประหลาดก็ผุดขึ้นด้วยรูปลักษณ์ของปีศาจตนหนึ่ง นั่งอยู่เหนือการมองเห็นของเรา วางเงื่อนไขอันเป็นเงื่อนงำ ดุร้าย และหลอกหลอน บิดเบือนแผ่อำนาจของมันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบหลายทศวรรษ
หลายปีมานี้คุณประจักษ์กับความจริงที่ว่า การมีชีวิตอยู่ในวงล้อมด้วยจารีตนิยมอันผุพังนั้นได้สร้างโลกยูโทเปียขึ้นมาอย่างมิอาจหลบหลีกไปไหนได้ สิ่งเหล่านี้ดูเกินจริง และคล้ายเหมือนการสร้างภาพฝันที่ไม่อาจเป็นจริง แต่มันก็เป็นความหวังให้คุณยังมองไปข้างหน้า มีเรี่ยวแรงที่จะเดินออกไปบอกใครต่อใครว่า อย่าเพิ่งหมดหวังกับคนรุ่นหลัง แม้พวกเขาจะทำในสิ่งที่ไกลเกินจะเป็นจริงได้ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ก็ตาม แต่สำหรับคนหนุ่มสาวแล้ว การออกเดินตามหาทุ่งดอกไม้ และโลกในอุดมคติของพวกเขาคือสิ่งที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
จึงไม่แปลกที่จะมีใครสักคนโหยหาความรู้สึก ทำนองว่าต้องมีสักหนแห่ง สถานีที่ซึ่งดอกไม้กำลังเบ่งบาน กลีบดอกร่วงลงบนผืนแผ่นดินไร้มลทิน เกสรแห่งความปรารถนาถึงเสรีภาพโปรยปลิวไปตกหล่น งอกงามขึ้นอย่างที่มันควรจะเป็น ไม่ถูกเหยียบย่ำหรือทำลาย
“ดูสิคะ คุณพาฉันมาไกลมาก ๆ” หญิงสาวนั่งอยู่หน้าเต็นท์ที่เราเพิ่งกางเสร็จตอนใกล้ค่ำ “มองไปไม่เห็นบ้านเรือนผู้คนอยู่เลย ที่นี่ดูเงียบมาก ข้างหน้ามืดสนิทยังกับอยู่ในโลกใบอื่น ที่แบบนี้เหรอที่คุณฝันอยากเดินทางมาถึง”
“ผิดหวังรึเปล่าขับรถมาพันกว่ากิโล แล้วมาเจอแค่ทุ่งดอกหญ้าในป่ารกร้าง”
ลมยามค่ำเริ่มพัดแรง หญิงสาวกระชับสองแขนกอดอกคลายหนาว “ก็สวยดี ไม่เคยเห็นดอกหญ้าเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย หาดูยากนะคะดอกหญ้าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติแบบนี้”
“ตอนเด็ก ๆ ผมเคยมาวิ่งเล่นแถวนี้บ่อย ๆ ตรงนี้เคยเป็นสวนยาง เลยไปฝั่งโน้นก็เป็นคลอง น้ำทั้งหมดจากที่นี่ไหลลงไปรวมกันที่อ่างเก็บน้ำ”
“ไม่เห็นบอกว่าบ้านคุณอยู่แถวนี้” หญิงสาวทำหน้าสงสัย
“ก็ไม่เชิง หลายสิ่งมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว พ่อขายที่ดินแปลงนี้ให้กับป้าแล้วย้ายพวกเราทั้งหมดไปอยู่กรุงเทพ ป้าตายไปเมื่อปีก่อน ลูกหลานส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด ที่ดินตรงนี้เคยมีคนเช่าทำไร่ข้าวโพด คนเช่าย้ายกลับอีสานไปหลังเกิดรัฐประหารปีห้าหนึ่งแล้วก็ไม่กลับมาอีก ได้ข่าวว่าลูกชายของป้าจะมาปลูกบ้านที่นี่หลังเกษียนราชการครูจากปัตตานี”
“การกลับมามีชีวิตบนแผ่นดินเกิดเป็นสิ่งที่ทุกคนฝันถึง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำมันได้จริงไหมคะ” หญิงสาวพูดขึ้นลอย ๆ
ฟ้ามืดสนิทแล้ว ไฟดวงเดียวที่เรามีเหมือนไม่เพียงพอ
“ไม่รู้สิ” คุณสูดอากาศเย็นเยียบเข้าปอด แล้วพรูลมหายใจออกจากปาก “ก็หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น และพ่อคุณจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติในแผ่นดินเกิดในวันหนึ่ง”
“อะไรบางสิ่งพาเราย้อนกลับไปยังโลกใบเก่า สุดหล้าฟ้าเขียว เหล่าปัญญาชน ยังคงเข่นฆ่ากันเองในนามของผู้รักชาติ คงอีกยาวนานที่เรื่องเล่าปรัมปราทำนองนี้จะหมดไป” หญิงสาวพูด
“เรื่องไร้เหตุผลที่ถูกผลิตซ้ำจนกลายเป็นพิธีกรรม กลายเป็นความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่ง”
“ความเป็นคนมันก็เท่ากัน”
“ใครบอก”
“นายพล”
“หึหึ นี่เรากำลังพูดถึงนิทานเรื่องไหนอยู่ครับ”
“อะไรที่ดูไม่จริง ไม่เข้ากับยุคสมัย มันก็เป็นนิทานเสียส่วนใหญ่”
“นิทานหลอกเด็ก หรือเรื่องเล่ากล่อมนอน”
“หลอกผู้ใหญ่ และฆ่าความฝันของพวกเขา”
“แล้วพวกเด็ก ๆ ล่ะ”
“ก็จับพวกเขาไว้ในกรงซะ”
“เหมือนการเอาเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไปฆ่าด้วยการกลบฝังโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะงอกขึ้นมาในวันหนึ่ง”
หญิงสาวพูดพลางปลิดปุยสีขาวของดอกหญ้า เป่าลมจากปากให้มันลอยไปจากมือ “แล้วคุณดูสิ ภูเขาสูงใหญ่แค่ไหนก็ไม่อาจขัดขวางการผลิงอกของเมล็ดพันธุ์”
คุณมองดูปุยดอกหญ้าสีขาวลอยหายไปในสายลม
“กลีบดอกร่วงลงพลัน พายุดอกไม้ เส้นรุ้งพาดผ่านโค้งฟ้า คลื่นลมปีศาจพัดอยู่เหนือประตูบ้าน
การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น เด็ดมันทิ้งด้วยอำนาจไร้ความเป็นธรรมลงไปในหลุมศพของผู้พลีชีพในทุ่งสังหาร ดอกไม้จะผลิงอกในมือของเหล่าผู้กล้าหาญ”
“ใครกล่าวไว้คะ”
“ดอกไม้สักดอกพูดกับผืนดินของมัน”
หญิงสาวหันมายิ้ม พลางก้าวเดินออกไปช้า ๆ เด็ดดอกหญ้าสีขาวมาทัดหู เอียงคอท่วงท่ายั่วล้อ แล้วปล่อยเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงหายไปในสายลมชื้นฝน
“ผู้ไร้อำนาจกับดอกไม้เป็นสิ่งคู่กัน”
“ความงามของดอกไม้ก็มีอำนาจในตัวมันเองนี่ครับ”
“เหรอคะ” หญิงสาวหันมาสบตาคุณ “ถ้าเด็ดมันออกจากกิ่งก้านเสียแล้ว มันยังจะหลงเหลืออำนาจในตัวเองไหมคะ”
“มีสิครับ หากเรามีภาพจำต่อมันเพียงพอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นคนเด็ด และเด็ดมันมาเพื่ออะไรด้วย ความจริงที่เราเห็นมันเป็นอะไรทำนองนี้”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าความจริงของพรุ่งนี้คอยแต่จะเอื้อมมือใหญ่โตของมัน ดึงเราให้กลับไปยังโลกใบเก่า
“ทั้งหมดมันคือการเสกสรรปั้นแต่ง คือการลอกคราบความจริงทั้งหมด แล้วเห็นเพียงร่างเงาของถ้อยคำคล้ายโครงกระดูกห้อยต่องแต่งอยู่บนเวทีการแสดงของความลวง เพราะงั้นเราลองมองกันง่าย ๆ เสียว่าหากคุณเด็ดดอกไม้ มันก็คือการเด็ดดอกไม้ มิใช่การสร้างโลกสวยงามด้วยสิ่งที่หยิบฉวยมาโดยวิสาสะ หากคุณปรุงอาหาร มันก็คือการปรุงอาหาร เพราะคุณต้องกิน เพราะคุณหิว หรือมีใครสักคนต้องการอาหารสักมื้อ ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ มันดูสามัญที่สุดแล้ว”
หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ ดึงดอกไม้ออกจากข้างหู มองมันอย่างครุ่นคิด
“ฟังดูเหมือนเราแทบไม่หลงเหลือความจริงอยู่อีกแล้ว การดัดจริตเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อการมองเห็นเหตุผลของคนอื่นนั้นยังจำเป็นอยู่ไหมคะ เพราะที่สุดของการเสกสรรปั้นแต่งนั้นเพื่อสร้างความโดดเด่นในทางใดทางหนึ่ง มันเป็นได้ทั้งในแง่ของศิลปะ และการโกหก”
“คนที่โกหกมีอยู่สองประเภท อย่างแรกคือโกหกเพื่อสร้างรักษาอำนาจในตัวเองเอาไว้ อย่างสองคือโกหกเพื่อลดทอนความจริงให้ดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่กลุ่มคนที่มีอำนาจล้นมือจนไม่เห็นหัวคนอื่นขาดชั้นเชิงในเรื่องพวกนี้ สิ่งที่พวกเขาถนัดคือการใช้อำนาจบังคับด้วยการอ้างกฎหมายที่ไร้ความเป็นธรรม มันยากที่พวกเขาจะทำสิ่งเหล่านี้ได้หากไร้ผู้มีอำนาจเหนือกว่าหนุนหลัง”
ความมืดหม่นโรยตัวลงอย่างช้า ๆ โดยเราไม่ทันสังเกตเห็น ขณะฝนโปรยเบาบางลงมาพร้อมกับสายลมเย็นเยือก กระทั่งบทสนทนาที่ดูไม่มีจุดสิ้นสุดจบลงภายใต้บรรยากาศที่ถูกโอบล้อมด้วยเม็ดฝนหนาหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงเม็ดฝนหล่นเปาะแปะลงบนเต็นท์ผ้าใบ ทั้งกรูกราวหนักเป็นช่วง ๆ แล้วก็พลันวูบหายไปในเสี้ยวนาที ลงหนักในอีกนาทีต่อมา เป็นอยู่เช่นนั้นเกือบตลอดทั้งคืน
เช้าวันนั้น เรายืนมองต้นหญ้าล้มนอนเอียงซบดิน ขณะแสงเช้าแดงเรื่อโผล่พ้นอยู่อีกฟากภูเขา เสียงนกหลากชนิดร้องระงม เสียงที่ฟังชัดอยู่ใกล้หู และเสียงที่ฟังมาจากไกล ๆ สายลมยามเช้ายังคงม้วนตัวของมันเข้าหาเราอย่างไม่ลดละ
“อีกนานไหมคะที่หญ้าพวกนี้จะยืนต้นขึ้นมาได้อีกหน”
“แน่นอน พอแดดโผล่มาเต็มที่ มันหยัดยืนขึ้นได้เหมือนเดิม แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด” คุณบอกหญิงสาว
“ฉันก็หวังไว้แบบนั้น แต่ดูเหมือนเมฆฝนกำลังตั้งเค้าอีกแล้วนะคะ ดูสิ” หญิงสาวชี้มือไปอีกฟากฝั่งภูเขา
“ก็มันฤดูฝนนี่ครับ เอาแน่นอนอะไรได้เสียที่ไหนกัน”
หญิงสาวหัวเราะอย่างขันขื่นออกมาเบา ๆ
“คุณว่าเมฆที่คุณเห็นตอนนี้เป็นรูปอะไรคะ” หญิงสาวถาม “ทางโน้นน่ะ”
“เหมือนรูปดอกไม้อะไรสักอย่าง” คุณตอบตามที่เห็น
“ลองเงยขึ้นไปดูอีกสิคะ นั่นมันปีศาจชัด ๆ”
“เอ ก็ตะกี้มันยังเป็นรูปดอกไม้อยู่เลยนี่นา” คุณทำหน้าฉงน
“งั้นเดี๋ยวสักพักนึงมันคงเปลี่ยนเป็นรูปดอกไม้อีกก็ได้ จริงไหมคะ” น้ำเสียงหญิงสาวเหมือนกำลังเอาใจคุณมากกว่าจะพูดจากสิ่งที่รู้สึกจริง ๆ
“ช่างมันเหอะ เพราะเดี๋ยวมันก็ร่วงลงมาเป็นฝนอยู่ดีนั่นแหละ ว่ามั้ย”
“อืม...”
ครู่ต่อมา ฝนก็พลันตกลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน เราวิ่งไปหลบกันอยู่ในเต็นท์ในสภาพเนื้อตัวเปียกปอน ขณะความปั่นป่วนของฝนยังคงกระหน่ำครืนๆ อยู่ข้างนอก กระนั้นเราก็ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด มองตากันท่ามกลางความมืดหม่นอันเย็นเยียบ ต่างรอนาทีต่อนาทีให้ฝนหยุดตก
นานนับชั่วโมงที่ฝนยังพรำเม็ดหนาหนัก ความรู้สึกอึดอัดเริ่มบีบพื้นที่ในเต็นท์ให้แคบลง เรามองตากันอีกหน และโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร เอื้อมมือไปรูดซิปเปิดประตูเต็นท์อย่างรีบร้อน พร้อมกันออกไปเผชิญกับฝนข้างนอก
“ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้” หญิงสาวร้องตะโกนท่ามกลางลมฝนกรูเกลียว ก่อนร่างของเธอค่อย ๆ กลืนหายไปในมวลมหาศาลของเม็ดฝน และคล้ายว่ามวลน้ำเหล่านั้นก็กลืนหายเข้าไปในร่างของเธอด้วยเหมือนกัน
................................……………..
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”