เรื่องสั้น : เปรมิกาตายแล้ว : รมณ กมลนาวิน

เรื่องสั้น : เปรมิกาตายแล้ว : รมณ กมลนาวิน 

        หัวใจผมเต้นแทบกระเด็นออกนอกอก กระโจนเข้าหลบหลังกำแพงรั้วสูงเทียมไหล่

        เสียงรถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนใกล้มาหยุดที่ด้านนอกประตูทางเข้า แสงจากดวงไฟหน้ารถสาดไปทางท้ายโครงการ ผมยอบตัวแนบพื้น ฝนตกคืนก่อนทำให้ได้กลิ่นชื้นดินและหญ้า อากาศร้อนอ้าว ไม่แน่คืนนี้ฝนอาจตกอีก อยากให้ตกจริง จะได้ไม่มีใครออกจากบ้าน

        เจ้าของรถบิดเร่งเครื่องพามอเตอร์ไซค์ออกไปพร้อมดวงไฟ ย้อนกลับหน้าโครงการ ผมค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ โล่งอกไปที ไม่กล้าคิดเลยว่าหากมีใครมาเห็นจนถูกจับได้ต้องเจอกับอะไร ผมลุกขึ้นนั่งชันเข่า มองร่างเล็กนอนคว่ำตะแคงหน้ามา เปลือกตาฟกช้ำห้อเลือดทั้งสองปิดสนิท เส้นผมยาวกระเซิง บริเวณศีรษะชุ่มเลือด แขนขวาบิด มือสอดใต้ร่าง แขนซ้ายแนบลำตัว นึกถึงภาพตอนที่เธอถลึงตาสาดคำด่าทอใส่ บัดนี้นอนสิ้นฤทธิ์ หายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น เป็นเพราะการกระทำของตัวเองแท้ ๆ ผมยืดตัว สายตาโผล่พ้นขอบกำแพง กวาดตามองจนแน่ใจว่าไม่มีใคร เอื้อมคว้าผ้าห่มขนหนูสีเทาปีนกำแพงขึ้นนั่งบนขอบ  หันมองเธออีกครั้งก่อนกระโดดออกไป

        ผมรีบวิ่งกลับเข้าบ้าน กลั้นใจเปิดประตูแล้วปิดเบามือ กระโจนขึ้นบันไดตรงเข้าห้องนอน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่หน้าต่าง แง้มผ้าม่านมองออกไปด้านนอก กวาดสุดระยะสายตา บ้านทุกหลังเงียบกริบ เจ้าของบ้านคงพากันอยู่ในโลกความฝัน ถึงอย่างนั้นก็ยังหวั่น ลมร้อนสลับเย็นตีตลบในอก อีกนานไหมเธอจะขาดลมหายใจ

        แต่เธอเป็นคนทนมือ ตายยาก อารมณ์ผมขุ่นขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงที่ผ่านมา ใช้ความอดทนอดกลั้นกับเธอไม่รู้เท่าไร สุดทนแล้วนั่นแหละถึงลงมือ เธอควรว่าง่ายเหมือนเมื่อแรก ๆ ตอนเป็นสาวน้อยวัยสิบแปดจากแม่สอด ที่เอาแต่ยิ้มหวานและเขินอายสำเนียงภาษาไทยของตนเอง เธอดูใสซื่อเสียจนผมเกือบใจอ่อนอยู่หลายครั้ง หากหน้าตาสะสวยกว่านี้สักหน่อยคงจะรักเธอได้ไม่ยาก

        ผมแก้ปัญหาเรื่องภาษาให้เธอหลังได้ดูภาพยนตร์สยองขวัญไทยเรื่องหนึ่ง จากแผ่นที่ซื้อไว้จนลืม เป็นเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์สยดสยองในรีสอร์ตหรู ผีสาวไล่ฆ่าคนอย่างทารุณ ก่อนตายเธอเป็นเด็กสาวต่างด้าวที่ถูกซื้อมาเป็นทาสกาม สนองความใคร่ให้ลูกค้าแก่คราวพ่อ เธอฝึกพูดภาษาไทยด้วยการร้องเพลงคาราโอเกะ เด็กสาวจากแม่สอดหดหู่ใจกับเรื่องราวของผีสาวเพราะมีชีวิตที่คล้ายกัน แต่จู่ ๆ เธอก็ยิ้มร่า บอกว่านอกจากฝึกพูดภาษาไทยแล้วยังอยากมีชื่อภาษาไทยด้วย เธออ้อนผมตั้งให้

        ‘เปรมิกา’ ผมยิ้มเย้า

        เธออิดออดเพราะเป็นชื่อของผีสาว แต่สุดท้ายก็ยอมหลังผมบอกชอบชื่อนี้ เธอว่าจะยอมทุกอย่างขอแค่ได้อยู่ใกล้ผม ฟังแล้วรู้สึกอึดอัด ผมรีบพูดดักคอ บอกว่าการได้อยู่ใกล้ไม่ใช่อยู่ด้วยกัน สุขสมข้ามคืนรุ่งเช้าต้องกลับ ผมย้ำท่าทีจริงจัง การนิ่งเงียบของเธอไม่ได้หมายถึงการตอบรับ แต่เป็นการทำให้ผมเข้าใจว่าเธอเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม แต่เป็นเพียงเดือนแรกเท่านั้น เดือนถัดไปเธอทำเหมือนไม่เคยมีข้อตกลงกันมาก่อน ทนไม่ไหวผมก็ออกปาก แต่เธอไม่ยอมท่าเดียว ตีโพยตีพาย ร่ำไห้ทำเหมือนว่าหากพลาดรักครั้งนี้จะหาอีกไม่ได้ตลอดชีวิต ร้องไปเถอะ อย่างไรผมก็ไม่ยอม

        เธอเปลี่ยนจากทำตัวน่าสงสารมาใช้ไม้แข็งกับผม ก่อความวุ่นวายบังคับให้ยอมเธอ ผมก็ไม่อ่อนให้  ย้ายที่นอน แต่ไม่ว่าผมหนีไปที่ใดเธอจะสืบและตามเจอจนได้ ถึงขั้นผมใช้กำลังเธอก็ไม่กลัว เธอออกจากร่างเด็กสาวกลายเป็นปีศาจร้ายตามรังควานผมแม้ในความฝัน ชี้หน้ากล่าวหาผมเป็นคนหลอกลวง ผมส่ายหัว เอือมระอา

        ผมขอลาออกจากร้านอาหาร งานเสิร์ฟหาใหม่เมื่อไรก็ได้ ตอนนี้ผมต้องหนีจากเธอให้ได้ก่อน เจ้านายรู้เรื่องระหว่างเรา เขาไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวแต่ก็ยอมช่วยหลังถูกอ้อนวอน ผมย้ายมาอยู่แถบชานเมืองฝั่งตะวันออก ในหมู่บ้านที่ส่วนใหญ่เป็นดินเปล่า หลังจากลูกค้าเลือกซื้อที่ดินแปลงไหนจึงปลูกสร้างบ้านให้ แรกมาอยู่มีเพียงสิบกว่าหลัง จนตอนนี้เพิ่มเป็นเท่าตัว หลายหลังถูกซื้อไว้ตกแต่งให้คนเช่า หนึ่งในนั้นคือบ้านเจ้านาย เขาให้ผมมาเฝ้าและดูแลให้ระหว่างยังไม่มีผู้เช่า แล้วบอกผมเร่งสะสางปัญหา ผมขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ทำงานในร้าน แม้หลายคนจะช่วยเก็บเป็นความลับแต่เธอก็สืบรู้จนได้ รู้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่

        ช่วงใกล้ค่ำเธอโทรหาผมให้ออกไปรับหน้าหมู่บ้าน ทันทีที่เห็นหน้าเธอก็ออกท่าทีเอาเรื่อง โชคดีที่ยามหมู่บ้านไม่ได้อยู่ที่ป้อม ผมรีบพาเธอมาก่อนใครจะเห็น เมื่อเข้าบ้านเธอก็อาละวาดทันที ผมลากเธอขึ้นชั้นสองเข้าห้องนอน ปิดม่านหน้าต่าง

        เพื่อให้เธอเกลียดและยอมเลิกราผมจึงโกหกว่ามีผู้หญิงคนใหม่แล้ว เธอชะงักค้าง ตัวสั่นราวถูกไฟฟ้าช็อต กรีดร้องพลางด่าทอแต่ไม่ดังเท่าเสียงฝ่ามือหนาใหญ่กระทบหน้า ผมตบอีกครั้งหยุดความคลั่ง เธอกัดเสียงร้องไว้แล้วยืนจ้องหน้าสายตาเคียดแค้น แทนที่จะทิ้งคนเลวอย่างผมไว้แล้วจากไปเธอกลับกระโจนเข้าหา ดึงทึ้งเสื้อยืดผมจนตะเข็บคอเสื้อขาด ผมปัดป้องจับแขนเธอเหวี่ยงเข้าผนังห้อง แต่ร่างที่กลายเป็นปีศาจทำเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิด เธอกระโจนเข้าหาอีกราวจะฉีกเนื้อ ผมต้องจิกผมแล้วกดหัวเธอลงพื้นถึงจะอยู่ ผมแน่ใจว่าเพียงแค่กดหัวเธอลง แต่เสียงดังโพละก่อนที่เลือดเหนียวเหนอะจะไหลลงอาบหน้าทำผมตกใจ เธอสิ้นฤทธิ์นับจากวินาทีนั้น เสียงหายใจแผ่วจนผมลนลาน มองเลือดที่หัวไหลนองพื้น แผ่นหลังของเธอในชุดเดรสสีขาวชุ่มเลือด ผมพยายามตั้งสติ พาไปโรงพยาบาลผมคงถูกจับ เธอตายผมจะเป็นฆาตกร ปล่อยไว้อย่างนี้ที่นี่จะเป็นที่เกิดเหตุ ผมมองเธอทั้งหวาดหวั่นทั้งกังวล ถ้าเธอไม่เริ่มก่อนคงไม่ต้องลงเอยเช่นนี้ ที่ต้องทำตอนนี้คือนำร่างเธอออกจากบ้านให้เร็วที่สุด ผมห่อร่างเธอด้วยผ้าห่มขนหนูสีเทาผืนใหญ่ แล้วคอยเวลาดึกสงัด

        เมื่อพระจันทร์ลอยกลางผืนฟ้าสีดำ ผมเดินสำรวจตามถนนทั้งสองฝั่งจนแน่ใจ ก่อนกลับเข้าบ้านช้อนร่างเล็กในผ้าห่มออกไป บ้านแต่ละหลังในเนื้อที่ 80-100 ตารางวา อยู่ห่างเกินกว่าใครจะสนใจใคร โดยเฉพาะยามค่ำคืน ดวงไฟที่ต้นเสาอยู่ห่างกันมาก ถนนจึงไม่สว่างนัก แต่ถึงอย่างนั้นผมยังกังวล วิ่งสลับเดินไปให้ถึงบ้านหลังนั้น ยิ่งอุ้มนานก็ยิ่งหนักขึ้น ทั้งที่ร่างเธอก่อนนี้เบาเท่ากระเป๋าเดินทางหนึ่งใบเท่านั้น

        ผมเลือกบ้านที่กำลังก่อสร้างต่อเติม ดีกว่าทิ้งไว้ในแปลงที่ยังว่างเปล่า แถวนั้นเต็มไปด้วยหญ้ารกและแอ่งน้ำครำ เกรงจะเป็นอาหารของพวกตัวเหี้ยที่คอยหาแต่เศษซากสัตว์เน่าเปื่อย ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้น ผมอุ้มเธอผ่านทางเข้า กวาดตามองหาที่เหมาะ ๆ ข้างกองเสาเข็มท่าจะดี ผมวางเธอลง ดันร่างออกจากผ้าห่ม เธออยู่ในท่านอนคว่ำหน้าด้านขวาแนบพื้นดิน ผมคิดจะหาแผ่นไม้วางทับร่างเธอแต่ไม่ทัน เสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามา หัวใจผมเต้นแทบกระเด็นออกนอกอก กระโจนเข้าหลบหลังกำแพงรั้ว เสียงหยุดที่ด้านนอกใกล้ทางเข้า แสงจากดวงไฟหน้ารถสาดไปทางท้ายโครงการ ผมยอบตัวแนบพื้น อาจเป็นยามกะกลางคืนออกตรวจพื้นที่ ผมหนาวร้อนสันหลังเมื่อคิดว่าถูกจับแน่หากเขามาเร็วกว่านี้ ผมรอจนเขาพามอเตอร์ไซค์ออกไปพร้อมดวงไฟ ผมรีบคว้าผ้าห่มแล้วปีนข้ามกำแพง วิ่งกลับ

        อากาศด้านนอกร้อนอบอ้าว แต่ไม่เท่าภายในอกผม หากเธอตาย จะเป็นครั้งแรกที่ผมฆ่าคน กลายเป็นฆาตกรที่รอถูกเปิดโปง

        แสงจากดวงไฟสองดวงสว่างวาบขึ้น รถกระบะคันหนึ่งขับออกมาจากบ้านหลังนั้น ผมร้อนรนแทบบ้า ทำไมตอนนั้นผมถึงไม่เห็นรถกระบะ ชายคนนั้นอาจเป็นผู้รับเหมาไม่ก็คนงาน  ขณะรถแล่นผ่านหน้า ผมเห็นร่างเธออยู่ท้ายกระบะ ถูกแผ่นอะไรสักอย่างขนาดบานหน้าต่างทับไว้ อกผมสั่นคล้ายแผ่นดินไหว เขาเห็นผมอยู่ที่นั่นหรือเปล่า

        รถคันนั้นแล่นไปหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ผมจำได้ว่าเป็นบ้านของครูผัว-เมียวัยเกษียณ ผมค่อย ๆ เปิดประตูออกไประเบียง ย่อตัวหมอบ มองลอดซี่กรงออกไป เห็นชายคนหนึ่งไม่สูงนักเปิดประตูรถออกมา ความกำยำของเขายกเธอขึ้นจากหลังกระบะอย่างง่ายดาย ผมเพ่งมอง เขาวางเธอพาดที่ขอบกำแพงแล้วออกแรงผลัก ร่างเธอพลิกหล่นลง เขากวาดตามองรอบตัวก่อนกลับเข้ารถ เคลื่อนตัวไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงนอน ตีสามครึ่ง

        เหตุใดเขาถึงนำร่างเธอทิ้งที่บ้านหลังนั้นแทนไปแจ้งความ หรือเธอยังไม่ตาย เขาอาจไม่อยากยุ่งยากนำส่งโรงพยาบาล เพราะจะไม่จบแค่นั้น ไม่มีใครอยากข้องเกี่ยวกับพวกตำรวจแม้ในฐานะพยาน ครูผัว-เมียนั่นจะช่วยเธอเอง จู่ ๆ ผมก็กังวล หายใจไม่ทั่วท้อง หากเธอยังไม่ตายและถูกช่วยเหลือ ผมไม่รอดคุกแน่

        ใกล้ตีสี่แล้ว ผมยิ่งร้อนรน จะไปดูให้แน่ใจก่อนที่ใครมาเห็น ผมกวาดตามองทุกบ้านรวมถึงถนนก่อนรีบออกจากบ้าน สับขาวิ่งจนถึง เพ่งมองผ่านช่องอิฐบล็อกกำแพง เธอน่าจะอยู่ไม่ห่างจากริมรั้ว แต่กวาดมองเท่าไรก็ยังไม่พบ ผมตัดสินใจปีนกำแพงข้ามไป

        บ้านสีขาวตัดขอบบานหน้าต่างสีน้ำตาลสองชั้นในเนื้อที่ 80 ตารางวา ปลูกต้นมะม่วงไว้กินผลสองต้นห่างกัน มีเปลญวนผูกระหว่างลำต้น ถัดจากนั้นเป็นซุ้มชิงช้าไม้ระแนง หญ้าสั้นเตียนคล้ายเพิ่งถูกตัด ทุกครั้งที่เดินผ่าน ผมมักเห็นครูผู้ชายรดน้ำต้นไม้ ลิดใบรานกิ่ง เขาน่าจะเป็นคนมือเย็น ปลูกต้นไม้งามทุกต้น ส่วนครูผู้หญิง ชอบไปทำบุญเลี้ยงเพลพระที่วัด นับจากนี้ชีวิตที่เรียบง่ายร่มเย็นจะไม่เป็นปกติสุข อย่างน้อยก็สองสามวัน

        ผมมองผ่านประตูกระจกเข้าไปในบ้าน เช้ามืดอย่างนี้คงยังไม่มีใครตื่น ผมรีบเร่งหาเธอ เดินจนทั่วสนามหญ้า นึกแปลกใจที่ไม่เห็นร่างเธอ ผมจำไม่ผิดแน่ เขาทิ้งเธอที่นี่

        เสียงเปิดประตูเหล็กดังขึ้นด้านหลัง ผมใจหายวาบ หันกลับไปมองก็แทบช็อก

        แม้จะอยู่ในความสลัวแต่ผมเห็นใบหน้านั้นชัด เจ้าของบ้านสองผัวเมียเดินผ่านประตูรั้วเหล็กเข้ามา เห็นผมก็ชะงักค้าง พวกเขามีอาการไม่ต่าง ราวกับเราอยู่ในคำสาปให้แข็งเป็นหิน ผมคิดหาคำแก้ตัวไม่ได้  ตัดสินใจเดินผ่านคนทั้งสองที่ยังไม่ขยับตัว

        ก่อนจะเดินพ้นประตูรั้ว เห็นป้ายไวนิลสีขาวมีข้อความประกาศหาผู้เช่าบ้าน ผมรู้แล้วว่าเหตุใดถึงไม่เจอร่างเธอ และพวกเขาคงรู้ว่าทำไมผมถึงอยู่ในบ้านเขา ลำพังเรี่ยวแรงคนชรา จะนำร่างเธอไปได้ไกลแค่ไหน ผมตัดสินใจไม่ถูก ควรเดินหาเธอต่อดีหรือจะกลับบ้าน ฝังกลบเรื่องทั้งหมดในคืนนี้ไว้ใต้ผ้าห่มบนเตียงนอน ขณะเดินพลางคิดผมสะดุ้งโหยง  เสียงฝีเท้าย่ำลงพื้นซีเมนต์ดังขึ้นด้านหลังพร้อมเสียงร้องเรียก  

        ยามกะกลางคืน หนุ่มสูงวัยร่างเล็ก เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์คันนั้น ผมคุ้นเคยกับเขา ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ มีเขาคนเดียวที่พอได้พูดคุยแก้เหงา เขาหายใจแรงยกมือจับหน้าอกที่กระเพื่อมแรง สีหน้าราวเพิ่งผ่านเรื่องสยดสยองมา ไม่ทันรอให้ผมถาม เขาพูดละล่ำละลักฟังไม่ได้ศัพท์ บอกว่าเจอผี

        เขาเล่าน้ำเสียงสั่น ผีสาวผมยาวสยาย ร่างพาดบนกำแพง แขนสองข้างและศีรษะห้อยมาด้านนอก เขาทิ้งรถไว้ที่นั่นหลังตกใจเบรกจนล้มไถลพื้น สับขาวิ่งหนีแทบลืมหายใจ ผมย้ำถาม เขาตอบมั่นใจว่ามองไม่ผิด ผมชวนกลับไปดู แรกเขาปฏิเสธเสียงหลงแต่สุดท้ายก็ยอมเมื่อถูกรบเร้า

        บ้านหลังนี้ห่างจากบ้านครูวัยเกษียณราวห้าสิบเมตร ผู้เช่าเป็นชายชาวไต้หวันสองคน ท่าทางคล้ายนักธุรกิจ ใช้รถราคาแพง มีมากถึง 4 คัน ทั้งสองไม่ชอบสุงสิงกับใคร กลับเข้าบ้านก็เก็บตัวเงียบ มีหลายครั้งที่เห็นคนในบ้านนับสิบ พักอยู่ไม่นานก็หายหน้าไป

        เขาพามายืนใกล้จุดที่เห็นผีสาว ผมเดินเข้าใกล้ สำรวจตามขอบกำแพง พบจุดหนึ่งมีร่องรอยคราบเลือด กระโดดปีนขึ้นค้ำขอบกำแพงกวาดตามองทั่วสนามหญ้า ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ กระโดดลงแล้วเดินกลับ สีหน้าเขายังตื่นกลัว พูดย้ำว่าไม่ได้โกหก ผมเชื่อว่าเขาเห็นจริงแต่ร่างเธอหายไปอีกแล้ว ผมถามเขาว่า นอกจากเห็นร่างผีสาวพาดขอบกำแพงแล้วเห็นอะไรอีก เขาส่ายหัว ท่าทีเขากลัวจนอยากไปจากตรงนี้ ดึงแขนผมไปยังมอเตอร์ไซค์ที่นอนตะแคงอยู่บนพื้นถนนห่างออกไปกว่าสิบเมตร ช่วยกันยกขึ้น เขาคร่อมรถติดเครื่อง บอกผมรีบขึ้นซ้อนแล้วบิดเร่งออกตัวไปทางหน้าหมู่บ้าน

        ส่งเขาถึงป้อม ผมจะกลับไปตามหาเธอก่อนฟ้าสว่าง ผมแน่ใจว่าพวกคนไต้หวันคงไม่กล้าเสี่ยงเอาเธอไปทิ้งที่บ้านอื่น หากเป็นผมคงพาไปซ่อนไว้ในพงหญ้ารกที่ท้ายหมู่บ้าน ตรงนั้นมีแต่พวกตัวเหี้ย หนู งู และสารพัดสัตว์น่ารังเกียจ พื้นที่เป็นแอ่งน้ำเน่าเหม็นคลุ้ง ไม่มีใครอยากเข้าไปหากไม่จำเป็น ผมจะหาเธอให้เจอแล้วขุดหลุมฝัง แต่เขารั้งผมไว้จนกว่าคนกะกลางวันจะมาถึง ผมหงุดหงิดแต่พยายามไม่แสดงออก เขาทำหน้าเหยเกเมื่อพูดว่าคืนพรุ่งนี้จะอยู่เวรยามได้อย่างไร แล้วบ่นพึมพำว่าจะหาสร้อยพระมาสวมคอ เขานั่งตัวสั่นขวัญผวา ส่วนผมว้าวุ่นใจ คิดหาวิธีโกหก ไม่ทันเอ่ยปากคนกะกลางวันก็ขี่มอเตอร์ไซค์มา

        ก่อนเรื่องผีสาวจะถูกเล่า ผู้มาใหม่ก็รีบพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ว่าระหว่างทางสวนกับหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่ง ผมสยายยาวถึงกลางหลัง ที่เหนือหน้าผากมีแผลใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ชุดกระโปรงสีขาวมีทั้งรอยเลือดและคราบดินโคลน เธอเดินเท้าเปล่าโซซัดโซเซประคองร่างห่างหน้าหมู่บ้านไปไม่ไกล เขาว่าขณะขี่รถสวนทนเห็นสภาพไม่ไหวต้องหันหน้าหนี ยามกะกลางคืนโพล่งออกมาว่าลักษณะคล้ายผู้หญิงที่เห็นบนกำแพงรั้วบ้านคนไต้หวัน พูดปากสั่นว่าเป็นผีสาวที่เขาเพิ่งถูกหลอกหลอน ผมฟังแล้วแทบทรุด หายใจไม่ทั่วท้อง ถามย้ำ ยามกะกลางวันตอบมั่นใจ

        “ไม่ใช่ผี เธอยังไม่ตาย”

 

.........................................................................

 

 

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง     

 

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์