เรื่องสั้น : ภาพสะท้อนของดวงจันทร์ : ธรรมรัฐ พุแค

เรื่องสั้น : ภาพสะท้อนของดวงจันทร์ : ธรรมรัฐ พุแค

 

            “สวยจัง” พิม หญิงสาวหน้าตาดีพึมพำออกมาเบา ๆ เธอพูดกับตัวเองระหว่างที่เธอยืนรอเรือข้ามฝากเธอมองภาพสะท้อนของดวงจันทร์บนแม่น้ำสายหลัก ภาพสะท้อนนั้นเคลื่อนไหวไปมาไปตามแรงคลื่นที่เกิดจากเรือที่แล่นผ่านแล้วทำให้น้ำกระเพื่อมแรงบ้างเบาบ้างไม่ซ้ำกัน เธอสังเกตเห็นว่าภาพสะท้อนนั้นไม่เหมือนกันทุกคืน รวมทั้งคืนนี้เมื่อเธอได้ขยับเปลี่ยนที่ยืน ภาพสะท้อนของดวงจันทร์ก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยทุกครั้ง

            ระหว่างนั้นมีเรือสำราญลำใหญ่ติดไฟแสงสีฉูดฉาดแล่นผ่านมา บนเรือเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวเสียงดนตรีดังจากบนเรือทำลายความสงบในบริเวณนั้น คนบนเรือสำราญหยิบกล้องหรือโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป บางคนหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นโชว์แล้วแกว่งไปมา มีหลายคนที่โบกมือมายังคนที่ยืนอยู่ริมฝั่งและท่าเรือ

            เธอสงสัยว่าต้องใช้เงินเท่าไรถึงจะขึ้นไปกินอาหารบนเรือสำราญแบบนี้ได้ เธอคิดต่อไปว่าถ้ามีโอกาสขึ้นไปบนเรือสำราญแล้วเธอจะทำอะไร จะถ่ายรูปไปตลอดทางหรือจะต้องโบกมือทักทายคนที่อยู่ริมแม่น้ำ สุดท้ายเธอขจัดความคิดเรื่องนี้ออกไปด้วยการเตือนสติตนเองว่า เรือสำราญแบบนี้มีไว้ให้นักท่องเที่ยว สำหรับเธอคือเรือข้ามฟากที่เก็บค่าโดยสารครั้งละ 3 บาท เธอเลือกการเดินทางแบบนี้เพราะทำให้เธอถึงบ้านได้เร็วขึ้นและประหยัดกว่าการเดินทางโดยรถเมล์หรือรถเมล์ปรับอากาศ บ้านของเธออยู่บนเส้นทางของรถไฟฟ้า แต่เธอจะใช้รถไฟฟ้าเฉพาะช่วงเช้าที่ต้องรีบเร่งไปทำงานให้ทันเวลา ช่วงเย็นต้องลดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้รถเมล์และเรือข้ามฟากและต่อด้วยรถสองแถว ค่ารถ 3 ต่อในช่วงเย็นมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าค่ารถไฟฟ้า 2 ต่อในช่วงเช้า และถ้าจะใช้รถไฟฟ้าในช่วงกลับบ้านตอนเย็นอีก 2 ต่อ มันเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไป

            “สวัสดีค่ะ” ลูกสาววิ่งมายกมือไหว้สวัสดีเมื่อเธอกลับถึงบ้าน

            “กินข้าวแล้วยัง วันนี้แม่ทำโอที แม่มาถึงท่าน้ำก็ค่ำมืดแล้ว” เธอถามลูกสาว ไม่อยากให้รอกินข้าวเพราะเธอกลับถึงบ้านช้า

            “กินแล้ววันนี้ป้าแพรวพาไปเดินตลาดตรงท่าเรือเลยกินข้าวที่ตลาดแล้วซื้อมาให้แม่ด้วย ทำไมแม่ไม่นั่งรถไฟฟ้ากลับมาจะได้กลับถึงบ้านเร็วกว่านี้” ลูกสาวถามด้วยความเป็นห่วงปนสงสัย

            “แม่ไม่อยากเดินขึ้นบันไดเหมือนเดินขึ้นตึกลงตึก 5 ชั้น จะขึ้นลิฟท์หรือบันไดเลื่อนก็ต้องอ้อมไปอีกทาง” เธอไม่พูดเหตุผลที่ต้องประหยัดให้ลูกสาวฟัง จึงอ้างว่าบันไดรถไฟฟ้าขึ้นยาก

            พิมพยายามมองโลกในแง่ดีเสมออย่างบ้านที่อยู่ทุกวันนี้เป็นสมบัติที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ไม่ต้องเช่าไม่ต้องผ่อนเหมือนคนอื่น ๆ หรือเพื่อนร่วมงาน เธอเติบโตในบ้านหลังนี้ก่อนจะย้ายออกไปอยู่กับสามีเมื่อ 12 ปีที่แล้ว และกลับเข้ามาอยู่อีกครั้งเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว พี่สาวที่ครองตัวเป็นโสดยังต้อนรับเธอกลับบ้าน เธอบอกกับตัวเองว่าโชคดีที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกคนเดียว เพราะถ้ายังคงใช้ชีวิตร่วมกับสามีเจ้าชู้ของเธอต่อไป เธออาจจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูก 2 หรือ 3 คน ชีวิตของเธอคงยากลำบากกว่านี้

            ช่วงที่เธอย้ายออกไปอยู่กับสามีนั้น เธอกลับมาเยี่ยมพ่อแม่กับพี่สาวในบางโอกาสตามเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ วันคล้ายวันเกิดพ่อแม่ เธอได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในละแวกนั้นบ้างแล้วแต่ไม่ได้สนใจ ความเปลี่ยนแปลงค่อย ๆ คืบคลานเข้าใกล้ไปยังบ้านพ่อแม่

            “เขาจะไล่ซื้อที่ดินมาถึงแถวบ้านเราไหม” พิมเคยถามพี่สาวเมื่อหลายปีก่อนที่มาเยี่ยมพ่อแม่

            “ไม่มีข่าวว่ามีใครมาเสนอซื้อที่นะ แต่ตึกแถวทั้งแถบอาจจะโดน” พี่สาวเล่าให้เธอฟัง

            บนถนนเส้นทางที่จะไปยังบ้านของเธอมีคอนโดมีเนียมผุดสร้างขึ้นหลายแห่ง จนถึงวันนี้ตึกแถวสองชั้นใกล้บ้านเธอถูกซื้อแบบยกแผงไปตลอดแนวถูกล้อมรั้วด้วยสังกะสีแล้วติดป้ายห้ามบุกรุก ยังไม่แน่ชัดว่านายทุนที่ซื้อตึกแถวและที่ดินไปแล้วนั้นจะสร้างอะไรขึ้นมาทดแทน อาจจะเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ช้อปปิ้งมอลล์ คอนโดมิเนียม แต่การซื้อที่ดินและตึกแถวยกแผงแบบนี้ทำให้ความเป็นชุมชนในละแวกนี้หายไปหมดสิ้น คนที่เคยรู้จักเหลืออยู่ไม่กี่คน ตลาดหลังตึกแถวหายไปทั้งหมด เพื่อนที่เป็นลูกคนจีนจะมีร้านค้าขายของอยู่ที่ตึกแถวหลังเลิกเรียนจะเดินกลับบ้านพร้อมกัน เด็ก ๆ จะกระโดดเชือกบนทางเดิน ช่วงค่ำ ๆ คนหนุ่มคนสาวจะออกมากินอาหารหรือน้ำแข็งใสที่ตึกแถว คนแก่ก็จะนั่งคุยกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 2 - 3 คน เล่นหมากรุกบ้าง หมากฮอสบ้าง แต่วันนี้สภาพความเป็นชุมชนที่เคยเห็นไม่เหลืออีกแล้ว ทำให้เธอตามหาเพื่อน ๆ สมัยเด็กไม่เจอ เพราะทุกคนต้องแยกย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ ถ้าสร้างใหม่ให้เป็นคอนโดมิเนียมคนที่เข้าไปอยู่คือคนต่างถิ่นที่มาจากที่อื่นต่างคนต่างมา อาจจะเป็นคนหนุ่มสาวที่กำลังสร้างตัว อาจจะเป็นนักศึกษาที่พ่อแม่มีเงินเช่าห้องให้ลูกระหว่างที่กำลังเรียนเพื่อให้เดินทางใกล้กับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย  บางวันเธอคิดเสียดายสภาพความเป็นชุมชนที่หายไปและคงไม่สามารถนำกลับคืนมาได้ แต่บางวันเธอกลับคิดว่าทำไมนายทุนไม่ซื้อที่ดินเลยมาถึงบ้านของเธอ เผื่อว่าเธอกับพี่สาวจะได้เงินก้อนเป็นทุนย้ายไปอยู่ที่อื่นบ้าง

            พิมใช้ชีวิตติดโปรฯ ไม่ใช่โปรเฟสชันแนล แต่เป็นโปรโมชัน วันใดที่ร้านไอศครีมยี่ห้อดังมีโปรโมชัน ซื้อ 1 แถม 1 หรือถ้วยที่สองลดเหลือ 1 บาท เธอจะพาลูกสาวไปต่อคิวรอเข้าร้าน เธอจะรอโปรฯ พิซซ่าถาดละ 129 หรือ ซื้อ 1 แถม 1 อย่างน้อยก็ให้ลูกได้กินเหมือนคนอื่นบ้าง เธอสมัครเป็นสมาชิกของร้านค้าทุกยี่ห้อทุกแบรนด์ เพื่อรอรับสแตมป์สะสม หรือคูปองแล้วแต่ว่าแบรนด์ใดจะแจกให้ เพื่อใช้สิทธิสมาชิกซื้อของใช้สอยภายในบ้านได้ถูกลงหรือแลกของฟรีมาใช้โดยไม่ยึดติดว่าจะเป็นสินค้ายี่ห้อใดแค่มันใช้ซักผ้าได้หรือล้างจานได้เธอก็จะแลกมาใช้ด้วยราคาที่ถูกกว่า คืนนี้เธอยืนบนระเบียงชั้นสองของบ้านมองดูดวงจันทร์สาดแสงสีนวลไปยังหลังคาบ้านอื่น บ้านของเธอไม่ได้อยู่ริมแม่น้ำจึงไม่มีภาพสะท้อนของดวงจันทร์ แต่สีนวล ๆ แบบนี้ก็ทำให้มีความรู้สึกสงบได้เป็นอย่างดี ฟีดข่าวบนโทรศัพท์มือถือ ทำให้เธอพูดคุยหยอกล้อกับลูกสาว

            “พลอยไปเป็นเด็กต่างด้าวสักพักแล้วค่อยกลับมาหาแม่ดีไหม”

            “ยังไงนะแม่” ลูกสาวทำเสียงสงสัย

            “ข่าวในมือถือมีแต่คนเรียกร้องสิทธิให้คนต่างด้าว อยากให้มีมนุษยธรรมกับคนต่างด้าว แม่อยากขอให้คนพวกนี้เหลือมนุษยธรรมกับสิทธิให้เราบ้างเถอะนะ อย่าเอาไปใช้กับคนต่างด้าวจนหมด”

            “วันนี้แม่เหนื่อยไหม” ลูกสาวแสดงความเป็นห่วง

            “แม่ล้อเล่นแต่แม่ก็พูดจริงนะ หนูมีความช่วยเหลือเดียว คือ ความช่วยเหลือจากครอบครัวที่มีแม่กับป้า แต่เด็กต่างด้าวเขาได้รับความช่วยเหลือแบบซ้ำซ้อนมากล้นจนเหลือเฟือ ที่อยู่อาศัย การศึกษา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ได้จากมูลนิธิ องค์กร มีสารพัดความช่วยเหลือ”

            พลอยเดินเข้ามากอดแม่แล้วพูดว่า “แม่พรุ่งนี้หนูรอแม่ที่สถานีรถไฟฟ้านะ พรุ่งนี้ไอศครีมถ้วยที่ 2 ลดเหลือ 1 บาท หรือ กินไก่ทอด หนูมีคูปองลดราคาไก่ทอดด้วยนะ ซื้อพร้อมเครื่องดื่มได้”

            “โอเค...” เธอตอบ แต่เด็กก็คือเด็กยังคงบริสุทธิ์ไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูด  เธอมองลูกสาวด้วยความเอ็นดู วิธีใช้ชีวิตติดโปรฯของเธอได้ถ่ายทอดไปยังลูกสาวแล้ว เพราะเด็กสาวอาจจะมองดูสิ่งที่แม่ทำบ่อย ๆ เช่น การเก็บคูปองลดราคา แล้วทำตาม

            พิมตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าอยากให้ลูกเรียนในโรงเรียนธรรมดาที่การแข่งขันไม่มาก ไม่ต้องแข่งขันกับลูกบ้านอื่น ไม่ต้องแข่งขันเรื่องเสื้อผ้าหรือของใช้ดี ๆ กับใคร เพื่อนบ้านบางคนส่งลูกเรียนในโรงเรียนนานาชาติ บางคนส่งลูกไปเรียนหลักสูตรสองภาษา เธอส่งให้ลูกเรียนแบบนั้นไม่ได้ แต่เธอพยายามเก็บเงินเพื่อให้ลูกสมัครเข้าเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษระยะสั้น ๆ เพิ่มเติมอยู่เป็นประจำ แทนการไปเรียนในโรงเรียนนานาชาติ 

            งานที่เธอทำอยู่เวลานี้ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิปริญญาตรีตามที่เธอเรียนจบมา ทำให้ได้รับเงินเดือนน้อยแต่ยังมีงานล่วงเวลาหรือเงินโอทีอยู่บ้าง เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่อายุเกิน 30 ปี ตัวเลข 30 คือกำแพงขวางกั้นเธอไว้ เมื่อได้เห็นประกาศรับสมัครงานหลายแห่งไม่รับคนอายุเกิน 30 เป็นเงื่อนไขที่ทำให้เธอท้อถอย  ความกระตือรือล้นที่อยากจะก้าวหน้าค่อย ๆ หมดไป  แต่ความต้องการให้มีความมั่นคงในชีวิตให้กับลูกมีมากขึ้น เธอจึงหวงแหนงานที่ทำอยู่ อายุ 30 ชีวิตเธอหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่เหมือนเงาของดวงจันทร์ที่สะท้อนน้ำเวลาโดนเคลื่อน วันนี้ระหว่างช่วงพักกลางวันเธอได้ยินพนักงานฝ่ายบุคคลคุยกันว่า มีตำแหน่งระดับผู้ช่วยว่างอยู่ 3 แผนก จะประกาศรับสมัครเป็นการภายในเพราะผู้บริหารตรวจสอบประวัติแล้วเห็นว่ามีพนักงานจำนวนมากที่เรียนจบปริญญาตรี จึงอยากให้โอกาสได้เข้าสอบสัมภาษณ์ร่วมกับบุคคลภายนอกเป็นข่าวดีในรอบหลาย ๆ ปีที่เธอได้ยิน เพียงแค่ได้รู้ข่าวนี้ชีวิตเธอเหมือนมีความหวังเป็นโอกาสที่เธอจะได้เปลี่ยนที่ยืน ทุกคนไม่ว่าจะเก่งจะดีอย่างไรก็ต้องรอโอกาสกันทั้งนั้น วันที่เธอรอคอยมาถึงคือวันที่เข้าไปสัมภาษณ์งานกับผู้บริหาร

            “ไม่เคยเห็นคุณเลยนะ” กรรมการสัมภาษณ์คนแรกพูดกับเธอ

            “เราไม่ค่อยเห็นหน้าคนฝ่ายผลิตหรือฝ่ายบรรจุภัณฑ์ เพราะต้องใส่ชุดมิดชิดกับหมวกและหน้ากาก” กรรมการสัมภาษณ์อีกคนพูดเสริม

            “ไม่เคยลาหยุด ทำโอที และทำโอทีแทนเพื่อนด้วย ทางบ้านไม่มีห่วงให้ต้องรีบกลับบ้านหรือครับ” กรรมการสัมภาษณ์ถาม

            “มีค่ะ มีลูกสาว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และเพราะมีห่วงจึงต้องรีบทำงานเก็บเงินเพื่อให้มีรายได้มั่นคงสำหรับลูกสาว” เธอตอบตามความจริง  เธอเข้ารับการสัมภาษณ์ประมาณหนึ่งชั่วโมง ถูกถามหลายเรื่อง และได้ทำแบบทดสอบเชิงจิตวิทยาอีกด้วย กรรมการสัมภาษณ์ได้กล่าวว่า

            “บริษัทจะไม่พิจารณาใครจากชีวิตส่วนตัวของคนที่มาสัมภาษณ์ แต่ประวัติการทำงาน ทัศนคติ กับความคิดเห็นของหัวหน้างานจะเป็นข้อมูลให้กรรมการตัดสินใจเลือกคุณหรือไม่”  

            ภายหลังเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์เธอไม่กังวล ไม่มีความเครียด เพราะเมื่อเรียนจบใหม่ ๆ เธอผ่านการสัมภาษณ์งานมาหลายครั้งแล้ว แต่เธอทำงานได้ไม่กี่ปีสามีขอให้เธอออกมาดูแลลูก สุดท้ายต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวออกมาหางานทำ เธอยืนรอเรือข้ามฝาก คิดถึงการเข้าสัมภาษณ์งาน รู้สึกสนุกและตื่นเต้นที่ได้ทำบางสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง แตกต่างกับวันอื่น ๆ ที่ไปทำงานปกติ วันนี้เหมือนชีวิตได้ขยับเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในแม่น้ำที่โดนแรงกระเพื่อมของคลื่น เธอได้รับโอกาส เธอมีความหวัง และไม่กลัวที่จะผิดหวัง ชีวิตคนเราขอเพียงมีโอกาสบ้าง แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะไม่โทษใคร

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ลูกสาวโทรมาตาม “แม่มาถึงไหนแล้วคะ”

            “วันนี้กลับบ้านช้าหน่อยนะ หนูกินข้าวแล้วยัง”

            “กินแล้ว แม่ทำโอทีเหรอคะ หนูรอแม่มานะคะ”

            “ไม่เป็นไร ไปดูทีวีเป็นเพื่อนป้า วันนี้แม่กลับช้าหน่อย”

            “ค่ะ”

            ค่ำคืนนี้เธอแค่อยากใช้เวลาบนท่าเรือให้นาน ๆ จึงบอกลูกสาวว่าจะกลับบ้านช้ากว่าวันอื่น เธอได้เห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่ในคืนข้างขึ้น เธออยากเห็นผู้คนเดินไปมา อยากเห็นชีวิตคนอื่นบ้าง เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยมองดูคนอื่นที่เดินหรือยืนอยู่รอบข้างตัวเธอหรือคนในร้านอาหารที่เธอต้องเดินผ่าน เธอก้มหน้าก้มตาเดินเร็ว ๆ เพื่อรีบไปต่อรถต่อเรือเพื่อกลับบ้าน วันนี้เธอหยุดมองดูคนอื่น เธอเห็นหลายคนรีบเร่งเมื่อเห็นเรือลอยอยู่กลางแม่น้ำได้ขยับใกล้เข้ามาทุกคนเตรียมตัวเพื่อลงเรือ

            ระหว่างอยู่บนเรือข้ามฟากเธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเพื่อถ่ายรูปผู้คนที่ยืนบนท่าเรือ ยกแก้วชาดำเย็นแก้วละ 25 บาทขึ้นดื่ม เธอคิดว่ามันคงไม่ต่างไปจากรูปที่ถ่ายบนเรือสำราญและรสชาติของชาดำเย็นก็คงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เมื่อมองไปรอบตัวเห็นชายหญิงที่นั่งเก้าอี้ถัดไปหยิบลูกชิ้นทอดในถ้วยโฟมขึ้นมากิน พวกเขายิ้มและคุยกันท่าทางมีความสุขได้โดยไม่ต้องไปนั่งกินบนเรือสำราญ ทิศทางของเรือข้ามฝากกำลังเคลื่อนที่ไปยังท่าเรืออีกฝั่งของแม่น้ำ ขณะนั้นภาพสะท้อนของดวงจันทร์บนแม่น้ำค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างไปตามแรงคลื่น

            พิมพึมพำออกมาเบา ๆ ว่า “สวยจัง”

 

...........................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

                  “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

                   วรรณกรรมออนไลน์