เรื่องสั้น : ความปรารถนาแห่งมรรตัยและสัมผัสสุดท้ายจากมนุษย์ : กฤษณรัตน์ รัตนพงศ์ภิญโญ

เรื่องสั้น : ความปรารถนาแห่งมรรตัยและสัมผัสสุดท้ายจากมนุษย์ : กฤษณรัตน์ รัตนพงศ์ภิญโญ

 

        เรามักจะทำร้ายคนที่เรารัก แม้จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม... ครั้งหนึ่งใครบางคนเคยบอกผมแบบนั้น ผมไม่เคยเชื่อถือคำพูดใครจริงจัง จนกระทั่งความจริงมาปรากฏลงตรงหน้า...

        “ไปเสียเถิด อปราชิต” น้ำเสียงหวานใสเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา ถ้อยคำแสนเศร้ากัดกร่อนภายในไม่ต่างจากน้ำกรด “ได้โปรดไปจากชีวิตฉัน ฉันไม่ต้องการเห็นคุณอีกแล้ว...”

        ผมทำได้เพียงมองเธออย่างเงียบงัน เช่นเดียวกับที่ทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ใช่คนพูดจ้อจำนรรจา แต่ปัญหาเล็กน้อยแก้ไขได้เมื่ออยู่กับผู้หญิงคนนี้... มีนากษี รามสวามี อัยยังการ์  หรือที่เจ้าตัวชอบให้เรียกสั้น ๆ ว่ามีนู... มีนูเป็นคนรักการสนทนา เธอสามารถเดินเข้าไปในกลุ่มคนไม่เป็นมิตรและกลับมาพร้อมเพื่อนใหม่ไม่ซ้ำหน้า คุณสมบัติที่ว่าติดตัวมาแต่ยังเล็ก... เป็นหนึ่งในร้อยล้านสิ่งที่ผมรักในตัวเธอ ผมคิดถึงคืนวันเก่าๆ ที่เฝ้ามองเด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะร่า ดวงตากลมโตเปล่งประกายสุกใส เธอเคยมองตามผมไปทุกที่ ซักถามว่าค่ำนี้พวกเราจะทำอะไร และทุกครั้งที่เธอพร่ำพูดจนหลับไป ผมจะกุมมือเธอไว้ไม่ห่าง

        ทว่านัยน์ตางามกลับไม่มองสบผมอีกต่อไป ตรงกันข้าม ดวงตาของเธอหลุบต่ำ เท้าซ้ายขวาทิ้งน้ำหนักสลับกัน ผมรู้จักท่าทางนี้เป็นอย่างดี มันคือท่าทียามมีนูไม่สบายใจ แต่ทุกครั้งเมื่อเธอเจอปัญหาใด เธอก็จะตรงมาร้องไห้ซบอกผม มีนูพูดเสมอว่าผมคือที่พักพิงหนึ่งเดียวของหัวใจ เป็นเสมือนโลกทั้งใบที่เธอรัก รอยยิ้มสดใสในวันนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าคำกล่าวเป็นความจริง ทว่าเช่นเดียวกับที่ผู้รู้เคยว่าไว้ สัจจะก็ไม่ต่างจากเปลวไฟ แม้จะเคยลุกโชนโหมไหม้ แต่วันหนึ่งวันใดต้องมืดดับเหลือแต่ควัน คำสัญญาของคนก็เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนอยู่ชั่วกาล และผมเชื่อว่าท่ามกลางคนนับล้าน ไม่มีใครเข้าใจคำว่าตลอดกาลดีเท่าผม

        “คุณก็รู้ว่าคุณมีความหมายกับฉันแค่ไหน” นั่นปะไร ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าเธอเป็นคนช่างเจรจา หากคุณต้องการให้ความจริงเผยออกมา คุณก็แค่ต้องให้เวลาสักพัก แล้วทุกอย่างจะถูกเปิดเปลือยไม่ต่างกับสันทรายยามน้ำลด “คุณมีบุญคุณต่อฉันมากมาย ฉันคงตายไปนานแล้วหากไม่ได้คุณช่วยไว้ แต่ฉันทนใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้ อปราชิต คุณก็รู้ว่าคุณไม่เหมือนกับพวกเรา ฉันไม่อยากซ่อนคุณไว้ในเงาเพื่ออยู่กับเขาตอนกลางวันอีกต่อไป...”

        บุญคุณ... ช่วยชีวิต... นั่นเป็นไม่กี่คำที่สะกิดแผลในใจ ตลอดชีวิตเนิ่นนานที่ผ่านมา ผมได้ยินถ้อยคำที่ว่านับครั้งไม่ถ้วน แรกเริ่มเดิมทีคำสรรเสริญเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนวีรบุรุษ ทว่าหลังโลกาเปลี่ยนผ่านไปหลายยุค ผมจึงเข้าใจในที่สุดว่ามันคือความลวง ผู้คนสนใจเพียงว่าผมทำอะไรเพื่อพวกเขา แต่ไม่เคยมองเข้าไปในตัวตน ไม่มีใครคิดว่าผมเองก็มีหัวใจ... มีความต้องการภายในไม่ต่างจากมรรตัยทั้งหลายเหล่านั้น แม้แต่มีนูเองก็ไม่ต่างกัน ผมเคยเฝ้าฝันให้เธอเป็นคนๆ นั้น... คนที่จะอยู่เคียงข้างกันไม่ไปไหน แต่สุดท้ายเธอกลับวอนให้ผมจากไป... เพียงเพื่อจะได้มีชีวิตใหม่กับชายที่เธอรัก

        ผมเพ่งพิศใบหน้าเธอเหมือนอย่างเคย ปฏิเสธความเฉยเมยที่ได้เห็น หลังจากสองทศวรรษที่มีกัน มีนูยังงดงามเหมือนครั้งเก่า แม้จะไม่ใช่ผู้เยาว์อีกต่อไป แต่ริ้วรอยแห่งวัยก็ไม่ได้ลบเลือนความไฉไลบนดวงพักตร์ ผมเฝ้ามองคนรักอยู่ไม่ห่าง ในใจหวนนึกถึงวันวานเมื่อครั้งหลัง ความทรงจำยังแจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน

        ผมพบมีนากษีที่โรงพยาบาล ยามนิศากาลเงียบสงัดเหมือนครานี้ ผมเป็นผู้เร้นกายยามราตรี เป็นหนึ่งในจีรัญชีวิน แห่งกลียุค อันที่จริงในแต่ละวัฒนธรรม คนอย่างเราถูกเรียกขานด้วยหลายนาม ไม่ว่าจะเป็นผู้กลืนกินชีวีหรือผีดิบ แต่เพราะไม่ต้องการโลหิตหล่อเลี้ยงชีวิต ผมจึงคิดว่าจีรัญชีวินเป็นคำเรียกที่เหมาะสม ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นมนุษย์เหมือนพวกคุณ เมื่อหลายศตวรรษที่แล้ว ผมคือแม่ทัพแห่งอาณาจักรโจฬะที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาขนานนามให้ว่าอปราชิต... ผู้มิอาจปราชัย ผมสังหารศัตรูอย่างโหดร้าย คิดว่าตัวเองสูงส่งเหนือมรรตัย ชื่อเสียงที่ได้รับทำให้ผมหลงลำพอง กระตุ้นให้ผมมองสูงขึ้นไป อยากเป็นใหญ่กว่าราชันย์ทั้งมวล และเพราะความโฉดเขลาเพียงชั่วครู่ ผมจึงตามหาผู้รู้เพื่อไถ่ถามถึงความเป็นอมตะ ผมไม่ต้องการอยู่ใต้อาณัติกษัตริย์โจฬะหรือผู้ใด หากผมก้าวข้ามความตายได้ ผมจะเอาโลกทั้งใบมาไว้ในกำมือ

        ผมเริ่มต้นภารกิจในครานั้น พวกเขาบอกว่าหากสังหารพราหมณี ได้ครบพัน ผมจะกลายเป็นอมตะตามต้องการ เท่าที่ผมรู้มา ไม่มีผู้ใดกล้าทำการอุกอาจเช่นนี้ การเข่นฆ่าพราหมณีเป็นบาปใหญ่ที่สุดที่มนุษย์พึงกระทำ ผู้ที่แปดเปื้อนบาปกรรมจะถูกลงทัณฑ์ชั่วนิรันดร์ในนรก ทว่าผมไม่ต้องการขึ้นสวรรค์ ยังคงยึดติดความมั่งคั่งในสังสารวัฏ ด้วยเหตุนั้นผมจึงไม่สนความผิดบาป ลงมือประหัตประหารสตรีไร้ทางสู้ ไม่สนใจเสียงขู่สันติบาล ผมรู้ว่าไม่มีใครกล้าหาญพอจะต่อกร มีเพียงเสียงวอนขอให้ทิ้งอาวุธ ในที่สุดพราหมณีจึงหนีตายหาทางรอด พวกนางพากันออกนอกลู่ทาง ยอมแต่งงานกับคนวรรณะต่ำโดยหวังให้สายเลือดตนแปดเปื้อน ผมหัวเราะเมื่อได้เห็นภาพฟั่นเฟือน ใครจะรู้ว่าหญิงพรหมจรรย์จะหวาดหวั่นมรณายิ่งกว่าศักดิ์ศรี และสุดท้ายเมื่อไม่อาจหานารี ผมจึงเดินทางท่องปฐพีเพื่อเสาะหาเหยื่อสังเวยรายต่อไป

        ครั้นมาถึงเหยื่อคนสุดท้าย ผมก็เชื่อว่ากำลังจะหลุดพ้นความตาย กลายเป็นจีรัญชีวินคนต่อไปอย่างแม่นมั่น ทว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่พราหมณีธรรมดา นางเป็นสาวกของพระแม่จามุณฑา มาตริกาแห่งภูตผีและความแค้น นางพราหมณ์ร่ายคำสาปติดกับตัว ไม่มีแม้ความหวาดกลัวบนใบหน้า ผมได้ฆ่าพราหมณีคนที่พัน ในใจไม่มีแม้ความสำนึกผิด ทว่าสุดท้ายแทนที่จะยืดชีวิต ผมกลับผูกติดกับความทุกข์ชั่วนิรันดร์ คำสาปของนางพราหมณ์ห้ามไม่ให้ผมเข่นฆ่า ผมทำได้เพียงสูบกินวิญญาณ์เพื่อรักษาร่างเนื้อเอาไว้ ดวงจิตคนตายจะสถิตย์ในกายผม ทุกๆ วันต้องทนทรมานไม่มีที่สิ้นสุด และสิ่งนี้จะไม่มีวันหยุดเช่นกัน ความเจ็บแค้นที่ถูกพรากชีวันยังคงไหลเวียนทั่วร่างไม่ต่างกับสายธาร ทำให้ผมไม่อาจพบพานความสงบจวบจนสิ้นกลียุค

        แต่แล้ววันหนึ่งขณะสูบกินวิญญาณ ผมก็ได้พบกับนางฟ้าตัวน้อย คืนนั้นผมไปโรงพยาบาลเหมือนทุกที ไม่มีที่ใดมีคนตายเท่าที่นี่ ทว่าผมกลับต้องตื่นตระหนก พยาบาลเล่าถึงเหตุระเบิดครั้งใหญ่ กลุ่มก่อการร้ายวางระเบิดสนามบินเชนไน แทบไม่มีผู้บาดเจ็บคนใดรอดชีวิต ผมรู้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องผิด แต่ก็ไม่อาจห้ามสัญชาตญาณติดตัว ผมเดินไปยังเตียงคนไข้ ดูดกลืนดวงจิตสุดท้ายของคนใกล้ตาย คิดเพียงว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจรอดชีวิต หากเร่งเวลาสักนิดคงไม่เป็นไร ผมอาจลืมบอกไป ตั้งแต่ถูกพราหมณีสาป ผมก็ตระหนักว่าทางออกที่จะพ้นจากเคราะห์ร้ายคือไถ่ถอนความผิดที่ได้ทำ ผมจึงเริ่มแก้กรรมด้วยการช่วยชีวิต หลายครั้งที่ผมถูกเรียกว่าวีรบุรุษ เป็นผู้ปกป้องมวลมนุษย์จากภัยร้ายในเงามืด ทว่าความคิดนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวตน ผมใช้ข้ออ้างเป็นเหตุผลเพื่อสูบกินวิญญาณอย่างสบายใจ ไม่มีใครรู้ว่าจุดจบใดกำลังรอคอยอยู่ ผมจึงต้องทำทุกทางเพื่อรักษากายเนื้อไว้ แม้จะเป็นการซ้ำเติมคนใกล้ตายก็ตามที

        ผมพบมีนูบนเตียงหลังหนึ่ง เด็กน้อยกำลังรำพึงกับตัวเอง ฮัมเพลงกล่อมเด็กแผ่วเบา ร่างกายเธอกว่าครึ่งถูกไฟเผา ผมรับรู้ทันทีที่ได้เห็น ในไม่ช้าเธอจะเป็นเหยื่อมฤตยู ไม่มีอำนาจใดจะกู้ชีพเด็กหญิงให้หวนกลับ เพราะไม่อยากเสียวิญญาณอย่างไร้ค่า ผมจึงเดินตรงเข้าไปหา ตั้งมั่นว่าจะกลืนกินชีวาจากกายเธอ

        มีนูลืมตาขึ้นในตอนนั้น นัยน์ตาหม่นมัวมองตรงมายังผม ดวงหน้ามนเปล่งปลั่งด้วยรอยยิ้ม เด็กหญิงเอื้อนเอ่ยคำเว้าวอน ขอพรให้ผมพาเธอไปอยู่กับพ่อแม่บนสวรรค์ ผมถอยห่างจากร่างเธอโดยพลัน ตะลึงงันกับความปวดร้าวในอก ตั้งแต่ก่อนเป็นจีรัญชีวิน ผมสูญสิ้นซึ่งความเป็นมนุษย์ ไม่เคยรู้สึกเห็นใจแก่ผู้ใด ทว่ากับเด็กใกล้ตายตรงหน้า ผมกลับไม่อาจหาถ้อยคำมาบรรยาย หยาดน้ำใสรินไหลจากดวงตา และแล้วผมก็ตระหนักว่าไม่อาจพรากชีวากุมารี ทำไม่ได้แม้หลบลี้หนีหายไปจากเธอ

        ผมยอมรับชะตากรรมในวันนั้น เชื่อว่ามีนากษีคือผู้ที่สวรรค์ส่งมาให้ เธอจะเป็นผู้ไถ่ถอนบาปกรรมที่เฝ้ารอ ทว่าผมกลับได้มากกว่าที่ขอ ทันทีที่มีนูรอดพ้นจากความตาย เธอก็กลายมาเป็นทุกอย่างในชีวิต เด็กน้อยคิดว่าผมคือเทวดาประจำกาย เธอจะร้องไห้ทุกครั้งที่ผมไม่อยู่ ทุกๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอเรียกหาคือชื่อผม การมาเจอเธอทุกวันจึงกลายเป็นกิจวัตร ผมมารู้ภายหลังว่ามีนูไม่เหลือญาติพี่น้องอื่นใด พ่อแม่เธอตายในเหตุก่อการร้าย เพราะไม่อาจทนเห็นเธออยู่ลำพังได้ ผมจึงพาเด็กน้อยมาอยู่ด้วยกัน คิดว่าอีกไม่นานการไถ่บาปจะสิ้นสุด ผมจะได้ไม่ต้องผูกติดกับดวงจิตคนตายอีกต่อไป

        ทว่าการเลี้ยงเด็กให้เติบใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ชีวิตประจำวันของผมได้เปลี่ยนไป ผมกลายเป็นครอบครัวหนึ่งเดียวของมีนู เช่นเดียวกับที่เธอเป็นส่วนหนึ่งในตัวตน กลายเป็นคนสำคัญของผมในที่สุด และเมื่อเวลาหมุนผ่านหลายขวบปี กุมารีก็ย่างเข้าสู่วัยสาว ตอนนั้นเองที่มีนูเอ่ยคำรัก ทว่าผมไม่อาจปักหลักลงกับใคร ไม่มีแม้อนาคตจะมอบให้ แต่ครั้นพูดออกไปเช่นนั้น มีนูก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะ เธอรู้ดีว่าผมเป็นอะไร รู้ถึงความเจ็บปวดในใจมาตลอด เธอขอให้ผมเลิกวิ่งหนี วอนให้รับหนึ่งนารีเป็นคู่ครอง ผมได้แต่มองดูเธออย่างเงียบงัน แต่ก็ไม่ได้หันหลังเดินจากอย่างที่ควรเป็น และแล้วชีวิตซ่อนเร้นในหลืบเงาของสองเราก็เริ่มขึ้น

        จากวันนั้นผ่านพ้นครบสิบปี ผมและมีนูมีสุขอย่างเหลือแสน ผมหลงลืมความแค้นที่เคยมีก่อนหน้า รู้สึกเหมือนเป็นคนเก่าก่อนเข่นฆ่าพราหมณี มีนูเป็นอิสตรีผู้เดียวที่เข้าใจ ชีวิตที่เคยเปลี่ยวเหงาเกินบรรยายได้กลับกลายเป็นกองไฟแสนอบอุ่น ทว่าผมกลับไม่ได้เฉลียวใจ แต่ละคืนที่ผ่านไปหมายถึงวัยสาวคราวโรยรา มีนูฝันถึงชีวิตในวันหน้า เธอต้องการเป็นภรรยาของใครสักคน ความเป็นอมตะของผมจึงเป็นเพียงอุปสรรค ผมอาจมอบรักมากล้นให้กับเธอ แต่ไม่กล้าแม้เสนอสิ่งที่มี ผมอยากให้เธอเพลิดเพลินกับชีพนี้ ผ่านสุขทุกข์แต่ละปีก่อนสิ้นลม ไม่มีใครรู้จักความเป็นนิรันดร์ดีเท่าผม และผมไม่ต้องการให้คนรักมาเผชิญนรกบนดินร่วมกัน ทว่ามีนูไม่เข้าใจในความหวังดีนั้น เธอบอกว่าผมเป็นคนเห็นแก่ได้ คิดเพียงว่าจะอยู่กินกับเธอประเดี๋ยวประด๋าว หากหมดสิ้นความสาวและเยาว์วัย ผมก็จะทิ้งเธอไปไม่ไยดี ผมยังจำสีหน้าเธอในวันนั้น มีนูร่ำไห้ราวจะขาดใจ ขอผมให้เปลี่ยนเธอเป็นแบบเดียวกัน... เป็นจีรัญชีวินสืบต่อไป

        ผมไม่อาจตอบรับคำขอเธอได้ ไม่ต้องการช่วยเธอพรากชีวาใคร การเข่นฆ่าอาจนำมาซึ่งอมตะ ทว่ามันก็พรากความเป็นคนไปจากผม ผมไม่อยากให้มีนูต้องทุกข์ทน ไม่ต้องการให้เธอสูญสิ้นตัวตน แต่เธอกลับไม่ยอมรับฟังเหตุผล เริ่มตีตัวออกห่างจากผมนับแต่นั้น แต่แล้วครั้นสองเราอยู่ห่างกัน ทุกราตรีที่ใครควรหลับฝัน เราทั้งคู่ก็หวนกลับมาหากันยามค่ำคืน ทว่าเมื่อถึงคราวลืมตาตื่น ผมกลับต้องทนฝืนเดินจากเธอไป เมื่อไม่อาจมอบชีวิตให้เธอได้ ผมก็เป็นได้เพียงคนไร้ค่า ความผูกพันเริ่มเลือนรางผ่านเวลา ในที่สุดผมก็รู้ว่ามีนูกำลังคบหาชายอื่น ใครบางคนที่มีจุดยืนในสังคม ไม่ต้องคอยหลบลี้ผู้คนแต่ในเงา

        น่าแปลกที่ผมไม่นึกโกรธเกลียดเธอ ผมยอมรับเศษเสี้ยวที่เธอเสนอให้ ยอมเป็นเพียงชู้รักยามสิ้นแสงไข ไม่อาจพรากจากไปราวติดบ่วงพันธนาการ ตลอดกาลบัดนี้กลายเป็นฝันร้าย ผมวิงวอนให้เทวาเปลี่ยนผมกลับเป็นมรรตัย... เพื่อจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ก็ดังเช่นที่ใครเขารำพึง เมื่อเราได้สิ่งที่หวังแล้วครั้งหนึ่ง มันจะตรึงติดตัวอยู่อย่างนั้น ความเป็นอมตะนี้เองก็เช่นกัน ไม่มีใครพรากมันจากผมได้ แม้ต้องการละทิ้งเพียงใดก็ตาม

        และแล้วความกลัวของผมก็เป็นจริง มีนูกลายเป็นคนอยากวิ่งหนี ละทิ้งสิ่งที่เคยมีเพื่อเริ่มต้น ผมรู้สึกราวถูกแทงนับพันหน ความเจ็บปวดกร่อนใจเกินฝืนทน ผมประคองดวงหน้ามนบนฝ่ามือ ต้องการสื่อให้รู้ว่าเธอคือสิ่งที่มีค่า หากต้องม้วยมรณาในวันนี้ ความทรมานในอเวจีอาจเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ได้ประสบ ทว่าความสงบบนใบหน้าบ่งชัดว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ที่นั่น ความรักความผูกพันได้เลือนหายไปจากใจ มีนูกำลังจะไปจากผม ผมอยากวิงวอนต่อน้องนวลอนงค์ ขอโอกาสอีกสักหนให้ผมได้พิสูจน์ ผมต้องการพูดความในใจ เอ่ยคำใดก็ได้เพื่อเหนี่ยวรั้งกายเธอไว้ ต่อให้เธอมีใครในหัวใจ ผมก็จะไม่ถือสาอย่างไรเลย ผมเป็นเพียงเชลยรัก ณ ที่นี้... ต่อให้ต้องพรากชีวีอีกนับแสน ผมก็จะทำเพื่อตอบแทนความดีงามที่เธอเคยมอบให้ ผมไม่อยากอยู่อย่างไร้แสงไฟ... ยอมถูกเผาไหม้จนตายดีกว่าต้องปล่อยเธอไปในวันนี้...

        “โชคดีนะ มีนู” ถ้อยคำนั้นเปล่งออกมาอย่างสงบ ราวกับความปวดร้าวที่ประสบคือสิ่งลวง ทว่าคำพูดยังคงพรั่งพรูต่อ ไม่รีรอให้ดวงจิตคิดซ้ำสอง “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมมีความสุขมาก และผมเชื่อว่าเขาคนนั้นจะทำให้คุณมีความสุขเช่นกัน อาจมากเกินกว่าที่คนอย่างผมจะคิดฝันด้วยซ้ำ”

        “ขอบคุณค่ะ อัปปู” มีนูเอ่ยพลางแย้มยิ้ม ชื่อเล่นที่เธอตั้งให้ในวัยเยาว์แผดเผาภายในจนมอดไหม้ ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไป แต่ยังคงส่งยิ้มให้เหมือนคนบ้า “ฉันดีใจที่เราตกลงกันได้ ไม่มีใครเข้าใจฉันดีกว่าคุณ ฉันแค่อยากให้คุณได้รู้ไว้ ต่อให้ฉันอยู่กับใครหลังจากนี้ ในหัวใจจะยังมีที่ว่างสำหรับคุณเสมอ คุณคือคนดีที่สุดที่ฉันได้พบเจอ เราเพียงแต่ไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อคู่กัน...”

        คำพูดมีนูเลือนรางหลังจากนั้น ผมรับฟังแผนวิวาห์ที่กำหนด โคลงศีรษะเออออเมื่อถูกขอความเห็น มีนูไม่ตระหนักถึงความหนาวเย็นที่พรั่งพรู ไม่รับรู้ว่าผมกำลังจะล้มลงตายตรงนี้ ผมอาจไม่มีชีวีเหมือนกับใคร แต่ความเจ็บปวดภายในเป็นของจริง นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้เธอรู้ ผมอาจฆ่าศัตรูมานับพัน แต่ผมเพิ่งเข้าใจสิ่งที่ทำในตอนนั้น มีนูคือผู้ไถ่ถอนบาปกรรมคนแรก และเธอจะไม่ใช่คนสุดท้าย จุดสิ้นสุดกลียุคยังอยู่อีกแสนไกล และผมไม่แน่ใจว่าจะรับการทรมานเช่นนี้ไหว เมื่อต้องทนมองคนรักเดินจากไป มีชีวิตใหม่กับใครอื่นที่ไม่ใช่ผม

        มีนูเอ่ยคำอำลาสั้น ๆ เธอก้าวเดินออกสู่แสงตะวัน ตรงไปยังอ้อมแขนของคนรัก ผมเฝ้าดูทั้งคู่อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งไม่อาจฝืนทนต่อไป ผมจึงสลายร่างจากที่ตรงนั้น ไปให้ไกลจากชีวันอันมีค่า หนีห่างจากกานดาเจ้าดวงใจ และเมื่อถึงยามพลบจบแสงไข ผมก็เตือนตัวเองไม่ให้เข้าใกล้เปลวไฟอีกเป็นครั้งที่สอง

                       

..............................................................

 

        มีนากษีวิ่งตรงออกนอกบ้าน ข่มกลั้นใจไม่ให้หันหลังกลับมอง อัปปูเคยเป็นโลกทั้งใบในชีวิต... เขายังคงเป็นเช่นนั้นในตอนนี้ ทว่าเมื่ออายุครบสามสิบปี มีนากษีก็ไม่ใช่ดรุณีอีกต่อไป หัวใจเธอแตกสลายนับแต่วันที่เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ หญิงสาวไม่เคยรู้ว่าอัปปูเป็นอมตะได้อย่างไร แต่เธอพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับชายคนนี้ หากเพียงเขาเสนอสิ่งที่ตนมี ตอนจบของเรื่องนี้คงแตกต่างจากที่เป็น

        หญิงสาวแย้มยิ้มครั้นเห็นคนรักใหม่ อธิราชมีหลายอย่างที่ย้ำเตือนถึงอปราชิต หลายครั้งที่เธอเผลอคิดว่าพวกเขาคือคนเดียวกัน บรรยากาศรอบตัวทั้งคู่ดูคล้ายคลึงอย่างน่าประหลาด นั่นอาจเป็นเหตุให้เธอตกหลุมรัก เขากลายเป็นที่พักพิงแห่งใหม่ หลังจากที่ความรักพังทลายเพราะชายเห็นแก่ตัว เธอจะไม่มัวเสียเวลากับคนอย่างอปราชิต เธอมีชีวิตในวันหน้ากับชายคนนี้ มีนากษีโผเข้ากอดเขาแนบแน่น ภาวนาให้ความเจ็บปวดเหลือแสนเลือนหายไป และวันหนึ่งวันใดข้างหน้า เธอจะเป็นภรรยาและมารดาที่สมบูรณ์

“เป็นอะไรไปหรือ ที่รัก” อธิถามยามซุกหน้าที่เรือนผม ความขื่นขมในหัวใจจางหายไปในตอนนั้น

        “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันเพียงแต่คิดว่า...” มีนากษีจุมพิตริมฝีปาก ความอุ่นซ่านเอิบอาบไปทั้งกาย ความรู้สึกที่หาไม่ได้จากผู้ชายที่เป็นอมตะ “สัมผัสจากมนุษย์ด้วยกันนี่... รู้สึกดีกว่าจริงๆ นั่นแหละค่ะ”

 

..............................................................

 

        อธิลูบไล้ผมยาวสลวย มีนากษีเป็นคนสวยสะดุดตา หล่อนจะเป็นภรรยาที่ใครใคร่ฝันหา เป็นมารดาที่สมบูรณ์ไร้ที่ติ ทว่าอธิไม่ได้ต้องการสิ่งที่ว่า หล่อนเป็นมากกว่านั้นหลายเท่านัก เขาเฝ้าเอ่ยคำรักอยู่หลายเดือน ย้ำเตือนให้หล่อนผละจากชายผู้นั้น ไม่ใช่เพราะเขามีจิตคิดผูกพัน แต่เพราะหล่อนจะเป็นหญิงคนที่พันที่เขาฆ่า... อัยยังการ์... สายเลือดพราหมณ์อันสูงส่ง

        ชายหนุ่มนึกเวทนาคนรักเก่าของเจ้าหล่อน หมอนั่นควรเพลิดเพลินไปกับพร นิรันดรคือปลายทางอันประเสริฐ การเกิดและตายดับต่างหากที่โสมม เหตุใดต้องฝืนทนต่อชะตาหากรู้ว่ามีทางออกอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ฆ่าสาวบริสุทธิ์ไม่กี่คน ความทุกข์ทนแห่งสังสารจะสิ้นสูญ ปราศจากความโศกาอาดูร ได้มาซึ่งความสมบูรณ์ทั้งรูปทรัพย์

        อธิราชกอดจูบเหยื่อของตน แม้ในใจรังเกียจจนทนไม่ได้ คนอย่างหล่อนเป็นเพียงแค่มรรตัย ไม่อาจเทียบได้กับจีรัญชีวินคนใหม่แห่งกลียุค ทว่าความคิดกลับหยุดลงตรงนั้น เมื่อมีนากษีเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เขาขยะแขยง

        “สัมผัสจากมนุษย์ด้วยกันนี่... รู้สึกดีกว่าจริง ๆ นั่นแหละค่ะ”

        อธิก้มหน้าซุกคอระหง อยากกระชากเนื้อหนังให้ด่าวดิ้น ทิ้งให้เลือดพราหมณีอาบแผ่นดิน ทว่าเขายังมีสิ่งที่ต้องทำ พิธีกรรมที่จะนำพาตนไปสู่ความเป็นอมตะ ทุกอย่างตระเตรียมไว้ไร้ที่ติ เขาแค่ต้องครองสติให้ถึงตอนนั้น และนางพราหมณ์คนที่พันจะนำตนสู่นิรันดร์ที่ฝันหา

        “นั่นสินะ ที่รัก” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหวาน กระซิบที่หูนงคราญอย่างมาดหมาย “แต่ก็อีกไม่นานแล้วแก้วตา ผมสัญญาจะทำให้มันดีขึ้น จะมอบรักจนคุณไม่อาจลืมตาตื่นอีกต่อไป...”

        อธิพามีนากษีเดินจากไป หลังจากนั้นไม่เคยมีใครได้พบหล่อน และชีวิตนิรันดรก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง.

 

...............................................................

 

หมายเหตุ :

        -มรรตัย : ผู้ที่ต้องตาย, ได้แก่ พวกมนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉาน, คู่กับ อมร ผู้ไม่ตาย คือ เทวดา. (ส. มรฺตฺย; ป. มจฺจ).

        -อัยยังการ์ : หนึ่งในสกุลพราหมณ์เก่าแก่แห่งทมิฬนาฑู มีนากษี ตัวเอกของเรื่องเป็นสตรีวรรณะพราหมณ์

        -จีรัญชีวิน : ผู้เป็นอมตะตามตำนานฮินดู ในคัมภีร์ปุราณะและมหากาพย์กล่าวถึงจีรัญชีวินทั้งแปด ทั้งหมดไม่มีวันสิ้นอายุขัยจวบจนวันสุดท้ายของกลียุค

        -พราหมณี : สตรีตระกูลพราหมณ์ ในอดีตพราหมณีสามารถทำพิธีสังสการทุกอย่างได้ไม่ต่างจากพราหมณ์บุรุษ

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

  

                วรรณกรรมออนไลน์