เรื่องสั้น : “เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว” : ศุภฤกษ์ รมยานนท์

เรื่องสั้น : “เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว” : ศุภฤกษ์ รมยานนท์

          “เฮ้ย สมบัติ !  ลองชิมกาแฟนี่หน่อยมั้ย รสเข้มดีว่ะ” ผมร้องชวนเชิญ ถือถ้วยกาแฟร้อน ๆ ชงเสร็จใหม่ ๆ เผื่อหมอนั่นมันอยากลิ้มรสกาแฟสำเร็จรูปสั่งจากนอกดูบ้าง “เอ้อ... รู้มั้ย ไอ้สุบรรณมันหายหัวไปไหนตั้งสองวันแล้ว มือถือมันก็ปิด ?”

          “รู้...!”  สมบัติคำรามลากเสียงยาวตอบผม แปลกแฮะ หมอนี่ไม่ยักหันมามอง ตาจ้องจดจ่อหน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ้วจิ้มแป้นอยู่จึก ๆ ไม่ยอมหยุด “เขาตายแล้ว...”  สมบัติตอบเบา ๆ

          “ตายแล้ว... พูดเป็นเล่น !” ผมเปล่งเสียงดัง ก้มมองพื้นอย่างงง ๆ ทำไมสมบัติพูดอะไรไม่เป็นมงคล  ผมถามเป็นงานเป็นการแล้วตอบออกมาอย่างนี้ได้ยังไง แล้วผมจะรู้มั้ยเนี่ยว่า ไอ้สุบรรณมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่มาทำงาน ผมตรงไปหา ถือถ้วยกาแฟติดมือไปด้วย ถามสมบัติอีกว่า “มันวางแผนจะเอาเงินประกันชีวิตรึไง ?”

          สมบัติหยุดใช้นิ้วจิ้มแป้น คว้าถ้วยกาแฟที่เข้มข้นด้วยคาเฟอีนจากมือผมไปซดโฮกใหญ่ แล้วทำหน้าเหยเกเมื่อรับรู้ถึงรสขมแก่ผ่านลิ้นลงลำคอ ก่อนระบายความร้อนออกมาทางปาก “อ่า...!  เขาตายแล้วจริง ๆ” หมอนั่นตอบก่อนวางถ้วย ลุกพรวดไปยืนหน้าพริ้นเตอร์

          “เออน่า... บอกหน่อยสิ ว่ามันตายคาอกสาวคนไหน ?” ผมถามขณะสมบัติหยิบแผ่นกระดาษ เอ.สี่ ปึกบาง ๆ วางบนช่องพริ้นเตอร์ ยืนรอให้เครื่องทำงาน เหลียวหันมามองผมด้วยแววตาเย็นชาไม่เป็นกันเองเหมือนแต่ก่อน

          “เขาถูกฆ่าตาย” สมบัติตอบ สบตาผมอึดใจหนึ่ง หายใจถี่ ๆ จมูกบานพะเยิบพะยาบ แล้วหันไปดูเครื่องพริ้นเตอร์ที่เอกสารเคลื่อนออกมาทีละแผ่น ๆ

          “ถูกฆ่าตาย... แม่งเอ๊ย !  แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้างรึยัง ?”

          “ใครน่ะใคร ?” สมบัติถาม รอจนได้เอกสารครบทุกแผ่น หมอนี่มันเป็นอย่างนี้เสมอ แสร้งทำเป็นไขสือว่ามีงานล้นมือเพื่อเก็บงำอะไรไว้ในใจ

          “ก็ตำรวจไงล่ะ !” ผมตอบและยิ้ม “มีคนไปแจ้งความรึยัง ?” ต่อปากต่อคำด้วยความอยากร่วมเล่นละครตลกฝืด ๆ กับเจ้าหมอนี่ให้สมบทสมบาท และคอยสังเกตสีหน้าของเขาว่าเป็นยังไง

          “โอ่ย... ฉันว่ายังไม่มีใครรู้หรอก” สมบัติจัดเรียงเอกสาร แล้วเดินเฉียดไหล่ผมไปนั่งที่เครื่องคอมพ์อีก

          “มันถูกฆ่าตายแล้วไม่มีใครไปแจ้งความ จะเป็นไปได้ยังไงวะ ? บ้านเมืองมีขื่อมีแป ฆ่ากันได้ง่าย ๆ งั้นเรอะ ?” ผมพูดไล่หลังหมอนั่น

          สมบัติลุกพรวดหันขวับคว้าเนคไทสีสวยสดของผม ดึงคอเข้าไปใกล้ ๆ หน้าของเขา จมูกเราเกือบชนกัน

          “ชู่... จุ๊ ๆ ๆ พูดอะไรให้มันเบา ๆ หน่อยได้มั้ย ยังไม่มีใครแจ้งความ เพราะยังไม่มีใครเจอศพเขาน่ะสิ เว้นแต่นายปากพล่อยนั่นแหละ เรื่องมันจะแดงขึ้นมา นายอย่าทำอะไรให้มีพิรุธเด็ดขาดนะ” สมบัติคำรามใส่หน้าผมด้วยเสียงเบา ๆ ในลำคอ “เราสองคนน่ะลงเรือลำเดียวกันแล้ว อย่าทำเป็นเล่นละครบททื่อมะลื่อว่านายจำอะไรไม่ได้เลย กลับไปห้องทำงานซะ ก่อนจะมีใครสงสัยว่านายมีพิรุธ !”

          ผมสะดุ้งโหยง เกิดอาการตัวสั่นเทา หน้าตาท่าทางหมอนี่ดูแปลกจากทุกวัน

          “อะไรนะ ? นายพูดเรื่องอะไรเนี่ย ? นายหมายความว่า เราสองคนร่วมมือกันฆ่าไอ้สุบรรณงั้นเรอะ ?” แต่ด้วยความตกใจผมลดระดับเสียงลงไม่ได้

          “ปัดโธ่เว้ย ไอ้บ้า ! มึงหุบปากซะบ้างได้มั้ย ?” สมบัติสบถด่าผมหยาบคายเป็นครั้งแรก หันกลับไปนั่งพิมพ์งานต่อ ยกถ้วยกาแฟที่ผมเอามาให้ขึ้นจิบก่อนพูด “นายกลับไปที่ห้องทำงานแล้วปิดประตูซะ   เดี๋ยวฉันจะลงไปข้างล่างที่สนามหญ้าให้ไกลหูไกลตาคน แล้วนายโทรเข้ามือถือฉันก็แล้วกัน”

          ผมรู้สึกใจสั่นริก ๆ เดินโซซัดโซเซกลับเข้าห้องทำงาน ปิดประตูตามหลัง มายืนอยู่ที่หน้าต่างรอให้สมบัติลงไปปรากฏตัวที่สนามหญ้า ขณะนั้นไม่มีใครไปนั่งเล่น ไม่นานนักสมบัติก็เดินไปนั่งที่ม้าหินใต้ซุ้มดอกเล็บมือนาง จุดบุหรี่สูบ หยิบมือถือยกขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ผมโทรเข้า

          “มันเกิดอะไรขึ้น ?  รีบบอกมาเร็ว ๆ !” ผมตะคอกใส่มือถือของผมเมื่อสัมบัติรับสาย

          หมอนั่นสะดุ้ง ดึงมือถือออกไปห่าง ๆ แล้วดึงกลับมาพูดสาย

          “ตอนนั้นนายเมาหมาไม่แดกเลยว่ะ” เขาบอก “ถามจริง ๆ เหอะ นายจำอะไรไม่ได้เลยรึไง ? เราช่วยกันฝังศพสุบรรณแล้วนายให้ฉันขับรถพากลับกรุงเทพฯ ส่วนนายนั่งหลับมาตลอดทาง”

          “ฉันจำไม่ได้จริง ๆ เอ้อ... จำได้ว่าเมาหนัก แต่จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมตอบด้วยเสียงแหบพร่า  หนาวสั่นทั้ง ๆ ที่แอร์ฯ ก็ไม่ได้เย็นจัดนัก

          “งั้นฉันจะทบทวนความจำให้นายเอง สุบรรณขอตามไปงานที่สัตหีบกับเราสองคน นายบอกว่ามีบ้านในที่ดินสิบกว่าไร่ติดชายทะเล อากาศดีมาก ได้มรดกมาจากตากับยายอยู่ที่บางละมุง บ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่เลย เงียบและโดดเดี่ยว เสร็จงานแล้วเรามาซื้อเหล้ายาปลาปิ้งกันที่พัทยา ก่อนวกกลับไปที่บ้านหลังนั้น สุบรรณพูดกระเซ้าเย้าแหย่นายตอนนายเริ่มมีแฟนที่มหาวิทยาลัย นายโกรธจัดหยิบขวานเก่า ๆ จากไหนก็ไม่รู้ สุบรรณชักปืนออกมาขู่ นายกับฉันต้องรีบหลบหาที่กำบัง แล้วสุบรรณก็นั่งลงกินเหล้าต่อ นายพุ่งตัวเข้าหาจามหัวสุบรรณมิดคมขวานเลย ฉันกับนายช่วยกันหามศพเขาไปฝังตรงดงไม้ลับตาคนในที่ดินของนาย เพราะไม่มีใครรู้ใครเห็น ไม่รู้อีกด้วยว่าเขามากับเรา พูดจริง ๆ นะเพื่อน ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจำอะไรไม่ได้เลย” สมบัติบรรยายคร่าว ๆ

          ผมฟังจบแล้วก็ร้องโอดครวญ เห็นสมบัติย้ายมือถือมาฟังที่หูอีกข้างหนึ่ง

          “เอาล่ะเพื่อน เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ฉันมีงานอีกเป็นกะตักที่จะต้องทำให้เสร็จ วันนี้งานเลิกฉันอยากกลับบ้านแต่วันหน่อย ไว้คุยกันวันหลังก็แล้วกัน แต่เฮ้ย... จำใส่หัวไว้ อย่าแสดงพิรุธ หรือทำอะไรโง่ ๆ เป็นอันขาด อย่างเช่นโทรไปบอกตำรวจ” สมบัติเตือนผมก่อนวางสาย แล้วเดินกลับขึ้นตึกสำนักงาน

          ผมก่ายหน้าผากซบหน้าลงกับพื้นโต๊ะทำงาน ร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นฮั่ก ๆ แล้วหงายหลังกระแทกกับพนักเก้าอี้นวม เลือดฉีดขึ้นสมองจนหน้าร้อนฉ่า สะอึกสะอื้นต่อไปจนตัวโยนไม่ยอมหยุด ผมยกมือป้ายน้ำตาที่อาบหน้า

          “โอเค... แกต้องคุมสติให้ได้ แกต้องทำใจให้ได้ !” ผมสั่งตัวเอง แต่อารมณ์และร่างกายไม่ยอมปฏิบัติตาม ซบหน้าลงบนพื้นโต๊ะทำงานอีก “ทำไม ๆ ๆ ! แกถึงเมาขนาดนั้น ? ทำไมแกถึงฆ่าเพื่อนของแก ?” แล้วอาการสะอึกสะอื้นก็ถูกขัดจังหวะด้วย เสียงเคาะประตู ผมเงยตัวขึ้นนั่ง ควักผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา  ร้องบอกว่า “ครับ... เชิญครับ !”

          ประตูห้องเปิด ชายมีอายุท่าทางภูมิฐานโผล่หน้าเข้ามาครึ่งตัว

          “คุณสงัด... เดี๋ยวผมขอคุยด้วยที่ห้องทำงานหน่อยสิ งานที่คุณไปสัตหีบกับสมบัติน่ะ ลูกค้ามีออร์เดอร์มาเพียบเป็นร้อยกว่าล็อต ได้ผลทะลุเป้า เร็ว ๆ นี้คุณต้องไปชลบุรีอีก” ผู้ชายมีอายุแจ้งธุระ แล้วทำหน้างง ๆ ที่สังเกตเห็นความผิดปกติของผม “ทำไมคุณหน้าแดงก่ำอย่างนั้นล่ะ ? คุณร้องไห้อยู่เหรอเนี่ย ?”

          “เอ้อ... เปล่าครับผู้อำนวยการ” ผมปฏิเสธ “โรคภูมิแพ้น่ะครับ ระหว่างหน้าฝนผมจะมีอาการแบบนี้เสมอครับ”

          “อ้อ งั้นเหรอ หายากินซะนะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน พักผ่อนก่อนเถอะคุณสงัด”

          “ครับผู้อำนวยการ เอ้อ... ผมชื่อสงบนะครับ ไม่ใช่ชื่อสงัด” ผมพูดเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผู้อำนวยการคงไม่ได้ยิน

          ผมนั่งเฉย ๆ ไม่เปิดเครื่องคอมพ์เช็คอีเมลว่า มีจดหมายติดต่อมาถึงหรือไม่ ในใจอัดแน่นด้วยความนึกคิดว่า ตอนนั้นเอาขวานจามหัวไอ้สุบรรณได้ยังไง ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลย

          มโนภาพปรากฏเป็นฉาก ๆ ว่า สุบรรณล้วงหยิบปืน ผมกับสมบัติรีบหลบหาที่กำบัง จำได้ว่าบ้านเก่าของตากับยายมีขวานเก่า ๆ อยู่จริง ผมหาเจอแล้วหยิบมาถือ พอได้จังหวะก็พุ่งปราดเข้าไปจามหัวไอ้สุบรรณโดนเข้าจังเบอร์ ผมคงฆ่ามันตายจริง ๆ แล้วสมบัติก็เป็นคนช่วยผมฝังศพมันให้

          ผมหวนนึกถึงช่วงวันเวลาสิบกว่าปีที่ไอ้สุบรรณกับผมจบจากโรงเรียนเดียวกัน เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน มาทำงานบริษัทง่อนแง่นแห่งเดียวกัน แล้วมาเจอ สมบัติ ตั้งก่อกิจ ที่นั่น ผมรักความก้าวหน้าขอลาออกหางานใหม่ ทั้งไอ้สุบรรณกับสมบัติลาออกตามผมมาสมัครงานที่บริษัทมั่นคงกว่า ผู้อำนวยการบริษัทแห่งนี้ตกลงรับโครงการที่ผมเสนอ การดำเนินงานเป็นไปได้ด้วยดีทั้งด้านนโยบายและด้านธุรกิจ ผมได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นรองผู้อำนวยการอย่างรวดเร็ว ส่วนสุบรรณกับสมบัติทำงานได้เพียงพนักงานประจำ เพราะติดต่อธุรกิจกับใครไม่เป็น

          ถึงผมจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงกว่าเจ้าเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนนี้ แต่ไม่เคยลืมตัวทำเป็นห่างเหิน ยังร่วมก๊วนไดรฟ์กอล์ฟ สุมหัวสำมะเลเทเมาตามโอกาส

          “โอย... กูทนไม่ไหวแล้วโว้ย ! กูฆ่าเพื่อนตายทั้งคน !” ผมสบถออกมาดัง ๆ คว้าโทรศัพท์สายตรงที่อยู่ใกล้มือกดเบอร์

          “191 ครับ ต้องการแจ้งเหตุร้ายอะไรไม่ทราบครับ ?” เสียงเจ้าหน้าที่รับสาย แต่ผมยังรู้สึกเหมือนมีก้อนอิฐนับร้อยก้อนกดทับหน้าอก

          “ผม... ผมอยากจะแจ้งเหตุเรื่องการฆ่าคนตายครับ” ผมตอบ

          “ตอนนี้คุณตกอยู่ในอันตรายรึเปล่า ?” เจ้าหน้าที่ถาม

          “เปล่า ๆ ผมอยากจะสารภาพ...”  ผมแจ้งจุดประสงค์

          “สารภาพเรื่องอะไร ?!”

          “สารภาพว่าผมเป็นคนฆ่าคนตาย...”

          “ครับ ๆ ! เดี๋ยวผมจะให้คุณพูดกับสารวัตรที่ทำหน้าที่นี้ ถือสายสักครู่นะครับ” เจ้าหน้าที่รับทราบ  เสียงเพลงรอสายดังแว่วเข้าหู

          ผมซบหน้ากับพื้นโต๊ะทำงานอีก มือยังถือสายแนบหู คิดถึงชีวิตและหน้าที่การงานที่กำลังก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง แล้วกลับต้องมาดับวูบจบเห่ลงเพียงแค่นี้เอง

          เสียงจากสาย 191 ของใครอีกคนหนึ่งพูดขึ้น “ผม พ.ต.ต.โมรา เมืองอุดม ครับ เห็นเจ้าหน้าที่รับสายบอกว่า คุณแจ้งเหตุเรื่องการฆ่าคนตายใช่มั้ยครับ ?”

          “ใช่แล้วครับสารวัตร... ผมเป็นคนฆ่าเพื่อนร่วมรุ่นตาย” ผมเกลียดเสียงที่ดังออกมาจากปากตัวเอง  เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง น้ำตาของผมไหลพราก ๆ ไม่ยอมหยุด จนต้องใช้ผ้าเช็ดหน้ากดดวงตาไว้แน่น

          “ครับ ๆ หมายเลขโทรศัพท์ของคุณโชว์อยู่ เราจะไปรับคุณมาสอบปากคำ ไม่ต้องกลัวนะครับ คุณอาจทำลงไปโดยไม่เจตนา หรือป้องกันตัวก็ได้ เดี๋ยวผมจะส่งรถตำรวจไปรับคุณ ใจเย็น ๆ สงบสติอารมณ์รออยู่ที่นั่นก่อน อ้อ... ผมขอทราบชื่อคุณด้วย”  เป็นคำปลอบโยนที่น่าฟังจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเลย

          “ได้ครับ  ผมชื่อ...”  ผมอึกอัก รู้ตัวดีว่าทำบาปหนักแล้วควรจะต้องชดใช้กรรม ผมฆ่าคนตาย ผมฆ่าเพื่อนผมเอง ผมไม่ใช่คนดีนัก ไม่ยอมเป็นฝั่งเป็นฝาอย่างที่พ่อแม่หวังไว้ หลอกกินไข่แดงสาว ๆ มาแล้วหลายรายอย่างไม่มีความรับผิดชอบ ผมฆ่าคนตายไปคนหนึ่ง ควรจะต้องถูกพิพากษาตามโทษานุโทษ

          ก่อนผมจะตัดสินใจแจ้งชื่อตัวเอง ก็มีคนเปิดประตูห้องเข้ามาอย่างกะทันหัน

          “เฮ้ย ไอ้เสือ !  มึงเป็นอะไรไปวะ หน้าแดงก่ำเลย ! โทษทีว่ะ กูไม่มาทำงานสองวัน เมียกูไม่สบาย  แพ้ท้อง... ฮ่า ๆ กูจะมีลูกแล้วโว้ย ! ฝากให้สมบัติมาบอกมึงว่า อย่าให้ ผ.อ. ตัดเงินเดือนกูนะ”

          ไอ้สุบรรณมองหน้าผมที่แดงก่ำตาช้ำแฉะ กำลังจ้องมองมันถมึงถึง มันเห็นผมถือสายแนบหูก็รู้ตัวว่าเข้ามาผิดจังหวะ

          “เฮ้ย ชิบหายแล้ว !” เสียงมันสบถอุทานเมื่อเห็นท่าไม่ค่อยดี “ขอโทษ ๆ กูลืมเคาะประตู มึงอย่าเพิ่งฆ่ากูนะ !” มันร้องโวยวาย เปิดประตูเผ่นแน่บออกไป

          “ฮัลโหล !! คุณถือสายอยู่รึเปล่า ผมขอทราบชื่อหน่อยครับ” เสียง พ.ต.ต.โมรา เมืองอุดม พูดกรอกหูผม

          “สมบัติ ตั้งก่อกิจ ครับสารวัตร” ผมบอกชื่อแล้ววางสายลง

 

..................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

                วรรณกรรมออนไลน์