เรื่องสั้น : มนุษย์กินคน : กนกศักดิ์ เรือนทอง

เรื่องสั้น : มนุษย์กินคน: กนกศักดิ์ เรือนทอง 

ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับขอบฟ้าไปเมื่อครู่ หิมะตกหนักและทำท่าจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ขาม้ากว่าครึ่งจมหายไปในหิมะ สถานการณ์ย่ำแย่เกินทน และในตอนนั้นเองที่ข้ามองเห็นหินสลักรูปหัวสิงโต

ข้าหันหน้ามองจาเร็ดที่ขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ เขาหันหน้ามามองข้าเช่นกัน ข้ามองเห็นเรื่องราวที่เขาต้องการจะสื่อในดวงตาของเขา ทันใดนั้นเสียงของตาเฒ่าฟินน์ก็ดังอยู่ข้างหูข้า ราวกับเขาเพิ่งเล่ามันให้ข้าฟังเมื่อเช้านี้เอง

หินสลักรูปหัวสิงโต ตาเฒ่าฟินน์เอ่ย ยกเหยือกเบียร์กระดกอึกใหญ่ ข้าและจาเร็ดเจอเขาที่โรงเหล้าแห่งหนึ่งและเมื่อพวกเราเล่าเรื่องการออกเดินทางให้เขาฟัง เขาก็เตือนเราในเรื่องที่เขาเคยได้ยินมา เมืองที่พวกเจ้าจะไปต้องผ่านที่นั่น หินสลักรูปหัวสิงโตนั่นแหล่ะคือจุดที่บ่งบอกว่าถึงอาณาเขตของพวกมัน พวกมนุษย์กินคนน่ะ พวกมันเป็นคนเถื่อน อาศัยอยู่แถวหุบเขาปีกวิหค ซุ่มซ่อนอยู่ตามถ้ำ ใครบางคนบอกว่าซ่อนอยู่ใต้น้ำด้วยซ้ำ คอยจับนักเดินทางที่ผ่านแถวนั้นมากิน มันอาจจะเข้าโจมตีอย่างอุกอาจ หรืออาจล่อลวงเอาตามแต่สถานการณ์ ใครสักคนบอกว่ามันมีพละกำลังมหาศาล ใครหลายคนบอกว่ามันมีมนตร์วิเศษที่จะทำให้พวกเจ้าหมดหนทางต่อสู้

มันมีจริงหรือ ข้าถาม ความรู้สึกคลางแคลงติดอยู่ในใจ ใคร ๆ ก็รู้ว่าตาเฒ่าฟินน์เก็บเรื่องเล่าไว้เต็มตัว แต่ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนลวง

ข้าอาจจะยังสงสัยอยู่บ้าง แต่พอข้าหันไปมองจาเร็ดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ข้าก็รู้แล้วว่าเขาเชื่ออย่างเต็มหัวใจ

ตาเฒ่าฟินน์กระดกเบียร์อีกอึก เรื่องไหนที่เจ้าสงสัยว่าจริงหรือลวง เรื่องที่ว่ามันมีกำลังมหาศาล หรือเรื่องที่ว่าพวกมันมีมนตร์วิเศษ

เรื่องมนุษย์กินคน ข้าตอบอย่างไม่สบอารมณ์ รู้อยู่เต็มอกว่าเขาแสร้งไม่เข้าใจ

ระวังไว้สักหน่อยก็ดี หากพวกเจ้าเจออะไรสักอย่างที่ไม่ชอบมาพากลที่นั่น อย่าได้กังวลใจที่จะฆ่าหรือหนีไปให้ไกลที่สุด ตาเฒ่าฟินน์หน้าแดง ดวงตาเลื่อนลอย เขาเมา เขาหันมาสบตากับข้าและรู้ว่าข้าอารมณ์เสียที่เขาไม่ได้ตอบตรงคำถาม เขาหัวเราะ ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนลวง หากพวกเจ้าเจอก็คงช่วยยืนยันให้ข้าได้เขาหยุด หวังก็แต่ว่าพวกเจ้าจะไม่เจอ

ข้าและจาเร็ดออกเดินทางเกือบครึ่งเดือนแล้ว เรื่องเล่าของตาเฒ่าฟินน์เลือนรางลงจากความคิด จนกระทั่งหินสลักรูปหัวสิงโตปรากฏอยู่ตรงหน้า

อัลดิส จาเร็ดเรียกข้า เขาพยายามปกปิดความวิตก แต่จาเร็ดเป็นคนซื่อ เขาไม่เคยปกปิดสิ่งใดได้

มาเถอะ ข้าแตกต่างจากจาเร็ด ข้าปกปิดได้ทุกสิ่ง เสียงของข้าจึงไม่มีความวิตก “เจ้าควรจะกังวลเรื่องที่เราจะแข็งตายหากหิมะตกหนักกว่านี้แล้วเรายังหาที่พักไม่ได้ข้ากระตุ้นม้าให้เดินต่อ ทันใดนั้นข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทางด้านขวา

หากเป็นจาเร็ดเขาคงคิดว่าการเคลื่อนไหวนั้นเป็นเกล็ดหิมะที่พร่างพรมลงมา แต่ข้ารู้ว่าไม่ใช่ ข้าส่งสัญญาณให้จาเร็ดเงียบก่อนจะชักม้าไปทางด้านที่เห็นการเคลื่อนไหวซึ่งอยู่หลังต้นไอร์ออนวู้ดต้นหนึ่ง ข้าชักดาบออกมาจากฝัก

เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งซ่อนอยู่หลังต้นไอร์ออนวู้ด มือซ้ายกุมท่อนแขนขวาที่มีบาดแผลเหมือนถูกสัตว์ทำร้าย มันสวมเสื้อขนสัตว์หนา ดวงหน้าที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดเป็นสีดำละเอียดและงามละเมียด ดวงตาสีเหลืองอำพันของมันมีแววตื่นตระหนก ข้าสบตากับมันและหิมะก็ราวกับหยุดชะงักกลางอากาศ

อัลดิส จาเร็ดเรียกข้า ข้าสะดุ้ง หิมะเคลื่อนไหวอีกครั้ง ข้าพยักหน้าให้จาเร็ด เขาควบม้ามาทางข้า มองตามสายตาข้าไปยังเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะหันหน้ามามองข้า ดวงตาของจาเร็ดมีหลากหลายความรู้สึก

ไปกันเถอะ ปล่อยมันไว้นี่ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา

ข้าดีใจที่จาเร็ดไม่บอกให้ข้าฆ่ามัน แต่หากเราไม่ช่วยมัน มันก็จะหนาวตายอยู่ที่นี่แน่

ช่วยข้าด้วย มันพูดเป็นครั้งแรก เสียงนั้นใสราวเสียงระฆัง ท่าทีมันเปลี่ยนไปไม่น้อย ทีแรกมันตื่นตระหนกเพราะกลัวข้าทำร้ายมัน ตอนนี้มันตื่นตระหนกเพราะกลัวข้าไม่ช่วยมัน ข้าไม่มีม้า แต่ข้ามีบ้าน พวกท่านจะหาที่พักใกล้ ๆ แถวนี้ไม่ได้หรอก

มันเสนอ ข้าหันหน้ามองจาเร็ด เขาส่ายหน้าช้า ๆ แต่ข้าไม่เห็นด้วย มันเป็นแค่เด็กหนุ่มตัวเล็ก ๆ และไม่มีอาวุธสักชิ้น ข้ามองไม่เห็นสิ่งที่ข้าจะต้องกลัว

เราจะหนาวตาย จาเร็ด ข้าบอกเขาอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนจะยื่นมือไปดึงเด็กหนุ่มขึ้นมาบนหลังม้า

ชื่อของมันคือเบรเดน มันออกมาหาของป่าและถูกหมาป่าทำร้าย น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่มันเอาตัวรอดมาได้และมีบาดแผลเพียงเท่านั้น ม้าของเรามุ่งหน้าไปที่บ้านของมัน ตอนที่เราไปถึงท้องฟ้าก็มืดสนิทและสิ่งที่เบรเดนเรียกว่าบ้านไม่สมควรเรียกว่าบ้านสักเท่าไหร่ เบรเดนอาศัยอยู่ในถ้ำ มันลงจากหลังม้า เดินเข้าไปตรงปากถ้ำ ข้ากลับไม่สามารถเคลื่อนไหวไปต่อได้

มันนึกว่าเราจะตามมันไป แต่เมื่อหันกลับมาเห็นข้าและจาเร็ดไม่ขยับเขยื้อนก็ทำหน้างุนงง ชั่วครู่มันก็คล้ายๆ จะเข้าใจสถานการณ์

“พวกท่านกังวลเรื่องมนุษย์กินคนหรือ” มันเอ่ยถามสิ่งที่ข้าและจาเร็ดหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงมาโดยตลอด น้ำเสียงของมันเรียบง่ายราวกับคุยเรื่องปกติธรรมดา “ข้าอยากตอบแทนพวกท่านที่ช่วยเหลือข้า ที่นี่เรามีที่พัก มีอาหาร และมีไฟ แต่หากพวกท่านกังวลก็สามารถจากไปได้ ส่วนเรื่องที่ว่าท่านจะหาที่พักใกล้ ๆ แถวนี้ไม่ได้นั่นข้าไม่ได้โกหกเพื่อให้พวกท่านช่วยข้าหรอกนะ” มันไม่ได้เอ่ยแก้ตัวว่ามันไม่ใช่มนุษย์กินคน ราวกับว่าชินชากับการที่ถูกเข้าใจเช่นนั้น

ข้าไม่มีทางเลือก ข้าลงจากหลังม้า จูงม้าไปผูกไว้ จาเร็ดยังคงสองจิตสองใจ พิจารณาสองตัวเลือกระหว่างออกไปหนาวตายข้างนอกถ้ำกับเข้ามาในถ้ำและหวาดกลัวเรื่องเล่าของมนุษย์กินคน แต่สุดท้ายเขาก็ทำตามข้า

เบรเดนไม่ได้พักอยู่คนเดียว ในถ้ำมีหญิงชรานางหนึ่งอาศัยอยู่ด้วย ชื่อของนางคือมาร์ธา นางไม่ได้มีลักษณะภายนอกเหมือนเบรเดน นางผิวขาว ผมขาว หลังของนางค้อมลง นางดูอ่อนแอและใจดี เมื่อนางยิ้มก็เผยให้เห็นช่องว่างจากการที่ฟันหลุดออกไปบางซี่ เบรเดนบอกว่ามาร์ธาเก็บเขามาเลี้ยงตั้งแต่ยังเด็ก นางขอบคุณข้าและจาเร็ดที่ช่วยเหลือลูกชายของนาง

เมื่อหลบพ้นหิมะ อากาศก็เหมือนจะอุ่นขึ้น บ้านที่ดูไม่เหมือนบ้านของเบรเดนก็ไม่ได้น่ารังเกียจสักเท่าไหร่ ข้างในโพรงถ้ำสะอาดเรียบร้อย แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ข้าเห็นอาหารและกองฟืนไม่น้อย ข้าพยายามมองหาว่ามีผู้ใดซุกซ่อนอยู่อีกหรือไม่ หรือมองหาอะไรก็ตามที่จะบ่งบอกว่าสองคนแม่ลูกคือมนุษย์กินคน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

มาร์ธาเดินหายเข้าไปในส่วนที่เป็นครัว ครู่หนึ่งนางก็กำบางอย่างออกมา ข้าเห็นมันเพียงบางส่วนและชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็ว นางตกใจปล่อยของที่อยู่ในมือร่วงหล่น นางยกสองมือขึ้น เบรเดนก็เช่นกัน ข้ามองของที่หล่นอยู่บนพื้น มันเป็นใบไม้ชนิดหนึ่ง สีแดง ห้าแฉก เบรเดนมองตามสายตาข้า

ใบกาซูน่ะท่าน มันชี้แจง ข้ารู้จักใบกาซู มันคือสมุนไพรที่มีสรรพคุณสมานแผล เพียงนำมาบดผสมน้ำแล้ววางทับลงบนแผล แต่ครู่แรกที่เห็นข้าไม่นึกว่ามันคือใบกาซู ข้านึกว่ามันคือใบดาร์ซ มันมีลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่ใบดาร์ซมีใบหกแฉกและมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับ

ข้าลดดาบลง เก็บใส่ฝัก มาร์ธาหยิบใบกาซูขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อข้าไม่มีท่าทีอะไรนางก็เคี้ยวใบกาซูก่อนจะคายวางลงบนแผลของเบรเดน ข้ารู้สึกละอายใจ ข้านึกว่าข้าเก็บความรู้สึกได้แนบเนียน แต่แท้จริงแล้วข้าเหมือนกระต่ายที่แค่ได้ยินเสียงอะไรเล็กน้อยก็พร้อมจะตื่นตระหนก

เบรเดนและมาร์ธาเสนออาหารให้พวกเรา แต่ทั้งข้าและจาเร็ดไม่แตะต้องอาหารพวกนั้น พวกเขาไม่ตำหนิที่พวกเราแสดงอาการไม่เชื่อใจชัดเจนขนาดนี้ เมื่ออาหารที่เสนอถูกปฏิเสธ พวกเขาก็รับไปกินเสียเอง

ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกที่เราไม่เชื่อใจ อัลดิส จาเร็ดกระซิบบอกข้า คืนนี้เจ้านอนก่อน ข้าจะเฝ้ายาม

ข้าและจาเร็ดผลัดกันนอน อีกคนเฝ้าระวังเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น แต่จนกระทั่งรุ่งเช้าทุกอย่างก็ปกติ เบรเดนหรือมาร์ธาไม่ได้ลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อใช้ขวานพยายามผ่าศีรษะพวกข้า และข้าก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนมีมนตร์มายาใด ๆ กำลังครอบงำ ข้าแค่นหัวเราะ ถามตัวเองว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่

ข้าและจาเร็ดยังออกเดินทางไม่ได้ หิมะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนรุนแรงระดับหนึ่งก็ไม่รุนแรงไปกว่านั้น แต่มันก็ไม่ผ่อนกำลังลงเช่นกัน เป็นเช่นนั้นอยู่สามวันแล้ว ข้าและจาเร็ดยังไม่รับอาหารจากสองแม่ลูก และยังจัดเวรยามในยามกลางคืนเช่นเดิม ในระหว่างนั้นข้าได้ทำความรู้จักกับเบรเดนมากขึ้น มันเป็นชาวป่ามาทั้งชีวิต ความลำบากที่แฝงกายอยู่ในป่าทำให้มันเข้มแข็ง ในขณะเดียวกันความซื่อบริสุทธิ์ก็ยังไม่ถูกเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์ภายนอกทำลาย มันเหมือนกวางตัวน้อยที่มีข้อสงสัยและใคร่รู้ถึงโลกภายนอกอยู่ตลอดเวลา และมันมองว่าข้าคือคลังเรื่องเล่าอันน่าสืบค้น

ข้ากับจาเร็ดเป็นนักส่งของ ข้าบอกมันในวันหนึ่ง ใครสักคนว่าจ้างให้เราเอาของไปส่งในที่ที่พวกเขาต้องการ ครั้งนี้ข้ากับจาเร็ดต้องไปส่งของที่เมืองลาซาน

เมืองลาซานอยู่ที่ไหนมันถามเสียงใส ลมหายใจเป็นควัน

ทางเหนือ หากขี่ม้าจากที่นี่และหิมะตกไม่หนักก็คงประมาณสิบวันถึง

พวกท่านมีกันแค่สองคนหรือ

ครั้งนี้สินค้าไม่ใช่ของที่สำคัญสักเท่าใด จึงจ้างเพียงสองคนเท่านั้น หากเป็นของที่มีราคาและสำคัญ นักส่งของซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันของด้วยก็จะมากตามไปด้วย

ข้าอิจฉาท่าน

อิจฉาข้าเรื่องอะไร

ท่านได้ออกเดินทาง ท่านได้รู้จักโลก ข้าไม่รู้จักสิ่งใด

แต่เจ้ารู้จักข้า

นั่นหมายความว่าอย่างไร

ข้ามีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ในประโยค แต่ข้าไม่บอกมัน ข้าเพียงสบตามันเท่านั้น ข้าสบตามันครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งตอนนี้ ทั้งเมื่อวาน ในความฝันหรือแม้กระทั่งในความทรงจำ ครั้งแรกที่ข้าเจอมันซ่อนอยู่หลังต้นไอร์ออนวู้ดข้าสงสัยว่าดวงตาสีเหลืองอำพันของมันเหมือนอะไร ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันสุกสว่างเหมือนดวงดาว

 

วันที่สี่ที่ข้าและจาเร็ดยังอยู่ในถ้ำ ข้าและจาเร็ดมีปัญหาใหม่ให้ต้องวิตก เสบียงของเราอาจจะมีไม่พอให้เรากินจนกระทั่งไปถึงเมืองลาซาน ปกติแล้วเราเตรียมเสบียงมาเผื่อประมาณห้าวันบวกจากจำนวนวันที่ต้องใช้เดินทางทั้งหมด เสบียงนี้มีไว้เผื่อเกิดเหตุสุดวิสัยเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เรายังอยู่ในถ้ำไม่ถึงห้าวัน แต่หิมะก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก และพวกเราต้องเตรียมแผนสำรอง

หิมะอาจจะหยุดวันพรุ่งนี้ หรือไม่ก็มะรืน จาเร็ดเอ่ย เขาไม่ได้คาดการณ์แต่เป็นความคาดหวัง หรือต่อให้เสบียงหมด เราก็ยังสามารถหาของป่ากินได้

หรือไม่เราก็รับอาหารจากเบรเดนและมาร์ธา ข้าเอ่ยตัวเลือกที่จาเร็ดไม่คิดจะเสนอและหากข้าเสนอเขาก็คงปฏิเสธ พวกเขามีเสบียงสำรองเยอะ เจ้าก็เห็น เมื่อเราเดินทางกลับและผ่านที่นี่ค่อยเอาอาหารมาคืน

ข้าไม่มีทางรับอาหารจากคนพวกนั้น ข้าไม่ประหลาดใจกับปฏิกิริยาของจาเร็ด

เจ้ากลัวสิ่งใดจาเร็ด ข้าถาม แต่ข้ารู้ว่าเขากลัวสิ่งใด เจ้าก็เห็นว่าพวกเขาเป็นคนปกติดีเหมือนเราทุกอย่าง สิ่งที่เจ้ากังวลไม่มีหลักฐาน มันเกิดมาจากแค่เรื่องเล่าเพียงเท่านั้นและมันกำลังกัดกินหัวใจของเจ้า มันเป็นเรื่องเล่าจากคนเพียงคนเดียว เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องมนุษย์กินคนจากคนอื่น มิหนำซ้ำคนที่เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังก็คือตาเฒ่าฟินน์ที่กำลังเมา เขามีเรื่องเล่านับพันเรื่อง และเจ้าก็รู้ว่ามีเรื่องจริงไม่ถึงห้าสิบเรื่อง

แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องจริง จาเร็ดแย้ง และเรื่องที่ข้ากลัวก็อาจจะเป็นหนึ่งในเรื่องจริง

ข้าเปลี่ยนความเชื่อของจาเร็ดไม่ได้เสียแล้ว เขาไม่กล้าพูดคำว่ามนุษย์กินคนเสียด้วยซ้ำ

เจ้าไม่กินอาหารของพวกเขาก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าจะกิน หากข้าหลับไปอย่างน้อยก็ยังเหลือเจ้าที่ตื่น หากข้าตายก็ถือว่าข้าพิสูจน์เรื่องเล่าของตาเฒ่าฟินน์ว่าเป็นเรื่องจริงและเจ้าก็จงรีบหนีไปเสีย การเดินทางที่เหลือเจ้าก็กินเสบียงส่วนของข้าแล้วกัน ข้าว่าแล้วเดินจากไป จาเร็ดเรียกชื่อของข้า แต่ข้าไม่หันกลับ

อาหารคำแรกที่ข้ากินจากเบรเดนและมาร์ธาไม่มีอะไรผิดปกติ และจากนั้นข้าก็กินกับพวกเขาต่อเนื่องมาเป็นเวลาสองวันแล้ว ข้ายังเป็นข้าเหมือนก่อนกินอาหารกับพวกเขา แต่จาเร็ดยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ข้าไม่แน่ใจว่าเขายังคงหวาดกลัวต่อเรื่องมนุษย์กินคน หรือเพียงไม่อยากยอมรับว่าเรื่องที่เขาเชื่อเป็นเรื่องผิด แต่ต่อให้ข้าคิดถูก ข้าก็ไม่ทับถมเขาในเรื่องนี้ ข้าไม่เคยทำเช่นนั้นและจะไม่ทำในอนาคต ข้าเพียงวางแผนเงียบ ๆ ว่าถ้าเสบียงของเราใกล้จะหมดจริง ๆ ถึงตอนนั้นข้าคงต้องบังคับเขาให้ทำเหมือนข้า

พวกมันอาจจะรอให้เราวางใจทั้งสองคนก่อนก็ได้ จาเร็ดก้มหน้าแล้วเอ่ยเบา ๆ ข้าได้แต่ถอนหายใจ พลันนึกโกรธตาเฒ่าฟินน์ขึ้นมาที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้าและจาเร็ดฟัง แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนขึ้นก็คลายโกรธ ตาเฒ่าฟินน์อาจจะไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาเล่าคือเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง หรือเขาอาจจะพูดเรื่องจริงก็ได้ เขาอาจจะหวังดีต่อข้าและจาเร็ดจริงๆ ก็ได้ มันอาจจะมีมนุษย์กินคนจริง ๆ ซุ่มซ่อนอยู่ที่ใดสักที่ใกล้ ๆ ถ้ำนี้หรือใกล้ ๆ หินสลักรูปหัวสิงโต แต่แม่ผู้ชราของเบรเดนไม่มีทางเป็นมนุษย์กินคน และเบรเดนยิ่งไม่มีทางใช่เด็ดขาด ข้าเชื่อมั่นนักในเรื่องนี้

 

เช้านี้ข้าตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ไม่ไกล ข้าพยายามเปิดเปลือกตาทว่ามันดูหนักกว่าทุกวันที่ผ่านมา แต่เมื่อข้าลืมตาเต็มดวงข้าก็รู้ว่ามีสิ่งอื่นที่น่าประหลาดใจกว่าเปลือกตาที่หนักกว่าปกติ นั่นคือข้าถูกมัดอยู่กับเสาต้นหนึ่ง ดาบของข้าไม่ได้อยู่ข้างตัวข้า ไม่ไกลจากข้าเท่าใดนักคือเบรเดนและแม่ของมันที่กำลังนั่งแทะเนื้อจากแขนของใครสักคน

ข้านิ่งงันไปชั่วครู่ ประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า และข้าก็รู้ว่านั่นคือแขนของจาเร็ด

ข้าอ้วกออกมา เบรเดนและแม่ของมันหันมามองข้า ข้าเงยหน้าแล้วสบตาเบรเดน ดวงตาสีเหลืองอำพันนั้นไม่ได้สุกสว่างเหมือนดวงดาวอีกต่อไป

ข้ารักลมหนาวและเกล็ดหิมะ แต่ไม่เคยนึกรักหิมะตกครั้งไหนเท่าครั้งนี้ มาร์ธาเอ่ยออกมา นางเหมือนแม่มดที่ข้าเคยได้ฟังจากเรื่องเล่าของตาเฒ่าฟินน์ เพราะข้าไม่ต้องออกแรงในการหาอาหาร ทำเพียงรอคอยก็เท่านั้นเอง

นางไม่ได้ทำอะไร ข้ารู้ เบรเดนต่างหากที่ทำ

ข้ามองเห็นใบดาร์ซที่มัดรวมแล้วแขวนไว้ในครัวไม่ไกล สีแดง ใบมีหกแฉก ข้าไม่รู้ว่าแต่ก่อนพวกมันซ่อนใบดาร์ซไว้ที่ไหน แต่ตอนนี้มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องซ่อน เมื่อคืนข้าเฝ้ายามก่อนจาเร็ด พวกมันน่าจะผสมใบดาร์ซลงไปในอาหารมื้อค่ำ จาเร็ดหลับเพราะไว้ใจว่าข้าเฝ้ายาม และข้าก็ไม่สามารถต้านทานฤทธิ์ของใบดาร์ซได้ ข้าหลับและพวกมันคงฆ่าจาเร็ดตอนที่เขาหลับ เขาอาจจะตายโดยที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

ข้ามองแขนจาเร็ดที่วางอยู่บนจานไม้ มันซีดเพราะผ่านการต้มและถูกแทะไปแล้วบางส่วน ทันใดนั้นข้าก็รู้ว่าใครฆ่าจาเร็ด ไม่ใช่มาร์ธา ไม่ใช่เบรเดน ข้าต่างหากที่เป็นคนฆ่าเขา ข้าเห็นตอนที่จาเร็ดนั่งอยู่บนหลังม้ากลางป่าบอกให้ข้าอย่ายุ่งกับเบรเดน เห็นดวงตาที่เชื่อมั่นว่ามีมนุษย์กินคนแม้เขาไม่เคยเอ่ยมันออกมาตรง ๆ เห็นตอนเขาส่ายหน้าและเห็นท่าทีวิงวอนให้ข้ารับฟังเขาเพิ่มอีกสักนิด

ข้าเคยคิดว่าการตัดสินใจของข้าอาจทำให้ข้าตาย นั่นจะเป็นการยืนยันว่าเรื่องเล่าของตาเฒ่าฟินน์เป็นเรื่องจริงและจาเร็ดจะหนีไปได้ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของจาเร็ดต่างหากที่ต้องจ่ายเพื่อพิสูจน์ความจริง ข้าน่าจะฟังจาเร็ดให้มากกว่านี้และน่าจะรู้ว่าการตัดสินใจของข้าไม่เพียงส่งผลต่อข้า จาเร็ดและข้าลงเรือลำเดียวกัน เมื่อข้าตัดสินใจที่จะไม่พาย จาเร็ดก็ไปต่อได้ยาก ข้าแค่คิดง่าย ๆ ว่าถ้าข้าไม่พายจาเร็ดอาจจะไปถึงฝั่งช้ากว่าเดิมเล็กน้อย ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะไปไม่ถึงฝั่งเลยตลอดกาล

แต่ข้าไม่นึกรักหิมะเท่าคนโง่ เนื้อคนโง่น่ะอร่อย ระวังว่าเนื้อของคนคนนี้ข้าจะไม่แบ่งเจ้า เบรเดนเอ่ยออกมา เสียงของมันหยาบกระด้าง นี่คือตัวตนจริง ๆ ของมัน ความจริงอีกข้อที่ชีวิตของจาเร็ดพิสูจน์ให้ข้าเห็น

 

หิมะหยุดตกเสียแล้ว ราวกับมันจากไปพร้อมจาเร็ด

ผ่านไปอีกสองวัน วันนี้เป็นคราวที่ข้าจะต้องตายเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์กินคน ดีเหลือเกินที่ข้าจะไม่ต้องทนเห็นพวกมันแทะเนื้อหนังของจาเร็ดและตอกลิ่มแห่งความรู้สึกผิดที่มองไม่เห็นใส่ใจข้าซ้ำ ๆ อีกแล้ว

มาร์ธาถือขวานมาตรงหน้าข้า หลังของนางไม่ค้อมลง ไม่มีกลิ่นกายของความอ่อนแอของวัยชราแม้เพียงนิด นางยืนค้ำหัวข้าและเหมือนปีศาจน่ารังเกียจที่กำลังยกขวานขึ้นสูง

สองวันที่ผ่านมาข้ารู้สึกผิดต่อจาเร็ดมาโดยตลอด แต่เมื่อความตายยืนท้าทายอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกทุกอย่างกลับมีไว้เพียงเพื่อข้าเท่านั้น

ในตอนนั้นข้าเห็นภาพของตาเฒ่าฟินน์ลอยล่องอยู่ตรงไหนสักแห่งใกล้ ๆ นี้เอง เขากำลังหัวเราะเยาะข้าแล้วกล่าวทับถมว่าคำพูดของเขาถูกทุกคำ เขาชื่นชมจาเร็ดที่เชื่อเรื่องเล่าของเขา เขากล่าวโทษว่าข้าคือต้นเหตุที่ทำให้จาเร็ดต้องตาย และบอกว่าต่อให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับข้า เขาก็จะไม่มีทางหลงเชื่อเรื่องลวงหลอกของมนุษย์กินคนหน้าไหนอย่างแน่นอน ข้าแค่นหัวเราะ แน่นอนสิตาเฒ่าฟินน์ ท่านจะพูดอย่างไรก็ได้เพราะท่านรอบรู้ ท่านฉลาดหลักแหลม แต่ท่านไม่ได้ยืนอยู่กลางป่าในตอนที่ความหนาวกำลังกัดกินกระดูกเหมือนข้า เสบียงของท่านก็มีพรั่งพร้อม ท่านไม่ได้มองเห็นกวางตัวน้อยผิวดำละเอียดและดวงหน้างามละเมียด ท่านไม่ได้ฟังเสียงใสราวบทเพลง ท่านไม่ได้มองสบดวงดาวที่สุกสว่างบนพื้นดิน ท่านไม่ได้รู้สึกอย่างที่ข้ารู้สึก ข้าจึงไม่หวังให้ท่านเข้าใจข้าเลยสักนิด

ข้าหัวเราะและน้ำตาไหลขณะกล่าวตอบตาเฒ่าฟินน์ในขณะที่ขวานกำลังจะเคลื่อนที่ลงมาหาข้า แต่แล้วขวานก็หยุดชะงักเพราะร่างของมาร์ธาผู้ถือขวานชะงักงันไปทั้งร่าง ดาบของข้าที่ถูกเอาไปตอนนี้มันแทงทะลุหน้าอกนางจากทางด้านหลัง ขวานของนางหลุดออกจากมือ มันร่วงหล่นลงมาและคมขวานบาดต้นแขนขวาของข้า จากนั้นร่างของนางก็ร่วงหล่นลงซบพื้น นางไม่เหมือนแม่มดหรือปีศาจน่ารังเกียจอีกต่อไป ความตายพรากปีศาจไปจากร่างนาง

เบรเดนยืนอยู่ตรงหน้าข้า มันไม่ได้ดูเหมือนกวางน้อยหลังจากที่มันใช้ดาบแทงทะลุร่างแม่ของมัน และดวงตาของมันแข็งกระด้างเกินกว่าจะเหมือนประกายของดวงดาวดวงไหน

นางไม่ใช่แม่ข้า นางไม่ได้เก็บข้ามาเลี้ยง ความสัมพันธ์ของข้าและนางเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงพวกท่าน

หลอกลวงเหมือนทุกเรื่องที่เจ้าแสดงให้ข้าเห็น

แล้วเจ้าทำเช่นนี้เพราะอะไร ข้าถาม เบรเดนมองมายังแผลบนต้นแขนขวาของข้าก่อนจะเดินไปยังส่วนที่เป็นครัว มันกำลังหาบางอย่าง มันยังไม่สังเกตเห็นว่าขวานที่หล่นลงมานอกจากจะบาดแขนข้าแล้วมันยังตัดเชือกที่มัดตัวข้าขาด และข้าก็กำลังเอาเชือกที่มัดข้อมือถูกับคมขวาน

ข้ารู้ว่าท่านรู้สึกต่อข้าอย่างไร ท่านอัลดิส... มันหยุดค้นหาสิ่งที่กำลังหาอยู่ เสียงของมันอ่อนลงจนเกือบจะเหมือนเสียงที่มันเคยพูดกับข้าก่อนที่ข้าจะรู้ว่ามันคือมนุษย์กินคน ความรู้สึกที่ท่านให้ต่อข้า ข้าเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ข้าหยุดถูเชือกที่มัดข้อมือกับคมขวาน บางอย่างในตัวข้าอ่อนยวบลงโดยที่ข้าไม่อาจห้าม ข้าแค่นหัวเราะ ถลึงตาใส่ความอ่อนแอที่เพิ่งก่อตัวให้สูญไป มันเพิ่งหลอกลวงข้ามาครั้งหนึ่ง ความเชื่อใจที่ข้าเคยให้มันได้จากไปพร้อมกับชีวิตของจาเร็ด

เบรเดนหาสิ่งที่มันต้องการเจอแล้วและกำลังเดินตรงมาหาข้า ปากของมันยังเอ่ยต่อ ข้าเคยหลอกลวงท่าน แต่ความจริงข้อนั้นไม่คงอยู่ถาวร ข้าหลอกลวงท่านในตอนที่ข้าไม่รู้จักท่าน แต่ตอนนี้ข้ารู้จักท่านแล้ว

ความอ่อนแอที่ข้าไล่ไปเมื่อครู่กลับมาอีกหน

แต่แล้วข้าก็มองไปที่มือของมัน สิ่งที่มันหาในครัวเมื่อครู่ ข้าเห็นใบไม้สีแดง หกแฉก สติของข้าเริ่มแจ่มชัด เสียงหนึ่งดังเข้าสู่หูข้า

แต่ข้าไม่นึกรักหิมะเท่าคนโง่ เนื้อคนโง่น่ะอร่อย ระวังว่าเนื้อของคนคนนี้ข้าจะไม่แบ่งเจ้า

เชือกขาดจากข้อมือข้า ข้าพุ่งตัวไปดึงดาบออกจากร่างสิ้นลมของมาร์ธา คมดาบตวัดผ่านอากาศ ก้อนสีดำก้อนหนึ่งกระเด็นขึ้นกลางอากาศก่อนร่วงหล่นลงสู่พื้น เมื่อมันหยุดนิ่งข้าก็มองสบกับดวงตาสีเหลืองอำพันที่กำลังเบิกโพลง ร่างที่ไร้ศีรษะล้มกระแทกพื้นตาม

ฉับพลันนั้นข้ารู้สึกว่าเวลาหยุดชะงัก หัวใจข้าหยุดเต้น ความคิดข้าตามไม่ทันการกระทำที่เพิ่งเกิด ด้ามดาบหลุดออกจากมือ เสียงดาบกระทบพื้นถ้ำปลุกให้เวลาเดินหน้าอีกหน แล้วข้าก็เห็น ตรงนั้น... ในมือที่ยังกำแน่นของร่างที่ไร้ศีรษะของเบรเดน ใบไม้สีแดง และไม่ได้มีหกแฉกอย่างที่ข้าคิด มันมีห้าแฉกต่างหาก

ขาข้าอ่อนแรง เข่ากระแทกพื้น ก้มหน้ามองพื้นถ้ำ มันมืดเหมือนผืนฟ้ายามราตรี และเป็นราตรีที่มืดมิดที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น คงเป็นเพราะม่านน้ำตากระมัง ข้าจึงไม่เห็นดาวเลยสักดวง ดวงดาวหายไปไหนกันหมด

แล้วข้าก็รู้ว่าดวงดาวหายไปไหน มันฝังอยู่ในศีรษะที่ไร้ร่างนั่นอย่างไรล่ะ

 

......................................................................

 

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง     

 

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์