เรื่องสั้น : อย่าลืมฉัน : วุฒิเดช มนต์ชัยวิศาล

เรื่องสั้น : อย่าลืมฉัน : วุฒิเดช มนต์ชัยวิศาล

 

        ใช่สินะ ! ฉันคงเปลี่ยนไปมาก มากจนเธอลืมไปหมดแล้ว...

        แต่ฉันยังจำเธอได้ ยังจำได้ทั้งหมด วันเวลาเหล่านั้นยังแจ่มชัดเหมือนไม่นานมานี้เอง วันที่เธอหอบหิ้วฉันขึ้นดอยไปด้วย ฉันไม่เคยลืมเลยว่าเรามีความสุขกันมากแค่ไหน มันเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่พิเศษ เราต่างพูดกันว่าเมืองไม่เหลือธรรมชาติให้ชื่นชมอีกแล้ว และฉันก็เบื่อที่ต้องทนแช่อยู่แต่ในห้างสรรพสินค้าเต็มที มันจึงเหมือนความฝันเมื่อฉันได้นั่งรถแล่นขึ้นเขาสูงในวันนั้น ถนนคดเคี้ยว หมู่บ้านชาวเขา ผืนป่า อากาศบริสุทธิ์ หนีจากเมืองที่วุ่นวายและฝุ่นควันคอยบั่นทอนชีวิต

        เราตื่นเต้นกับภาพเด็ก ๆ เนื้อตัวมอมแมมยืนมองรถของเราแล่นผ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนวิ่งไล่ตามรถด้วยความสนุกสนาน เราจอดรถแล้วดึงขนมออกมาแจก เราเตรียมมามากมาย มันคุ้มค่าเมื่อเราได้เห็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ซื่อใส พวกเราโบกมือให้และเด็ก ๆ ก็โบกตอบ เรายังพบชาวบ้านกลับจากทำงานในไร่นา ขนฟืนมาเต็มหลัง แม้จะรู้สึกเคอะเขินแต่พวกเขาก็ยินดีถ่ายรูปกับพวกเรา

        เราไปถึงตอนตะวันกำลังจะลับทิวเขาที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้า แสงสุดท้ายอาบริ้วเมฆด้วยสีส้มแก่และระบายท้องฟ้าด้วยสีส้มอ่อน เรารีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะออกเดินเล่น สำรวจพื้นที่รอบ ๆ จนฟ้าค่อย ๆ มืดลง จึงกลับมากางเต็นท์ เธอหยิบกีตาร์โปร่งในรถออกมา นั่งลงบนพรมหญ้า เริ่มต้นเล่นเพลง ‘เที่ยวละไม’ ของ ‘วงเฉลียง’ ทุกคนพร้อมใจกันร้องราวกับเป็นเพลงประจำกลุ่ม

        เราช่วยกันเก็บเศษไม้มากองไว้กลางลานหน้าเต็นท์ ไม่นานดวงไฟก็ค่อย ๆ ก่อตัว เรานำเนื้อหมูและหมึกในถังแช่ออกย่าง แจกจ่ายเบียร์กันจนครบ สักพักดวงดาวก็ส่งแสงระยิบระยับ ดวงดาวอยู่ใกล้แค่เอื้อม บางคนทำท่าคว้ามากำไว้ในมือ และชวนชี้กันดูทางช้างเผือก ยิ่งดึกดวงดาวยิ่งกระจ่าง ดาวกะพริบพราวเหมือนใครโปรยอัญมณีไว้ทั่วฟ้า เธอยังเป็นมือกีตาร์ที่คอยเล่นเพลงให้เพื่อน ๆ ร้อง เราร้องเพลง ‘แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร’ ของ ‘เขียนไข และ วาณิช’ และแก้มของสาว ๆ ก็แดงซ่านด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ มันเป็นภาพที่งดงามประทับใจ เปี่ยมความหมาย เหมือนโลกนี้มีเพียงพวกเรา เธอต้องจำได้สิ

        และกว่าจะเข้านอนกันได้ก็ดึกโข แต่ทุกคนก็แคะขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อชมแสงแรกของวัน เรานำเตาแก๊สปิคนิกมาต้มน้ำเพื่อชงกาแฟ มื้อเช้าง่าย ๆ กาแฟดำ ขนมปัง ไข่กระทะ เธอละเลียดดื่มกาแฟบนขอนไม้ ซึมซับบรรยากาศของวันใหม่บนยอดดอยที่ล้อมรอบด้วยผืนป่า แล้วชวนเพื่อน ๆ หามุมถ่ายรูปหมู่ ก่อนจะพากันจับกลุ่มพูดคุย สูบบุหรี่ จนแดดเริ่มร้อนจึงทยอยขนของขึ้นรถ ทุกคนตรวจดูข้าวของของตัวเอง สิ่งของทุกชิ้นถูกจับขึ้นรถ เมื่อใครคนหนึ่งร้องถามว่า “พร้อมกันรึยังพวก ?” ทุกคนส่งสัญญาณว่าเรียบร้อย เธอหันหลังเดินตามคนอื่น ๆ ไป

        แต่ฉัน ฉันล่ะ ฉันอยู่นี่ ฉันร้องเรียกเธอ ไม่มีใครได้ยิน รอฉันด้วย เอาฉันกลับไปด้วยสิ ฉันทำได้แค่มองรถที่ค่อย ๆ เคลื่อนล้อหายลับไปจากสายตา

        เธอลืมฉันตั้งแต่วันนั้นแล้วใช่ไหม...

        เกิดอะไรขึ้นบ้างหลังเธอจากไปแล้ว ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมด ฉันกลายเป็นส่วนเกินของที่นี่ แปลกปลอมไม่คู่ควร กลางคืนดวงดาวยิ่งกระจ่างชัดเท่าไหร่ฉันยิ่งรู้สึกทุเรศตัวเองมากเท่านั้น เสียงของนกยิ่งใสกังวานฉันยิ่งไร้ค่า ทำไมไม่เอาฉันกลับไปด้วย

        เย็นวันหนึ่ง แว่วยินเสียงรถดังมาไกล ๆ ฉันหวังให้เป็นเธอกลับมารับ ตั้งใจฟังเสียงนั้น มันใกล้เข้ามา คิดว่าอย่างไรต้องใช่แน่ ๆ ต่อเมื่อรถแล่นเข้ามาจอด ฉันก็รู้ว่าคิดไปเอง ไม่ใช่เธอ แต่เป็นใครก็ไม่รู้ พวกเขาพูดคุยกันเสียงดัง นอนแผ่ลงบนพรมหญ้า กู่ตะโกน ออกเดินเล่นเลือกมุมถ่ายรูป เขาคนหนึ่งเดินมาที่พุ่มไม้ที่เธอลืมฉันไว้ เขามองเห็นฉันแล้วชักสีหน้าเกลียดชัง จับฉันขว้างออกไปให้พ้นสายตา ร่างฉันลอยละลิ่วไปในอากาศ ด้วยความกลัวฉันหลับตาปี๋ ร่างหล่นกระแทกพื้นเต็มแรง กลิ้งหลุน ๆ อีกหลายตลบ ก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ก้นหุบ รอบตัวเป็นป่าแน่นทึบ มืดและชื้นแฉะ

        ใกล้กันมีชิ้นส่วนเหมือนกับฉันอีกจำนวนหนึ่ง ด้วยความสงสัยฉันจึงถามว่า “พวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน ?” เสียงทุ้มหนักดังก้องขึ้นมาจากความสงัดเงียบ “แกมายังไง เราก็มาอย่างนั้น” จากนั้นก็ไม่มีใครพูดคุยกันอีก วันเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ นาน ๆ จึงจะมีสิ่งของร่วงตกลงมาและรวมกันอยู่ที่นี่

        หลังจากนั้นอีกนาน พวกเขียดที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ซากใบไม้ส่งเสียงงึมงำ ๆ ขึ้นในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว แล้วลมพายุก็หอบเมฆดำทะมึนมาปกคลุมท้องฟ้า ลมพัดยอดไม้โยกไหวรุนแรงเหมือนคนคลั่งบ้า แสงไฟแลบแปลบตัดความมืด ก่อนจะส่งเสียงดังสนั่นเหมือนฟ้าถล่ม ไม่นานฝนก็กระหน่ำเม็ด มวลน้ำจากที่ต่าง ๆ หลากไหลลงสู่หุบเขา และหอบพัดพวกเราทั้งหมดลอยไปกับกระแสอันเชี่ยวกรากอย่างรวดเร็ว ไหลลงสู่ที่ต่ำกลางหุบเขาลึกลับ ผ่านป่ารกทึบ โขดหิน ผาหินสูงชัน เซาะตลิ่งริมฝั่งพังทลาย ผ่านไร่ข้าวโพดที่ทอดตัวตามไหล่เขาสองฟากฝั่ง บางขณะฉันมองเห็นหมู่บ้าน บ้านบนดอยริมฝั่งที่พวกเราเคยนำขนมมาแจกเด็ก ๆ ฉันมองเห็นถุงขนมลอยละลิ่วกลางกระแสน้ำ

        สายน้ำเชี่ยวกรากขุ่นโคลนหลายสายไหลรวมกันเป็นลำน้ำสายใหญ่ พัดพาพวกเราไปไม่หยุดนิ่ง น้ำทุกสายได้นำเอาขยะมาด้วยจำนวนหนึ่ง เมื่อไหลรวมกัน ขยะจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที ไม่นานกระแสน้ำป่าก็พาพวกเราไหลออกแม่น้ำใหญ่ พวกเราเกาะเอาขยะที่ไหลมากับแม่น้ำ ซึ่งเป็นแพขยะแข็งแรงมั่นคงเข้าไว้ จากนั้นจึงออกเดินทางต่อกับกระแสน้ำอ่อนเอื่อยไม่รู้จุดหมายปลายทาง ผ่านบ้านเรือน ผ่านชุมชนเล็ก ๆ ฉันมองเห็นโรงเรียน วัด บ้านพัก ร้านอาหาร สถานที่ราชการ มองเห็นผู้คน เด็กเล็ก คนแก่วิ่งออกกำลังริมแม่น้ำ ผ่านท้องทุ่งกว้างใหญ่ ป่ารกร้าง ป่าเสื่อมโทรม ผ่านเกาะแก่ง ชุมชนแล้วชุมชนเล่าไม่สิ้นสุด

        จากชุมชนต่าง ๆ ที่ล่องผ่าน ขยะจำนวนหนึ่งจะถูกทิ้งลงแม่น้ำ ขยะทั้งหมดจะเกาะเอาแพของเราและร่วมเดินทางไปด้วยกัน ลอยผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไม่รู้วันคืน ในวันฟ้าโปร่ง ฉันเห็นฝูงปลาว่ายทวนกระแสน้ำงับขยะชิ้นเล็กจิ๋วเข้าท้อง เห็นถุงพลาสติกเกี่ยวเข้ากับเบ็ดของคนหาปลา พบกลุ่มคนช่วยกันนำขยะขึ้นจากน้ำคนละชิ้นสองชิ้นจากริมฝั่งแล้วก็เลิกราไป

        เราผนึกเข้ากับแพขยะจากแม่น้ำอีกสายที่ไหลมาบรรจบ จากที่นี่ ชุมชนริมสองฝั่งขยายใหญ่ขึ้นกว่าที่ผ่านมา ตึกปูนสูงลิ่วรูปทรงแปลก ๆ เรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง สะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ แพขยะไหลสวนกับเรือขนส่งสินค้า เรือสำราญ ผ่านโรงแรมระดับห้าดาว ร้านอาหารที่ยื่นออกมาในแม่น้ำ ในคืนที่ฟ้ามืดมิด ริมสองฝั่งเจิดจ้าด้วยสีแสงต่างๆ เสียงดังอึกทึกครึกโครม และมีขยะจำนวนหนึ่งถูกทิ้งลงแม่น้ำร่วมเดินทางไปกับเรา

        แพขยะที่เดินทางมายาวไกลถูกตักขึ้นฝั่งจำนวนหนึ่งบริเวณปากแม่น้ำใหญ่ ส่วนที่เหลือค่อยๆไหลทะลุออกสู่ทะเลกว้าง คลื่นลมซัดแพขยะแตกกระจาย ขยะชิ้นเล็ก ๆ ได้ออกผจญภัยในท้องทะเลไร้ขอบเขต ฉันเห็นถุงขนมหลายชิ้นลอยเข้าปากปลาวาฬ เห็นเศษผ้าลอยติดแง่งปะการัง นกทะเลตัวหนึ่งโฉบลงมาจับเชือก ฝูงพะยูนกำลังเคี้ยวถุงพลาสติกแทนหญ้าทะเล ลวดขดหนึ่งรัดลำตัวเต่ามะเฟืองจนกิ่วคอด และขยะอีกมากมายเกยฝั่ง

        ฉันพบเธออีกครั้งบนหาดทรายขาว ใบหน้านั้นอิ่มเอิบแจ่มใส ฉันคิดว่าตาฝาด จนเธอเดินใกล้เข้ามาจึงมั่นใจว่าจำคนไม่ผิด ฉันร้องเรียกเธอด้วยความดีใจ มีเรื่องมากมายจะเล่าให้ฟัง เธอเห็นฉันแล้ว นั่งชันเข่าก้มมองฉันอย่างพิจารณา ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจ ด้วยความขยะแขยง แล้วเดินหนีไปด้วยความไม่พอใจ

        เธอจำฉันไม่ได้แล้วจริง ๆ...

 

................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

 

                วรรณกรรมออนไลน์