เรื่องสั้น : ดาบหรือหอก : กนกศักดิ์ เรือนทอง

เรื่องสั้น : ดาบหรือหอก : กนกศักดิ์ เรือนทอง

 

           “ดาบหรือหอก” เสียงหนึ่งถาม

           “ไม่ทั้งสองอย่าง” ข้าปฏิเสธ ไม่เหลือบมองอาวุธที่ถูกเสนอแม้เพียงนิด ก่อนจะเดินเข้าสู่สนามประลอง

           ช่องทางสู่สนามประลองสูงราวสามเมตร ประตูเหล็กถูกดึงขึ้นด้านบน ข้าเดินพ้นประตู หยุดยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งให้ผู้ชมมองข้าให้เต็มตา เสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งไม่ส่งผลอะไรกับข้า ข้าเห็นฝุ่นที่เต้นเร่า ๆ อยู่กลางอากาศเพราะคลื่นเสียงอัดกระแทก ข้าถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะยกหลังมือขึ้นเช็ดเม็ดน้ำลายที่เปื้อนเครา

           ข้ามาถึงสนามประลองก่อนอารากอน มันเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูอีกฝั่งตอนผู้ชมเหน็ดเหนื่อยจากการโห่ร้องใส่ข้า แต่เมื่อมันปรากฏกายออกมา ผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยจากการโห่ร้องเมื่อครู่ก็บ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง

           อารากอนจ้องเขม็งมายังข้า ดวงตาของมันสบกับดวงตาของข้า มันไม่มองผู้คนนับพันที่นั่งบ้างยืนบ้างอยู่บนอัฒจรรย์ที่ล้อมรอบเราเป็นวงกลม ราวกับคนพวกนั้นไม่มีค่าพอให้มันเหลือบแล มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่ควรค่ากับมัน

           เสียงเป่าเขาสัตว์ดังลากยาว นาฬิกาทรายถูกพลิกกลับ เม็ดทรายเม็ดแรกหลุดจากกระเปาะบนกระทบก้นกระเปาะล่าง ข้าและอารากอนคำรามก้อง พุ่งเข้าใส่กัน อารากอนปล่อยหมัดที่ใหญ่พอๆ กับศีรษะใส่ข้า ข้าหลบ มันหมุนตัวอย่างรวดเร็ว สะบัดขาใส่ข้า ข้าตั้งขาขึ้นต้าน ปล่อยหมัดใส่มันบ้าง มันไม่พลาดท่า

           ฝูงชมส่งเสียงอย่างบ้าระห่ำ ฝุ่นในสนามฟุ้งตลบ ข้าและอารากอนต่างห้ำหั่นกัน หวังกระชากลมหายใจของอีกฝ่าย เลือดหยดแรกหล่นลงพื้น หยดที่สองตามมา และอีกหลายหยด ดวงอาทิตย์ถูกลากจากฟ้าด้านทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ฝูงชนยังไม่หมดแรงจะคำราม อารากอนยังกระหายลมหายใจของข้า ข้ากระหายลมหายใจของมันมากกว่า และฝูงชนกระหายลมหายใจของใครสักคนระหว่างข้าและอารากอนมากที่สุด

           เสียงเป่าเขาสัตว์ดังสั้น ๆ สามครั้ง หลังจากนั้นมีเสียงสิ่งของหล่นกระทบพื้นสนามหลายครั้ง ใครหลายคนโยนอาวุธลงมา ข้าและอารากอนไม่มีผู้ใดปรายตามอง

           “ดาบหรือหอก” ข้าถาม

           “ไม่ทั้งสองอย่าง” มันตอบ

           “การตัดสินใจที่โง่เขลาที่สุดที่ข้าเคยได้ยิน” ข้าหยาม

           มันแสยะยิ้มแทนคำตอบ

           ทรายเม็ดสุดท้ายจากกระเปาะบนหล่นลงมาสบทบกับทรายเม็ดอื่น ๆ ที่เคยอยู่บนกระเปาะบนเช่นกัน เสียงเป่าเขาสัตว์ดังลากยาวอีกหน ฝูงชนแข่งกันคำราม

           ไม่มีลมหายใจของใครหยุดลง

 

           ข้านั่งอยู่ในโรงเหล้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง อิสระช่วงสั้น ๆ ที่ข้าจะได้รับในคืนวันที่ข้าก้าวเท้าเข้าสู่สนามประลอง ชั่วครู่หนึ่งเหยือกเบียร์ของใครสักคนก็กระแทกปึงลงบนโต๊ะของข้าอย่างหยาบคาย ข้าไม่ปรายตามองสักนิดก็รู้ว่าเป็นอารากอน

           “วันนี้เจ้าสู้ได้แย่กว่าหมาข้างถนนเสียอีก” ข้าหยาม

           “กระนั้นข้าก็ยังไม่ตาย” มันว่า ยิ้มเย้ย “เจ้าก็คงเป็นหมาข้างถนนอีกตัว”

           คงอย่างนั้น

           ในสนามประลองข้าทุ่มสุดกำลังเพื่อจะปลิดชีวิตของอารากอน เช่นเดียวกับมันที่ต้องการปลิดชีวิตข้า เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่ที่ข้ากับมันพบกันครั้งแรก ข้ากับมันเป็นนักโทษที่ต้องสู้เพื่ออยู่รอด ในสนามประลองมีสองชีวิตเข่นฆ่ากัน ฝ่ายชนะได้รับโทษให้เฝ้าเจอความโหดร้ายของโลกใบนี้ต่อ ฝ่ายแพ้ได้รับรางวัลเป็นความเมตตาจากเทพแห่งความตายและพักอย่างสงบ ส่วนฝูงชนที่เฝ้าดูได้รับความหฤหรรษ์

           ข้าสู้ชนะมาห้าสิบหกครั้งก่อนได้เจอกับอารากอน เมื่อชนะครบหนึ่งร้อยครั้งข้าจะได้รับอิสระ ไม่ต้องเป็นนักโทษอีกต่อไป ก่อนเข้าสู่สนามประลองผู้คุมจะให้เลือกอาวุธหนึ่งอย่างระหว่างดาบกับหอก ทว่าข้าไม่เลือกทั้งสองอย่างมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเท้าเข้าสู่สนามประลอง แต่ข้าเอาชนะคู่ต่อสู้ห้าสิบหกคนที่มีดาบหรือไม่ก็หอกอยู่ในมือ ดังนั้นเมื่อข้าเจออารากอนในสนามประลองครั้งแรกโดยที่มันไม่มีดาบหรือหอกอยู่ในมือเลยข้าจึงแปลกใจไม่น้อยและเอ่ยถามออกมาราวกับต้องการคำยืนยันจากปากมัน

           “ดาบหรือหอก”

           “ไม่ทั้งสองอย่าง” มันตอบ

           “การตัดสินใจที่โง่เขลาที่สุดที่ข้าเคยได้ยิน” ข้าหยาม

           “พิสูจน์สิ” มันท้า

           การต่อสู้กันครั้งแรกข้าพิสูจน์ให้มันเห็นความโง่เขลาของมันไม่ได้

           เราสู้กันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตั้งแต่กำลังเต็มกายจนเหือดหายไม่เหลือพอจะยืน เมื่อเราสองคนนอนแผ่หลาอยู่ในสนามประลอง ฝูงชนโยนอาวุธลงมาในสนามหวังให้เราหยิบมันมาปลิดชีพอีกฝ่าย ทว่าทั้งข้าและอารากอนไม่มีใครปรายตามอง

           เมื่อไม่มีลมหายใจของใครหลุดหายในสนามประลอง ใครสักคนในฝูงชนเสนอให้ฆ่าเราทั้งสอง แต่ใครหลายคนกว่านั้นเสนอให้เก็บเราไว้ทั้งคู่ ดังนั้นจึงมีการปรับเปลี่ยน การต่อสู้ถึงตายยังคงมีอยู่กับนักโทษคนอื่น เมื่อใครสักคนตายนั่นคือจบการประลอง ส่วนข้าและอารากอนถูกจัดให้ต่อสู้เป็นคู่พิเศษเพื่อเฝ้าดูทักษะการต่อสู้อันยอดเยี่ยม หากใครคนหนึ่งตายนั่นคือจบการประลอง หรือหากทรายเม็ดสุดท้ายจากกระเปาะบนหล่นลงมายังกระเปาะล่างก่อนที่ใครสักคนตายนั่นก็คือการจบการประลองในอีกกรณี

           ข้าสู้กับอารากอนมาแล้วสามสิบแปดครั้ง ไม่เคยมีสักครั้งที่ข้าจะพิสูจน์ให้มันเห็นถึงความโง่เขลาของมันได้

           ทุกครั้งที่ข้าสู้ ข้าหมายเอาชีวิตมัน ข้าเกลียดมันพอ ๆ กับคู่ต่อสู้ห้าสิบหกคนที่ข้าส่งไปเผชิญเทพแห่งความตาย แต่ทุกครั้งที่มันสู้กลับ ข้าก็รู้ว่าหากไม่ใช่มัน ก็ไม่มีใครควรค่าแก่การนั่งชนเหยือกเบียร์กับข้าอีกแล้ว

           ข้ายกเหยือกเบียร์ของตนกระแทกลงปากเหยือกเบียร์ของมันก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมดเหยือก มันทำตาม เรานั่งเงียบสักพัก จนกระทั่งอารากอนเอ่ยขึ้น

           “อีกแค่หกครั้ง เจ้าก็จะได้รับอิสระ”

           อีกแค่หกครั้งการต่อสู้ของข้าก็จะครบหนึ่งร้อยครั้ง ข้าจะได้รับอิสระ เมื่อข้าหลุดพ้นจากบ่วงนักโทษ อารากอนจะต้องสู้กับคู่ต่อสู้คนอื่นให้ครบหนึ่งร้อยครั้งของมันเช่นกันจึงจะได้รับอิสระ

           “ส่วนของข้าเหลืออีกหกสิบสองครั้ง” มันเอ่ยอย่างมีความหมาย “ข้าสู้กับเจ้าอีกแค่หกครั้ง หลังจากนั้นต้องสู้กับนักโทษคนอื่น ข้ารอให้ถึงวันนั้นแทบไม่ไหว”

           “เจ้าอาจจะต้องสู้กับข้าครบทั้งหกสิบสองครั้ง” ข้าบอกมัน “ในกรณีที่เจ้าไม่ตายด้วยกำปั้นของข้าไปเสียก่อน”

           อารากอนนิ่งเงียบ

           ข้าแสยะยิ้ม รู้ในทันทีว่ามันรู้เรื่องที่ข้ายังไม่บอกมันแล้ว

           “ผู้คุมยื่นข้อเสนอให้ข้า” ข้าเริ่ม ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปกปิด “หลังจากข้าสู้ครบหนึ่งร้อยครั้งโดยที่ยังไม่ตาย เขายังอยากให้ข้าลงสนามประลองเพื่อสู้กับเจ้าต่อ”

           “พวกมันเสนอสิ่งใดให้เจ้า”

           “ที่ดินผืนหนึ่งในเมืองนี้ และทุกครั้งที่ลงสนามเพื่อต่อสู้ ข้าจะได้รับค่าตอบแทน”

           อารากอนเงียบไปครู่หนึ่ง

           “ก่อนหน้านี้เจ้าสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ต่อไปเจ้าจะสู้เพื่อชื่อเสียงและเกียรติยศ เจ้าจะไม่ใช่นักโทษอย่างที่เคยเป็นมา แต่จะเป็นหนึ่งในพลเมืองอย่างนั้นสินะ” อารากอนถาม

           ข้าเงียบ

           “เพราะอะไรมันจึงยื่นข้อเสนอนั้นให้เจ้า”

           “เจ้าย่อมรู้ การต่อสู้ในลักษณะของเราสองคนพิเศษกว่าการต่อสู้ของคนอื่น ผู้ชมชื่นชอบจนทำให้การประลองได้รับความนิยมอย่างมาก ค่าเข้าชมแพงและอัตราการพนันสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”

“เจ้าจะลงสนามประลองไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ” อารากอนขมวดคิ้ว

“ข้าไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น ข้าอาจจะสู้กับเจ้าจนการประลองของเจ้าครบร้อยครั้ง หากเจ้าต้องการอิสระก็ไปเสีย ข้าก็จะไม่สู้อีก”

           “เจ้าคิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ” อารากอนว่า เสียงมันดังขึ้นไม่น้อย “พวกมันยื่นข้อเสนอนั้นให้เจ้าเพราะผลประโยชน์ของพวกมัน เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ...พวกมันเปลี่ยนกติกาการประลองของเจ้าและข้า จากนั้นยื่นที่ดินและค่าตอบแทนให้เจ้าเพื่อเปลี่ยนข้อตกลงสู้หนึ่งร้อยครั้งแลกอิสรภาพ และหลังจากนั้นมันจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดอีก เจ้าคิดว่าเมื่อข้าสู้ครบหนึ่งร้อยครั้งมันจะปล่อยเจ้ากับข้าไปง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ตอนนี้สิ่งที่เจ้าทำคือกำลังยืดเวลาให้มันมองว่ามันสามารถกอบโกยสิ่งใดจากตัวเจ้าและข้าได้อีกบ้างก็เท่านั้น”

           ข้าทุบกำปั้นลงโต๊ะ ลุกขึ้นยืนและก้มหน้ามองอารากอนอย่างกรุ่นโกรธ มันไม่กลัว มันยืนขึ้นแล้วกล่าวต่อ

           “เจ้าไม่มีสิ่งใดผูกมัด เจ้ามีเพียงชีวิตและเจ้าไม่กลัวที่จะสิ้นชีวิต ทุกครั้งที่ก้าวเท้าเข้าสู่สนามประลองเจ้าจึงทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีออกมาเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต มันจึงกลายเป็นจุดแข็งของเจ้า การมีชีวิตอยู่ของเจ้าเป็นสิ่งที่เจ้าไม่ได้ร้องขอ แต่รับไว้เพียงเพราะมันเป็นรางวัลที่เจ้าได้รับ ดังนั้นข้าจึงเข้าใจหากเจ้าจะตอบรับข้อเสนอของผู้คุม เพราะสิ่งที่พวกมันจะมอบให้เจ้าก็เป็นรางวัลที่เจ้ารับไว้ก็ไม่สูญเสียสิ่งใดเช่นกัน” มันหยุดไปครู่หนึ่ง “เจ้าไม่เลือกดาบและหอกเพราะการอยู่ต่อหรือตายจาก มีความสำคัญต่อเจ้าเทียบเท่ากัน แต่ข้าไม่เลือกอาวุธเพราะข้ายึดถือศักดิ์ศรีและความยุติธรรมต่อคู่ต่อสู้ และข้าเพิ่งมารู้ว่านั่นเป็นเรื่องงี่เง่าที่สุดที่ข้าเคยยึดถือมาตลอดชีวิต”

           “...”

           “เจ้าแตกต่างจากข้า เจ้าสู้เพียงเพราะต้องสู้ แต่ข้าสู้เพื่อลมหายใจของวันพรุ่งนี้ ...ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังครั้งหนึ่ง ในหมู่บ้านที่ข้าเกิดและเติบโตขึ้นมา ที่นั่นมีข้าวที่หอมและอร่อยที่สุดในโลก หลายครั้งที่โลกทุบตีข้าจนข้าอยากจะตายจากไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อข้าได้นั่งลงแล้วกินข้าวอีกสักมื้อ มันทำให้ข้ามีแรงที่จะมีชีวิตให้ถึงวันต่อไป ...นานเหลือเกินที่ข้าถูกจับมาที่เมืองแห่งนี้ ข้าคิดถึงรสชาติและกลิ่นหอมของข้าวที่บ้านเกิดของข้าอยู่บ่อยครั้ง กลิ่นหอมของมันยังเหมือนติดอยู่ที่ปลายจมูกของข้าอยู่เลย และข้าหวังไว้ว่าก่อนตายข้าจะได้กลับไปกินข้าวนี้อีกครั้ง”

           “...”

           “เจ้ามีเพียงชีวิต ชีวิตของเจ้าไม่ได้ล่องลอยออกไปนอกกำแพงเมืองนี้ และที่สำคัญเจ้าไม่กลัวที่จะสิ้นชีวิต แตกต่างกับข้า...”

           “...”

           “ข้าไม่เพียงหวงแหนชีวิต ข้ายังมีความหวังและความฝันรออยู่นอกกำแพงเมือง”

           อารากอนเดินออกจากโรงเหล้าไปแล้ว เดินออกไปแสนไกล ส่วนข้ายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

 

           “ดาบหรือหอก” เสียงหนึ่งถาม

           “ไม่ทั้งสองอย่าง” ข้าปฏิเสธ

           “คำตอบที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้กระทั่งครั้งสุดท้ายของการประลองอย่างนั้นหรือ ?” เป็นคำถามที่เพิ่มมาอย่างฉับพลัน ย้ำเตือนข้าอีกครั้งว่านี่คือการประลองครั้งที่หนึ่งร้อยของข้า

           “เจ้ายังไม่รู้ว่าข้าตอบรับข้อเสนอ” ข้ามองหน้าเจ้าของคำถาม ความสงสัยปรากฏอยู่ในดวงตาของมัน “หรือไม่เจ้าก็ไม่รู้ว่ามีข้อเสนอ”

           ข้าทิ้งมันไว้ด้านหลัง ก้าวเท้าเข้าสู่สนามประลอง เสียงโห่ร้องยังไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่ข้าก้าวเข้ามายืนอยู่ที่นี่ อารากอนมาถึงก่อนข้า ในมือของมันไม่มีทั้งดาบหรือหอก ข้าสบตากับมัน มันรู้ว่ามีข้อเสนอ และมันรู้ว่าข้าตอบรับข้อเสนอ

           เสียงเป่าเขาสัตว์ดังลากยาว นาฬิกาทรายถูกพลิกกลับ เม็ดทรายเม็ดแรกหลุดจากกระเปาะบนกระทบก้นกระเปาะล่าง ข้าและอารากอนพุ่งเข้าใส่กัน และข้าทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะปลิดชีวิตของมันเหมือนเช่นทุกครั้ง ครั้งนี้ข้ามีความหวังว่าจะฆ่าอารากอนได้ การตอบรับข้อเสนอของข้าจะเป็นโมฆะ และข้าจะไม่ได้รับที่ดิน ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเกียรติยศที่ใครสักคนสัญญาว่าจะให้ ข้าจะได้รับเพียงอิสระ

           เพียงแต่ความพยายามและความหวังครั้งนี้ของข้าก็ดูเหมือนจะไม่สัมฤทธิ์ผล

           เสียงเป่าเขาสัตว์ดังสั้น ๆ สามครั้ง ผู้ชมโยนอาวุธลงมา ข้าไม่ปรายตามองเหมือนเดิม

           “ดาบหรือหอก” ข้าถาม ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่ความหวังในการฆ่าอารากอนไม่เป็นไปตามหวัง

           “ไม่ทั้งสองอย่าง” มันตอบ

           และในทันใดนั้นอารากอนก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดินกำหนึ่งถูกโยนมาใส่ข้า ข้าใช้แขนปัดป้อง หลับตา และกว่าที่ข้าจะรู้ตัว มีดสั้นเล่มหนึ่งก็ถูกขว้างมาและปักอยู่กลางอกข้า ข้ายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองตรงไปยังอารากอนผู้ขว้างมีดใส่ข้า ข้าเคลื่อนสายตามามองมีดสั้นซึ่งเหลือเพียงด้ามจับที่โผล่พ้นผิวเนื้อ เลือดไหลออกมาช้า ๆ

           ข้าล้มหงายหลังกระแทกพื้น อารากอนเดินเข้ามาใกล้ คุกเข่าลงข้างร่างที่ทอดยาวของข้า มันก้มหน้าสบตากับข้า ข้ายิ้มน้อย ๆ และยังมีแรงเหลือพอที่จะพูดกับมัน

           “ข้ามัวแต่กังวลว่าเจ้าจะเลือกดาบหรือหอกมาฆ่าข้า ลืมคิดไปว่าเจ้ายังสามารถเลือกมีดสั้นได้ด้วย”

           “ผิดแล้วล่ะ เจ้าผิดแล้ว” มันยิ้ม แต่ความเศร้าโอบอยู่รอบตัวมัน “ข้าไม่ได้เลือกอะไรเลยสักอย่าง ทั้งดาบ หอก หรือแม้กระทั่งมีดสั้น ...เจ้าพวกนั้นต่างหากที่โยนลงมา”

           ข้าหัวเราะ เลือดทะลักออกจากปาก ลมหายใจค่อย ๆ รั่วไหลออกจากร่างของข้า ในขณะที่อารากอนลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเดินจากไป ข้าจับจ้องมองแผ่นหลังของมันที่ค่อย ๆ เลือนราง ข้าเห็นมันนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในสถานที่ที่อยู่ไกลแสนไกล กำลังกินข้าวที่อร่อยที่สุดในโลก มันหลับตาพริ้มและน้ำตาไหลอย่างเป็นสุข

           เสียงเป่าเขาสัตว์ดังลากยาวอีกหน ฝูงชนแข่งกันคำราม.

 

....................................................................

 

 Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

                    “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                     วรรณกรรมออนไลน์