เรื่องสั้น : แฟนซี : ธุวัฒธรรพ์
เรื่องสั้น : แฟนซี : ธุวัฒธรรพ์
ตุ๊กตาหมีของบาหยันชื่อแฟนซี
เป็นตุ๊กตาหมีสีขาวสวมชุดนางฟ้าสีชมพู ในมือมีคทาอันเล็กที่ตรงปลายเป็นรูปดาว แม้จะขะมุกขะมอมจนเส้นขนหลายส่วนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ซ้ำดวงตาที่ทำจากลูกปัดยังหลุดไปข้างหนึ่งจนกลายเป็นหมีพิการตาบอด แต่บาหยันยังอุ้มแฟนซีไปในทุกที่ราวกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของตน
ยามต้องอยู่ลำพังในห้องเช่าหลังเล็ก บาหยันก็มีแฟนซีเป็นเพื่อน เด็กน้อยพูดคุยสร้างโลกในจินตนาการของตน ราวห้องเล็กนี้คือปราสาทหลังงามที่มีเหล่าข้าราชบริพารคอยปรนนิบัติรับใช้ มีนางฟ้าแม่ทูนหัวเป็นตุ๊กตาหมีที่เสกสรรบันดาลทุกสิ่งที่ปรารถนา
นงคราญกลับบ้านตอนหัวค่ำ ข้าวที่บาหยันหุงก็สุกพอดี เธอเลี้ยงลูกให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองได้ตั้งแต่รู้ความ จนตอนนี้ห้าขวบก็สามารถหุงหาอาหารเองได้แล้ว
สาวร่างท้วมหน้าตาอิดโรยด้วยเหนื่อยล้า แม้งานที่โรงงานไม่หนักหนา ทว่าเพราะขาดการพักผ่อนที่เพียงพอจึงทำให้พลั้งพลาดตอนทำงาน ส่งชุดชั้นในที่ควรตัดเย็บอย่างประณีตต้องเสียหายไม่อาจส่งบรรจุขายได้ ต้องถูกหักเงินเดือนละหลายครั้ง
และแม้ต้นเหตุของการได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงจะเป็นเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มบนหน้าแป้นที่ส่งมาให้ นงคราญก็พลันต้องยิ้มตอบดวงใจของตน
หญิงสาวเทไข่เจียวที่ซื้อจากร้านอาหารตามสั่งใส่จานที่มีข้าวถูกตักรอเอาไว้อยู่แล้ว ก่อนหยิบข้าวผัดกะเพราของตนมาวางเคียงกันบนโต๊ะพับตัวเล็ก
“กินให้หมดนะลูก”
ไม่ลืมกำชับให้เห็นคุณค่าของอาหาร เพราะกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทแต่ละสตางค์เพื่อแลกมาซึ่งข้าวทุกเม็ดนั้นช่างยากเย็น
เด็กหญิงรับคำ ก่อนตักข้าวคำใหญ่เข้าปากเคี้ยวหมับอย่างเอร็ดอร่อย
ราวมีนาฬิกาปลุกถูกตั้งเอาไว้ในร่าง เมื่อถึงเวลาตีสองพอดิบพอดี ร่างของเด็กน้อยก็สั่นเป็นเจ้าเข้า
นงคราญลืมตาตื่นโดยอัตโนมัติ จับร่างบาหยันนอนหงายกับที่นอนปิกนิกผืนบาง ตาของลูกสาวเหลือกจนตาดำผลุบหายไปด้านบนเหลือเพียงขาวโพลนในดวงตา ปากอ้าพะเยิบพะยาบส่งเสียงครางอืออา ลมหายใจเข้าออกกระชั้นถี่ แขนเหยียดทว่ามือกำแน่น
รวดร้าวในใจ คนเป็นแม่ทำได้เพียงจับร่างลูกเอาไว้ให้นอนอยู่ในท่าที่หมอกำชับ เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจนับ รู้เพียงนานเหมือนชั่วกัปในห้วงคำนึง
กระทั่งอาการนั่นสงบลง บาหยันที่เหนื่อยหอบผุดลุกนั่งพลางเอ่ยถามเสียงแจ้ว
“แม่ยังไม่นอนเหรอ”
ยกหลังมือเช็ดหยาดน้ำที่หลั่งจากหางตา เสหน้ามองทางอื่นเพราะไม่ต้องการให้ลูกเห็น
จดจำไม่ได้เลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ราวกับอาการชักเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันของตัวนงคราญเองเท่านั้น
“แม่ไปห้องน้ำมา ลูกนอนเถอะ แม่ก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”
พยักหน้าคราเดียว ก็ล้มตัวลงนอนกอดแฟนซีหลับไปอย่างง่ายดาย
กลับกัน นงคราญไม่อาจข่มตาหลับได้จนถึงเช้า
ราวฟ้าผ่าลงตรงกลางศีรษะ
ป้ายกระดาษที่ติดเอาไว้ด้านหน้าโรงงาน แม้เขียนด้วยข้อความเรียบง่ายเข้าใจไม่ยาก ทว่ากลับเหมือนหมัดฮุกเข้าปลายคางให้มึนงง ต้องยืนนิ่งงันเพื่ออ่านประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างพยายามทำความเข้าใจ
“ปิดกิจการ”
ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า พนักงานเย็บผ้าอย่างเธอรู้เพียงว่าแต่ละวันต้องก้มหน้าอยู่หน้าจักรเย็บชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อประกอบกันเป็นเสื้อชั้นในให้ได้วันละไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตัว เรื่องผลประกอบการและสถานการณ์วิกฤตของโรงงาน เธอไม่เคยล่วงรู้เลยสักนิด
“ไอ้เหี้ย ! จะปิดโรงงานก็ไม่เสือกบอกล่วงหน้า แล้วนี่จะไปตามเอาเงินชดเชยได้จากที่ไหน ป่านนี้ไอ้คุณวีระแม่งไม่หนีไปที่อื่นแล้วเหรอ”
เพื่อนร่วมงานบริภาษถึงคนเป็นเจ้าของกิจการ นงคราญอับจนคำพูด ทำได้เพียงเดินคอตกกลับบ้านเท่านั้น
ตลอดรายทางแม้พบเจอผู้คนมากมาย กลับไม่เห็นหน้าใครสักคน ในยุคโควิดระบาดสิ่งที่เปรียบเสมือนอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามคือหน้ากากอนามัยที่จำต้องสวมปิดบังใบหน้าเพื่อป้องกันมิให้เชื้อไวรัสร้ายเข้าสู่ร่างกาย
อาจเพราะโควิด จึงทำให้โรงงานที่เธอทำงานอยู่ปิดตัวลง หญิงสาวคิดไปสะระตะ รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดยืนหน้าห้องเช่าแล้ว
“อ้าว! ทำไมแม่กลับเร็วจัง”
บาหยันที่นั่งปั้นดินน้ำมันอยู่ ทิ้งของเล่นแล้ววิ่งตื๋อมากอดมารดา
นงคราญลูบศีรษะลูกอย่างอ่อนโยน แม้ใจจะสั่นด้วยหวั่นเกรงอนาคตที่มองไม่เห็นปลายทาง กระทั่งวันพรุ่งนี้จะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าวปลาให้ลูกกิน หญิงสาวก็ยังคิดไม่ออก
ไหนจะอาการลมชักที่บาหยันเป็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
จดจำได้ดีว่าครั้งแรกที่ลูกชักเกร็งราวถูกผีเข้า เธอสติแตกทำอะไรไม่ถูก คู่ชีวิตที่ทิ้งไปตั้งแต่ลูกสาวยันไม่ลืมตาดูโลก ปล่อยนงคราญให้อยู่ต่อสู้กับโลกใบนี้เพียงลำพัง จึงยิ่งโถมทับความอ่อนแอทั้งมวลให้ต้องร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง อุ้มลูกน้อยวัยแบเบาะวิ่งไปโรงพยาบาลประจำตำบล
“ลูกสาวคุณเป็นลมชัก ซึ่งอาการนี้สามารถพบได้ในเด็กทั่วไป แต่หากเกิดอาการขึ้นบ่อยครั้งและแต่ละครั้งกินเวลานานเกินห้านาที อาจมีอันตราย คงต้องตรวจอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยสาเหตุต่อไปครับ”
แม้เบาใจเพราะแพทย์ผู้รักษาบอกว่าเป็นโรคที่มีโอกาสเกิดได้ในเด็กทั่วไป แต่คำอธิบายต่อจากนั้นก็ทำให้นงคราญทดท้อ
เพราะการวินิจฉัยโรคอย่างละเอียด จำต้องใช้เงินจำนวนมากที่ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่รู้จะหาเงินขนาดนั้นได้หรือเปล่า ศัพท์ยาก ๆ ที่ไม่เคยได้ยินอย่างคลื่นไฟฟ้าสมอง ซีทีสแกน หรือเอ็มอาร์ไอ พร้อมค่าใช้จ่ายแพงระยับนั้น ทำให้หญิงสาวละวางความคิดที่จะให้แพทย์วินิจฉัยบาหยัน
คงทำเพียงซื้อยากันชักมาให้ลูกกินเท่านั้น
และแม้ในวัยทารกลูกน้อยจะมีอาการชักไม่บ่อยนัก ราวเดือนละครั้งเห็นจะได้ แต่ยิ่งบาหยันโตขึ้นเท่าไหร่ โรคร้ายก็กลับแสดงอาการถี่ขึ้น จนตอนนี้แทบจะวันเว้นวัน
“แม่จะเอาเงินที่ไหนมารักษาหนูได้ล่ะลูก”
ได้เพียงแค่คิด แต่ไม่อาจเปล่งคำพูดใดออกจากปาก คงส่งเพียงรอยยิ้มให้เด็กน้อยเท่านั้น...
ในห้วงสับสน อาการชักของบาหยันในคืนนี้กลับทำให้นงคราญจำต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
นอกจากการชักเกร็ง ลูกสาวของเธอยังส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดเหลือประมาณ ยินเสียงคราใด ก็เหมือนคมมีดกรีดหัวใจให้แหว่งวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
มือเล็กกำรอบข้อมือตุ๊กตาหมี นงคราญที่ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดที่พอจะคิดถึงได้ในวิกฤต กระทั่งเจ้าแฟนซีตัวนี้ที่สวมชุดนางฟ้า ว่าขอให้ความเจ็บปวดทั้งมวลที่บาหยันประสบ ตกอยู่กับตนเพียงผู้เดียว
สี่นาทีแห่งความทรมาน ระยะเวลาการชักเกร็งของลูกนานขึ้นทุกวันจนใกล้แตะห้วงเวลาอันตรายที่หมอเคยบอก
นงคราญจำต้องพาบาหยันไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้หมอวินิจฉัยเหตุแห่งโรคระยำนี่เสียที
ลืมตาโพลงในมืดมิด กระทั่งแสงแรกแห่งวันเรื่อเรืองหลังม่านหน้าต่าง หญิงสาวจึงอุ้มลูกน้อยที่ยังนอนหลับคอพับคออ่อนขึ้นแนบอก ก่อนสะพายกระเป๋าที่ภายในบรรจุเอาไว้ด้วยของจำเป็นออกจากห้องเช่าด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
เธอมิได้มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ทว่าหยุดยืนหน้าร้านขายของชำที่เพิ่งเลื่อนประตูเหล็กยืดให้เปิดออกต้อนรับลูกค้า หญิงชราเจ้าของร้านรู้จักมักคุ้นนงคราญเป็นอย่างดี จึงกล่าวเสียงดังล้งเล้งตามวิสัย
“อ้าว ! อานงคราญ ลื้อไปทำงานแต่เช้าเลยเหรอ”
ไม่ตอบคำถาม หญิงสาววางร่างลูกน้อยให้นอนลงบนเก้าอี้หินหน้าร้าน ก่อนเดินเข้าไปภายในโดยมีเป้าหมายที่หญิงชรา
“จาเอาอาไร เดี๋ยวอั๊วหยิบให้”
“ฉันขอยืมเงินป้าสักพันหนึ่งได้ไหมจ๊ะ เดี๋ยวเงินเดือนออกจะเอามาคืน”
หน้าคนสูงวัยพลันงอง้ำ “ซี้ซั้ว ! ลื้อไม่เห็นเหรอว่ายุคนี้อั๊วขายของได้วันละสักกี่มากน้อย อีกอย่าง โรงงานลื้อก็เพิ่งปิดไปไม่ใช่เหรอ จะเอาเงินเดือนที่ไหนมาคืน ไม่ซื้อของก็รีบออกไปเลยไป อั๊วไม่มีให้ยืมหรอก”
แต่ราวกับประโยคก่นด่าที่ตั้งใจโพล่งออกมาถูกกลืนหาย เมื่อเห็นมีดปอกผลไม้ด้ามเล็กที่นงคราญหยิบออกมาจากกระเป๋า
“เอาเงินมา และอย่าส่งเสียง ฉันไม่อยากทำร้ายป้า”
ปากสั่นจนฟันกระทบดังกึกกัก กระนั้นด้วยย่ามใจว่าอีกฝ่ายอาจแค่ขู่ ไม่กล้าทำอย่างปากว่า หญิงชราจึงกลั้นใจตะโกนเสียงดังลั่น
“ช่วยล่วย ! อีนงคราญจะปล้..”
ไม่ทันจบประโยค ปลายแหลมของมีดก็เสียบมิดที่ลำคอ ร่างล้มหายพร้อมละอองเลือดกระเซ็นซ่านพร่างพรมไปทั่ว
นงคราญเดินตาลอยเข้าไปล้วงหยิบธนบัตรหลากสีในกระป๋องพลาสติกที่จดจำได้ดีว่าหญิงชราใส่เงินเอาไว้ ก่อนรีบเดินออกจากร้านอุ้มบาหยันที่ลืมตาตื่นงัวเงียขึ้นมาโดยไม่กล่าวอะไร
ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลไม่ไกลนัก เดินไม่ถึงสิบนาทีเธอก็พาลูกสาวผ่านป้อมยามมาหยุดยืนหน้าอาคารขนาดเล็ก กลิ่นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่ยังโชยเข้าจมูกแม้ถูกกางกั้นด้วยหน้ากากอนามัย
หันมองสบตากลมแป๋วของบาหยัน ประกายความหวังถูกจุดขึ้นในตาของนงคราญ
“หนูจะต้องหายนะลูก แม่มีเงินรักษาหนูแล้ว”
จุมพิตที่หน้าผากแผ่วเบา บาหยันยิ้มตอบมารดา
เพียงเท่านี้นงคราญก็ไม่หวั่นกลัวสิ่งใดอีกแล้ว
พนักงานรักษาความปลอดภัยมองนงคราญอย่างประเมิน
ใจหนึ่งระแวงสงสัย ขณะที่อีกใจก็คิดว่าหญิงสาวมาโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา เสียงซุบซิบนินทาจากหญิงเจ้าของแผงขายลอตเตอรี่สองคนที่นั่งเคียงกันข้างป้อมยามลอยมาประทบโสต
“เจ๊เขาไม่ปกติใช่ไหม”
“เออ คนบ้าแหละ คนดี ๆ ที่ไหนจะอุ้มจะคุยกับตุ๊กตาหมี และเรียกว่าลูกอย่างนั้นอย่างนี้ล่ะวะ”
“อ้าว! ตอนลูกเทพฮิต ๆ กัน ข้าก็เห็นคนคุยกับตุ๊กตาเป็นบ้าเป็นหลังกันให้เกลื่อน”
“หรือลูกเทพเขาทำไม่ทำเป็นรูปคน แต่เป็นหมีแทนแล้ววะ ข้าก็ไม่รู้ข่าว”
คนในเครื่องแบบกากีอ่อนคล้ายตำรวจ ส่ายศีรษะให้บทสนทนาที่ได้ยิน ก่อนเดินตรงเข้าหาหญิงสาวที่เดินเหม่อลอย
ราวอยู่ในห้วงฝัน
..................................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”