เรื่องสั้น : สวะ : จิตประภัสสร

เรื่องสั้น : สวะ : จิตประภัสสร         

          เป็นบ่ายที่แลหม่นเศร้าเหงาหงอยเรือพายสักลำไม่มีปรากฏ เรือยนต์ที่ไม่ค่อยสัญจรมายิ่งไม่ต้องนึกถึง สองสามวันนี้ สายน้ำขุ่นจนชะโงกลงไปไม่เห็นแม้เงาตน ระดับน้ำขึ้นสูงจนเกือบมิดบันไดไม้ขั้นบนสุดของศาลาเก่าท้ายวัด ผักตบชวาหลายกอปล่อยเรือนร่างอวบสั้นลอยไหลไปตามลำน้ำเชี่ยวเกาะเกี่ยวกลุ่มกันราวแพสีมรกต

          ร่างเล็กแกร็นหัวเกรียนแอบหลบมานั่งประหยัดพลังชีวิตอยู่ใต้ตะแบกต้นใหญ่ริมคลอง สภาพนิลไม่ต่างจากสุนัขป่วยทางใจที่ไม่พร้อมออกแสวงโชคระหว่างวัน หลังแวะยืนเคารพหน้าเจดีย์เก็บอัฐิระหว่างทางที่ผ่านจากหลังวัดมายังลานดินติดลำน้ำ อัฐิของผู้นับถือซึ่งเคยเอ่ยกับหลวงพี่ยอดว่า หากสิ้นลมหายใจวันใดให้สวดศพหล่อนสามวันแล้วเผา เถ้ากระดูกส่วนหนึ่งให้นำไปลอยอังคาร อีกส่วนขอฝากไว้ที่นี่ ทรัพย์สมบัติประดามีให้ขายเอาเงินทั้งหมดเข้าวัด และขอฝากนิลไว้ในความดูแลพร้อมทุนการศึกษาจำนวนหนึ่ง แต่หลวงพี่ยังมิอาจทำตามความต้องการได้ครบทุกประการ

          อาณาบริเวณเสมือนคลองเจดีย์ขนาดย่อม เป็นพื้นที่สงบเงียบอันไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง แต่น้อยนักที่ผู้ไม่เกี่ยวข้องจะปรารถนาย่างกรายมา แม้ท้ายที่สุดทุกร่างย่อมมีจุดสุดท้ายไม่ต่างกัน

 

          “ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่    เหลือไว้แต่ต้นทุนบุญกุศล

          ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน    ร่างของตนเขายังเอาไปเผาไฟ”

 

          ยิ่งนึกถึง นิลก็ยิ่งคิดถึงใครคนนั้น

          ย้อนเดือนปฏิทินกลับไป ภายใต้ตะวันดวงเดิมกับเส้นทางชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม

          แม่ค้าปากไวตวาดไล่เสียงดังราวขยายผ่านโทรโข่งเมื่อนิลพาเนื้อตัวเหมือนเพิ่งเกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นกลางสนามดินไปป้วนเปี้ยนบริเวณที่แกวางอาหารใส่บาตรไว้จำหน่าย เด็กชายนึกอยากบอก“รู้หรอกน่า ว่าควรทำตัวยังไง” แต่หูของแกคงไม่รับฟัง ถึงฟังก็อาจสื่อสารไม่เข้าใจ หากยังคิดแค่จะเสือกไสกัน

          นิลเลี่ยงหลบมาข้างเสาในระยะมองเห็น สีหน้าแม่ค้าสาวเปลี่ยนไวปานงิ้วเปลี่ยนหน้ากาก พร้อมส่งเสียงโทนสองเอ่ยนิมนต์สงฆ์ผู้เพิ่งย่างเท้าถึงให้หยุดรับบาตรที่หน้าแผงค้า สงฆ์หนุ่มก้าวเข้าไปยืนสำรวมนิ่งดั่งเป็นวัตรปฏิบัติ

          ลูกค้าสาวผมยาวสวมเสื้อยืดรัดรูปแขนสั้นกับกางเกงขายาวลายทางเข้าชุดกันนั่งยอง ๆ ลง พร้อมยกจานบรรจุอาหารใส่บาตรจบหน้าผาก นิลมองต่ำยังสองเท้าทาเล็บสีแดงเลือดนกไที่เหยียบบนรองเท้าส้นเตี้ย ถัดไปในลานสายตา สองเท้าของชายวัยลุงที่สวมเสื้อยืดยับย่นกับกางเกงขาก๊วยก็ยืนเหยียบบนรองเท้าแตะหูคีบไม่ต่างกัน นิลเคยบรรพชาเป็นสามเณร คำบอกเล่าบางอย่างจึงผ่านเข้าหู ความเชื่อต่อ ๆ กันมาที่มักต้องถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร นัยว่าจะได้ไม่ยืนสูงกว่าสงฆ์ แต่เมื่อเป็นดังที่เห็นก็ไม่ต่างจากสวมรองเท้าใส่บาตรสักเท่าไร

          ครั้นมองไล่เรียงชุดอาหารที่วางจำหน่าย นิลยืนกลืนน้ำลายลงคอด้วยนึกเวทนากระเพาะตนที่ส่งเสียงเรียกร้อง ข้าวสวยในถ้วยพลาสติกสีฟ้าหม่นแลร่วนซุยเหมือนหุงจากข้าวเสาไห้มากกว่าข้าวหอมมะลิไข่ต้มปอกเปลือกหนึ่งฟองที่ผู้ปากกว้างคงกินหมดในหนึ่งคำ แกงจืดถุงกะทัดรัดที่ผู้หิวจัดอย่างนิลอาจไม่พอในหนึ่งอิ่ม และนมถั่วเหลืองกล่องจิ๋วจัดรวมกันไว้ในหนึ่งจานพร้อมดอกไม้ธูปเทียน นิลอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งซึ่งเคยรับฟังมา ฆราวาสมีทางเลือกให้สงฆ์บ้างนับว่าดียิ่ง มิใช่ต้องมีแต่ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง หรือขนมชั้น ตามความเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมลาภยศให้ผู้ทำบุญ หาไม่แล้วคงเป็นการเพิ่มโรคให้กับเนื้อนาบุญเสียมากกว่า

          ผู้คนที่เร่งรีบไม่ต่างจากหนูถีบจักรแทบไม่ต้องชะเง้อรอ เพียงพุ่งมาที่แผงค้านี้ก็ใส่บาตรรับบุญได้ทันใจ นิลหันขวับทางขวาทันทีที่ยินเสียงบางอย่างกระทบพื้นปูน มองหญิงร่างอวบเดินกระย่องกระแย่งตรงมาลำพัง มือขวานั้นจับด้ามร่มสีแดงต่างไม้เท้าประคองข้อเข่าข้างที่มีผ้ายืดรัดไว้ ผมแสกข้างสั้นเสมอหูถูกความหงอกคุกคามเบ็ดเสร็จ เมื่อใกล้จนแลเห็นผิวหน้าจึงประเมินว่าผมขาวโพลนคงมาก่อนวัยหลายปี

          ถึงหน้าแผงค้า ร่างที่สวมเสื้อลายดอกกับกางเกงแค่เข่าลายเดียวกันก็วางร่มยาวพิงข้างโต๊ะ พยักหน้าทักทายแม่ค้า ถอดรองเท้าแตะแบบสวม ยืนเท้าเปล่าบนพื้นปูน ครั้นยกจานบรรจุอาหารใส่บาตรจบหน้าผาก ริมฝีปากหนาก็เริ่มขมุบขมิบพร้อมปิดเปลือกตา พอลืมตาก็ยกถ้วยบรรจุข้าวเทคว่ำลงบาตรด้วยท่าทางสำรวม ของคาวกับนมกล่องหย่อนใส่ตามติด ปิดท้ายด้วยดอกไม้ธูปเทียนวางบนฝาบาตร สงฆ์หนุ่มให้พรตามที่ญาติโยมปรารถนา หล่อนยืนพนมมือเหมือนรู้งาน หรืออาจเพราะปัญหาข้อเข่าก็ไม่รู้แน่ แต่นิลก็นึกนิยมอยู่ในใจที่หล่อนมิได้นั่งยอง ๆ รับพร  มิเช่นนั้นสงฆ์คงต้องอาบัติทุกกฎ ที่รู้ธรรมเนียมเพราะเด็กชายชอบเรียนรู้ แม้เคยเศร้าหน้าสลดคราวที่ผู้เป็นพ่อไปโหวกเหวกโวยวายให้นิลลาขาดจากชายผ้าเหลือง  

          สงฆ์หนุ่มเดินออกจากที่ตรงนั้นราวกับการใส่บาตรเสร็จสิ้นของหล่อนดุจระฆังสัญญาณ

          นิลรับรู้ภายหลังว่า หลวงพี่ยอดปฏิบัติเช่นนั้นทุกวันเพื่อสงเคราะห์ญาติโยมเช่นป้านภา คนเก่าแก่ในชุมชนก็มิมีใครคิดค้านการยืนรับบาตรอยู่กับที่ของสงฆ์รูปนี้ในช่วงนั้น ด้วยรู้เรื่องราวของลูกชายหล่อนที่เคยบวชร่วมพรรษากับหลวงพี่ยอด  

          สงฆ์หนุ่มสองรูปเคยรับกิจนิมนต์ไปฉันเพลต่างชุมชน แรกทีเดียวมีผู้อาสาจะพายเรือรับส่ง แต่เกิดเหตุบางประการทำให้ทั้งสองรูปต้องช่วยกันพายไปเอง ก่อนที่เรืออีแปะจะพลิกคว่ำตรงโค้งน้ำเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ว่ากันว่าเป็นจุดที่มีน้ำวนและสงฆ์ทั้งสองไม่ชำนาญเส้นทาง พระลูกชายของป้านภา ว่ายน้ำไม่แข็งจึงไม่อาจช่วยเหลือแม้ตัวเอง หลวงพี่ยอดก็แทบเอาตัวไม่รอดเลยมิอาจช่วยชีวิตผู้ร่วมทาง จากวันนั้น หลวงพี่จึงเป็นเสมือนตัวแทนคอยสมานบาดแผลใจจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของหล่อน

          ร่างในจีวรเคลื่อนกายไปลับตา แต่ป้านภายังยืนอยู่จุดเดิม ด้วยบังเอิญหรือชะตาลิขิตมิอาจล่วงรู้ แต่ที่นิลรู้ คือแววตาเอื้ออาทรซึ่งมองมาในวันที่เด็กวัยสิบสามปีขยับกายออกไปแสดงตัว หลังต้องหนีห่างจากครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว 

          หากวันนั้นมีใครเอ่ยถาม “พ่อของเจ้าไม่รักลูกเลยหรืออย่างไร” นิลคงตอบ “พ่ออาจเคยรัก” แต่หลังจากกำพร้าแม่ เด็กชายเริ่มไม่แน่ใจ เมื่อพ่อเอาแต่โทษว่าเขาเป็นต้นเหตุ

          ชายผู้สูญเสียคนรักแบบไม่ตั้งตัวหันไปดื่มเหล้าดับเศร้า จากวันละครั้งค่อย ๆ เขยิบเป็นสามเวลาหลังอาหาร จนกระทั่งพาขวดเหล้ามานอนกกกอดข้ามคืนข้ามวัน โรงหล่อพระที่ทำงานถึงกับเลิกจ้าง เขาจึงเปลี่ยนไปใช้แรงแลกเงินที่โรงงานผลไม้อบแห้งพร้อมเพลาการดื่ม แต่ไม่ถึงเดือนก็กลับสภาพไปเป็นหนุ่มขี้เมา แถมขยันแวะปักหมุดที่บ่อนพนันจนเสียงาน หนี้สินซึ่งกู้ยืมมาเริ่มพัวพันเหมือนงูกินหาง  

          “ลองให้ลูกตัวซวยบวชล้างกรรมดูสิ ชีวิตอาจมีโชคดีหลั่งไหลมาหากับเขาบ้างก็ได้” ใครสักคนชี้ทางปลดหนี้ที่ไม่ต้องลงแรง แม้ทำตาม แต่หากคนเป็นพ่อยังเมาแอ๋เข้าบ่อนทุกวี่วัน จะหวังให้ชีวิตดีขึ้นจากผลบุญได้เช่นไร สามเณรนิลในเวลานั้นยังมองไม่เห็นทาง ยิ่งต้องสูญเงินก้อนจากการเอาโฉนดที่ดินผืนเดียวไปจำนองกับวงผีพนัน ยิ่งทำให้ผู้ร่ำสุราไม่หยุดหย่อนถึงกับฟิวส์ขาด บุกมาด่ากราดลั่นศาลาวัดพร้อมฉุดกระชากลูกชายจากเส้นทางธรรมโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ก่อนนั้นอาจแค่เหม็นขี้หน้า ครั้นนิลสึกออกมากลับพาลเป็นโกรธเกลียดขนาดหายใจยังผิด เด็กชายไม่ต่างจากกระโถนรองรับคำด่า บางเวลาก็เป็นกระสอบทรายระบายอารมณ์ ได้รับความปราณีบ้างตรงยังมีที่ให้ซุกหัวนอน นิลยอมอดทนเพราะไม่อยากอกตัญญู แม้รู้ตัวว่าสักวันอาจไม่ทน

          วันนั้นมาถึงไวกว่าคาด เมื่อผู้เป็นพ่อเลือกผลักไสลูกชายด้วยวิธีเจ็บแปลบถึงดวงจิต นิลนึกอยากแค่นหัวเราะให้ชะตากรรม หลังแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างพ่อกับใครบางคนที่ปรารถนานิลไปสนองความใคร่ เด็กชายจึงคิดหลบหนีด้วยอุบายขอนั่งกินลมชมวิวที่ท้ายรถกระบะเมื่อหนุ่มใหญ่มารับตัวไปช่วยงานช่วงปิดเทอมและแจ้งว่าจะให้ค่าจ้างอย่างงาม ก่อนหาจังหวะกระโดดลงพงหญ้าข้างทางระหว่างรถมุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่แล้ววิ่งไม่เหลียวหลังอย่างไร้จุดหมาย จะบอกกล่าวเล่าความกับใครก็ไม่กล้า เกรงว่าจะประจานพ่อตัวเอง

          เด็กชายก้มมองเนื้อตัวเปรอะเปื้อนที่ปล่อยตนนอนคุดคู้อยู่ใต้ต้นไม้ริมทางในคืนไร้บ้านที่ผ่านมา ต้องปันเลือดในกายให้ฝูงยุงอิ่มหมีพีมันอย่างไม่จำยอม นึกสงสารตัวเองบ้างคงไม่มีใครว่า เสียงท้องร้องดังถึงขั้นฎีกาว่าไม่มีอะไรแตะลิ้นมาตั้งแต่เที่ยงวาน เงินติดตัว พ่อก็ริบไปไม่เหลือสักสตางค์ หาได้แค่น้ำก้นขวดอันไร้ค่าของคนอิ่มที่เสมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายมายังชีพน้อยของคนอดเท่านั้น

          คล้ายป้านภาจะล่วงรู้ในท่าที “ชีวิตที่ไม่เคยอดมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าความหิวมันทรมานแค่ไหน” เด็กชายรู้สึกจุกลึก ๆ อยู่ในอกเมื่อหวนนึกถึง จริงเสียยิ่งกว่าจริง คนไม่เคยสัมผัสย่อมไม่มีวันรู้สึก ไข่ต้มฟองแรกที่เจ้าของร่มสีแดงหยิบยื่นให้ด้วยแววตากรุณา อร่อยล้ำเลิศยิ่งกว่าอาหารใด ๆ ก็ด้วยรสเมตตา

          สองชีวิตก่อผสานสายใยด้วยประสบการณ์ร่วมที่เกี่ยวพันระหว่าง สายน้ำ ความเป็น และความตาย  เรือนจิตหลังนั้นอวบอ้วนด้วยน้ำใจไม่แพ้ความเจ้าเนื้อในเรือนกาย  นิลได้อาศัยร่มไม้ชายคาไม่ต่างจากกาตัวน้อยที่บินหลงมาพบรังใหม่ของนกอีกสายพันธุ์ซึ่งแบ่งปันให้ที่พักพิง อิ่มกายไม่เท่าอิ่มใจ เด็กชายเรียกหล่อนว่าแม่คนที่สองได้เต็มปาก และยินดีบอกเล่าความเป็นมา

          หล่อนเคยบอก “อยู่ด้วยกันได้เท่าที่ใจปรารถนา แต่จงอภัยให้ผู้เป็นพ่อ”  

          นิลพยักหน้ารับคำ อภัยได้ แต่ยังไม่ขอหวนคืน

          จู่ ๆ เหมือนฟ้าวันฝนพร่างกลั่นแกล้งฟาดเส้นสายลงมาทำลายต้นไม้แห่งความสุขที่เพิ่งหยั่งรากจนย่อยยับ

          แววตาเอื้ออารีคู่นั้น ไม่มีวันที่เด็กชายจะได้เห็นอีกแล้ว

          ยามนี้ให้ใจเต้นคลับคล้ายว่าหล่อนกลับมาให้เห็น มายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าพร้อมร่มสีแดง แต่ชั่วสายลมหวีดหวิวสั่นสะท้านจนต้องยกสองมือกอดอก ร่างที่ปรากฏกลับพร่าเลือนเหมือนไอน้ำค่อย ๆ ระเหยหายไปในชั้นบรรยากาศ

          ว่างเปล่าอีกครั้ง ว่างเปล่า

          เหลียวมองฉากที่ธรรมชาติสรรสร้าง สายน้ำไหลผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนดั่งนักปรัชญาคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ นิลจดจำได้จากหนังสือในกุฏิของหลวงพี่ที่เพิ่งหยิบมาอ่านไม่นานนี้ เราไม่อาจก้าวลงไปในแม่น้ำสายเดียวกันได้สองครั้ง กระแสลมที่พัดไกวใบไม้ให้เริงระบำคงไม่ต่างกัน ไม่ว่าสายลมนั้นจะล่องลอยมาจากทิศทางใด สรรพสิ่งล้วนเลื่อนไหลตลอดเวลา

          “แย่แล้ว !”  คำพูดของนิลดั่งเสียงเงียบที่ไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวเองเท่านั้นที่รู้สึก   

          เด็กชายวิ่งสุดกำลัง ก่อนกระโจนไปดึงรั้งชายกระโปรงฟูฟ่องสีเหลืองอ่อนของชีวิตที่ซอยเท้ามุ่งสู่สายน้ำเบื้องหน้า ร่างไร้เดียงสาเสียหลักหงายหลังล้มลงบนพื้นไม้ของศาลาหลังเก่า เด็กหญิงตัวกลมร้องไห้จ้า คงเจ็บกาย ตกใจ และหวาดกลัวระคนกัน นิลก้าวไปยืนสกัดหน้าทางขึ้นลงบันได จ้องผู้อายุน้อยกว่าหลายปีไม่วางตา ร่างนั้นขยับหนีโดยไม่ทันลุกขึ้น และปล่อยโฮมากกว่าเก่า นิลรีบเข้าไปยืนคร่อม ก้มลงจับไหล่เล็กสองข้างเขย่าเรียกสติ แต่ผลที่ได้กลับไม่ต่างจากชูภาพจุดสีดำกลางวงกลมให้คนตรงหน้าดูแล้วบอกว่าอย่ามองมาที่จุดสีดำ สำรวจจากเครื่องแต่งกาย เด็กหญิงไม่น่าไร้หลักพักพิงเช่นนิล แต่พ่อแม่หายไปไหน ญาติพี่น้องล่ะมีบ้างไหม คนรอบกายมัวทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงปล่อยน้องน้อยหน้าจิ้มลิ้มหลุดพ้นสายตามาลำพังจนเกือบกลายเป็นโศกนาฏกรรมแห่งลำน้ำ

          ทันทีที่นิลคิดส่งเสียงร้องว่าที่ท่าน้ำมีเหตุการณ์ไม่ปกติ ชายร่างโย่งผู้แต่งกายด้วยเชิ้ตแขนยาวสีเขียวไข่กาแปลกตาจากชาวบ้านร้านถิ่นก็วิ่งพรวดโผล่มาทางลานดินด้านข้าง “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ! ไอ้เศษสวะ เอ็งจะทำอะไรลูกข้า” เสียงตวาดลั่นประหนึ่งนิลแหกกฎหนีจากนรกขึ้นมาทำชั่วบนโลกมนุษย์

          ชายคนนั้นอาจต้องการปกป้องดวงชีวันอันเป็นสุดที่รัก นิลพอจะเข้าใจ แต่นิลล่ะ

          เด็กชายผิวคล้ำกับเสื้อผ้าสีมอที่ใคร ๆ มักมองว่าไร้ราศี หากถูกตีตราด้วยความไม่น่าไว้วางใจอาจไม่แปลก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถูกตัดสินและกระทำเยี่ยงไรก็ได้มิใช่หรือ

          เด็กชายจำได้แม่น เมื่อวานชายสูงวัยเพิ่งมาถวายเพลให้หลวงพี่ยอดเป็นครั้งแรก แต่เด็กน้อยไม่ได้มากับเขา นิลยังได้ยินบทสนทนาบางช่วงจากความไม่ตั้งใจ แต่แอบฟังต่อจากนั้น นิลตั้งใจ

          ข้อมูลที่เข้าใจว่าหล่อนของนิลเป็นสาวโสดไร้ญาติขาดมิตร แท้จริงยังมีชายคนนี้เป็นพี่ชายต่างมารดาและเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ เงินทองที่ป้านภาทิ้งไว้แม้ไม่มากมาย แต่โฉนดที่ดินในกรุสมบัติหาได้น้อยตาม ผู้ไม่เคยให้ค่าในห้วงเวลาที่หล่อนหายใจไยเสนอหน้ามาในเวลาที่โรคหัวใจพรากหล่อนไปอย่างไม่หวนกลับ เขามาเพื่อคัดค้านการยกสมบัติทั้งหมดให้วัดตามคำสั่งเสียปากเปล่า อ้างว่าหลวงพี่ยอดไม่อาจใช้เป็นหลักฐานอันชอบธรรม

          “เลือกกองกฐินเข้าวัด น่าจะดีกว่าไม่ได้อะไรเลยนะหลวงน้อง” ชายแปลกหน้าบอกด้วยสีหน้าท้าทาย วางมาดว่ามีตำแหน่งเป็นถึงมรรคนายกวัดหลวงในจังหวัดใหญ่ รับรองมั่นเหมาะด้วยวาจาโฉ่งฉ่างว่าสามารถชักชวนผู้คนมาร่วมบุญกฐินได้มากโขแน่ ๆ แต่จะไม่ยินยอมปล่อยให้วัดได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดไป   

          คนบางคน ใกล้พระใช่ว่าจะใกล้ธรรม

          เสียงน้ำแตกกระจาย ร่างเล็กแกร็นจมลงแล้วทะลึ่งพรวดขึ้นมาตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด หลังถูกถีบแบบไม่ตั้งตัวจากผู้ที่ตั้งใจ  นิลพยายามตะเกียกตะกาย ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ท่ามกลางกระแสน้ำไหลแรงซึ่งพัดพาร่างห่างฝั่งออกไปทุกที น้ำทะลักเข้าปากเข้าจมูกจนแทบขาดใจ  

          นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องยื้อชีวิตกับสายน้ำ สะท้านสะเทือนใจทุกครั้งยามภาพจำในอดีตหวนคืน แม่ไปอยู่ไกลถึงสวรรค์แล้วคงไม่ได้ลงมาหานิลบ่อย ๆ เหมือนปีแรกที่พรากจากกัน เด็กชายไม่ปรารถนาให้ใครเอาลมหายใจมาต่อลมหายใจตนเหมือนที่แม่เคยทำอีกแล้ว

          ท้องน้ำอาจหมายหัวนิลไว้ด้วยกรรมแต่ปางก่อนตามความเชื่อเฉพาะตน ชีวิตถึงได้ถูกพิพากษาความตายเยี่ยงนี้ อีกไม่กี่อึดใจคงไร้แรง อีกไม่กี่นาทีคงไร้วิญญาณ และอีกไม่กี่วันศพคงลอยอืด อาจไปติดค้างเติ่งอยู่ในกอสวะสักแห่งกลางลำน้ำ

          สายตาพร่าพรายคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ร่างอ่อนล้าเริ่มดิ่งลงสู่ท้องน้ำอย่างไม่อาจขัดขืน แต่ยังไม่ทันที่ภาพทรงจำจะพรั่งพรูดั่งเคยรับรู้จากฉากในละคร กลับรู้สึกเสมือนมีมือจากร่างสว่างไสวยื่นมากระชากเครื่องรางแห่งความโชคร้ายออกจากคอ

          หลังคืนสติ เด็กชายพบอีกหนึ่งชีวิตนอนแผ่หลาหายใจหอบเคียงกันอยู่ข้างพงหญ้าริมฝั่งน้ำ ต่างคนต่างเหนื่อยล้าไม่ต่างจากสหายร่วมรบที่เพิ่งวิ่งฝ่าดงระเบิดมาด้วยกัน

          “แม้ไม่มีใครรู้ไม่เป็นไร เพียงเรารู้ว่าทำอะไรอยู่ก็พอ” คำพูดของคนข้างกายดุจแสงฉายลงสู่ห้วงใจอันโรยแรง

          นิลมองฟ้าหม่นด้วยดวงใจสว่าง

          ร่างหนุ่มหันมาสะกิดคล้ายแรงกำลังเริ่มหวนคืน พลางส่งยิ้มชวนเชิญให้ลุกขึ้น ก่อนที่สองเท้าอันเปล่าเปลือยจะเดินนำไปด้วยท่าทางสำรวม ศีรษะนั้นแทบไร้เส้นผมปกคลุม น้ำที่อุ้มอยู่ในเนื้อผ้าสีเหลืองทองหยดตามรอยทางที่ย่างเหยียบ นิลก้าวตามหลังหลวงพี่ยอดไปด้วยหัวใจอิ่มเอม ลานสายตาเริ่มปรากฏเม็ดฝนโปรยปราย  แต่เด็กชายกลับรู้สึกว่าสายฝนไม่ได้ตกต้องผิวกายแม้แต่น้อย แหงนมองผืนฟ้าอีกคราก็คลับคล้ายว่ามีร่มสีแดงคันใหญ่เกินจริงลอยกางกั้นสองชีวิตไว้ไม่ให้เปียกปอนกว่าที่เป็น

          นิลยิ้มให้ตัวเอง ก่อนละสายตามองกลับที่ลำน้ำเชี่ยว สวะกอเล็กยังลอยไหลเหนือผิวน้ำและเชิดใบท้าทายเม็ดฝนอย่างทระนง

 

.............................................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์