เรื่องสั้น : มายากลบนขนมโตเกียว : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง
เรื่องสั้น : มายากลบนขนมโตเกียว : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง
1
นานะบอกทุกคนที่พบเจอ บอกว่าเธอจะไปจากเมืองนี้ ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ นานะแจกหนังสือที่มีอยู่ ให้ทุกคนที่รู้จักและพบเจอ แจกให้ทั้งคนสนิทและไม่สนิท แต่ผมไม่คิดว่าผมจะได้รับหนังสือจากนานะด้วยเช่นกัน
ผมขายโตเกียวอยู่หน้าโรงเรียนที่นานะเรียนอยู่ จะเรียกว่าผมเป็นศิษย์เก่าที่นั่นก็ว่าได้ นับย้อนไปสักยี่สิบปี ผมเคยมีชีวิตวัยรุ่นที่สดใสและแสนเศร้า ในรั้วตรงข้ามรถเข็นโตเกียวของผม
ผมตั้งร้านตอนบ่ายสองของทุกวัน บนถนนตรงข้ามกับรั้วโรงเรียน เลือกทำเลบนทางเท้าใต้ต้นหางนกยูง มีม้าหินอ่อนที่ศิษย์เก่าบริจาคไว้ นานะมานั่งกินโตเกียวที่นี่ทุกวันหลังเลิกเรียน
“ลุง หนูจะไปอังกฤษแล้ว อยู่โน่นคงไม่มีโตเกียวแบบนี้ให้กิน”
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้จากปากนานะว่าเธอจะไปเรียนอังกฤษ ผมถามเธอว่าจะไปเมืองไหน ?
“ลอนดอนสิลุง เมืองหลวง หนูเชียร์ฟูแล่ม ลุงดูบอลป่าว ?”
“ดูสิ ลุงเชียร์เชลซี ตั้งแต่หนูยังไม่เกิดโน่นล่ะ”
“เพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญดี ๆ นี่เอง” นานะหัวเราะ
เท่าที่สังเกต ผมเห็นนานะเดินออกจากโรงเรียนคนเดียว ตรงดิ่งมายังรถเข็นขายโตเกียวของผม สั่งไส้หวานสองชิ้น ชิ้นแรกใส่ไข่นกกระทา อีกชิ้นไม่ใส่ สั่งเสร็จก็นั่งรอ วางกองหนังสือไว้บนโต๊ะหินอ่อน ผมนับจากสายตาแล้วประมาณยี่สิบกว่าเล่ม ใครผ่านไปมาเธอก็บอกว่าแจกหนังสือ
จนวันหนึ่งนานะก็ขี้เกียจเอ่ยปาก ขอยืมกระดาษลังของผม เขียนป้ายด้วยปากกาเมจิกว่า
“หนังสือแจกฟรี”
เท่าที่สังเกต ผมคิดว่านานะไม่มีเพื่อน เธอนั่งหันหน้าเข้าหารั้วโรงเรียน นั่งหันข้างให้ผมและรถเข็นโตเกียว ราวกับว่ารอใครสักคน แต่คนนั้นก็ไม่มา...
หลายคนประดักประเดิดที่ต้องนั่งรอโตเกียวร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่สนิท แต่นานะก็เอ่ยทักทุกคนแม้สายตาจะจมอยู่กับหนังสือในมือว่า
“นั่งได้ค่ะ”
เธอบอกผมว่าต้องเคลียร์ของในบ้าน และกองหนังสือพวกนี้ก็เสียดายเกินจะทิ้ง ส่วนใหญ่เป็นนิตยสาร, มีนิยายและบทกวีบ้าง นิทานภาพก็พอมี
จะว่าไปแล้วผมก็เคยได้อ่านหนังสือที่นานะแจกให้อยู่เหมือนกัน
2
วันนั้นน่าจะเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าให้เจาะจงก็คงเป็นวันวาเลนไทน์ นานะนั่งอ่านหนังสือว่าด้วยวิธีจัดบ้านไม่ให้รก อะไรที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งไป หนังสือทำนองนั้นล่ะ
มีเด็กชายน่าจะเพิ่งเข้ามัธยมต้น ถ้าให้เจาะจงก็คงเรียนชั้นม.1 ใส่ชุดลูกเสือเต็มยศ เศษหญ้าค้างเติ่งบนหมวกสีกากี แต่วอกเกิ้ลที่ผ้าพันคอหาย แทนที่ด้วยยางรัดแกงสีแดง
“โตเกียวไส้หวานสองชิ้นครับลุง ชิ้นแรกใส่ไข่ อีกชิ้นไม่ใส่นะครับ”
ผมเห็นนานะหันขวับมามอง ส่วนเด็กชายคนนั้นเหงื่อตกและยิ้มเจื่อน
ผมรับเงินค่าโตเกียวสิบห้าบาท เด็กชายคนนั้นยืนเก้ ๆ กัง ๆ ตรงม้านั่งหินอ่อนใกล้นานะ
“นั่งได้ค่ะ” นานะตอบโดยไม่เงยมอง เด็กชายนั่งลงตรงมานั่งเยื้องกัน
“เอ่อ... พี่นานะครับ ผมซื้อโตเกียวมาฝาก แบบที่พี่ชอบ” เด็กชายยื่นโตเกียวสองอันแทบจะทิ่มตา
“รู้ได้ไงว่าพี่ชอบกินแบบนี้ ?” นานะปัดผมม้าที่ปรกไร้ระเบียบ เพราะเพิ่งโยกหัวหลบโตเกียว
“ผมเคยเจอพี่ตอนวันเปิดบ้านกิจกรรม หมวดภาษาฝรั่งเศส หลังจากนั้นผมก็แอบติดตามพี่ครับ”
ยิ้มเจื่อนผุดบนริมฝีปากเด็กชายอีกครั้ง
“เราเป็นสตอล์กเกอร์รุ่นเยาว์หรือไงนี่” นานะแค่นยิ้ม
“ว่าแต่ วอกเกิ้ลหายไปไหน ?” นานะชี้ไปที่ผ้าพันคอ
“เพื่อนผมทำหักครับ เลยต้องมัดยาง” ลมพัดเศษหญ้าบนหมวกเด็กชายร่วงลงพื้น
“ตอนพี่อายุเท่าน้อง พี่เคยมีเพื่อนคนนึง สนิทกันมากเลยล่ะ” นานะยิ้ม
“แต่เขาถูกรถตุ๊กตุ๊กชนตายที่ตรงนั้น...หน้าโรงเรียน”
นานะชี้ไปบนถนน เด็กชายชะเง้อมอง ผมก้มหลบผ้าใบรถเข็นไปมองถนนที่ทางม้าลายซีดจาง
“เพื่อนพี่ชอบกินโตเกียวไส้หวานใส่ไข่นกกระทา อันที่อยู่บนมือขวาของน้องนั่นล่ะ”
“พี่แยกออกได้ไง อันไหนใส่ไข่ อันไหนไม่ใส่ ?”
“ดูสีของแป้งก็รู้ พี่มากินร้านนี้ตั้งแต่ม.1”
“งั้นพี่จับตาดูให้ดีนะครับ”
เด็กชายขยิบตา แล้วสลับโตเกียวในซองกระดาษไปมา ซ้ายขวาซ้าย ขวาซ้ายขวา นั่นเป็นมายากลที่ง่อยที่สุดที่ผมเคยพบ
ผมเวทนาจนเผลอยิ้มออกมา...
“โทษนะ พี่ไม่ใช่เพื่อนเล่นน้อง” น้ำเสียงนานะไม่สบอารมณ์
มายากลโตเกียวจึงหยุดแสดงไปโดยปริยาย นานะหยิบของในกระเป๋า วัตถุสีทองสะท้อนแสงเข้าตาผม
“นี่วอกเกิ้ลของเพื่อนพี่ในวันนั้น ผ่านไปห้าปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเก็บไว้ทำไม”
นานะคลี่วอกเกิ้ลออกทั้งสองข้าง เหมือนแขนที่กางไว้รอโอบกอดใครสักคน
“มาพี่ใส่ให้”
นานะขยับไปนั่งม้านั่งหินอ่อนตัวเดียวกับเด็กชาย เขาเขยิบหนี แต่นานะก็จับผ้าพันคอไว้ เสมือนบังเหียนที่รั้งลูกม้าซุกซน แล้วปลดหนังยางทิ้ง ค่อย ๆ สวมวอกเกิ้ลเข้ากับผ้าพันคอ จัดผ้าพันคอให้ตรง บีบวอกเกิ้ลให้เข้าที่ ราวกับจัดเนคไทให้คนรักในวันสัมภาษณ์งานสำคัญ
“ขอบคุณครับ ผมจะบอกแม่ว่าพี่ให้วอกเกิ้ลของเพื่อนที่ตาย ผมชื่อเชนครับ”
“ไม่ต้องบอกหรอก” นานะหัวเราะขื่นในลำคอ
“ส่วนโตเกียวน้องเก็บไว้นะ พี่กินสองชิ้นแล้ววันนี้”
เด็กชายกัดโตเกียวในมือ ข้างขวาหนึ่งคำ ข้างซ้ายหนึ่งคำ คงจะหิวโซหลังเลิกเรียน
ผมแยกไม่ออกแล้วล่ะ ว่าอันไหนใส่ไข่ไม่ใส่ไข่ ผมว่าเด็กชายก็คงแยกไม่ออกเหมือนกัน แต่นานะคงแยกได้
“ได้ข่าวว่าพี่นานะจะไปเรียนอังกฤษ ผมเชียร์อาร์เซนอลครับ” เชนพลิกกระเป๋าถือให้เห็นตราสโมสร
“บ้าบอ โรงเรียนนี้มีคนเชียร์ฟูแล่มบ้างมั้ยเนี่ย” เสียงถอนหายใจไล่หลังมา
“ถ้าพี่ไม่รับโตเกียว พี่รับดอกกุหลาบดอกนี้ได้ไหมครับ แม่ผมปลูกเอง”
เชนหยิบดอกกุหลาบสีแดงออกจากกระเป๋า ยังคงมีหนามเต็มกิ่งก้าน วางบนโต๊ะหินอ่อนตรงหน้านานะ วางเคียงกับหนังสือที่นานะแจกฟรี
นานะจับดอกกุหลาบอย่างระมัดระวัง เพ่งมองและชูดอกไม้รับแสงแดด
“นี่เชนแอบตัดดอกไม้ของแม่ มาให้พี่เหรอ ?”
เชนพยักหน้า
“คราวหลังตัดหนามออกด้วยสิ ถ้าจะให้ดอกไม้ผู้หญิง ไม่ควรส่งต่อบาดแผลนะ”
เชนพยักหน้าอีกครั้ง
“ผมขอแม่แล้วครับ บอกแม่ว่าวันนี้วันวาเลนไทน์ อยากให้ดอกไม้คนที่ผมชอบ”
เชนหน้าแดงก่ำเหมือนกุหลาบที่มีหนามในมือของนานะ
“แล้วแม่ว่าไงบ้าง ?”
“แม่บอกว่าผู้หญิงคนนั้นโชคดีที่สุดในโลกครับ” เชนกินโตเกียวในมือกลบเกลื่อนความเขิน กินจนหมดทั้งสองชิ้น หากกระดาษห่อกินได้ เชนคงจะกลืนมันลงไปด้วย
“โอเค พี่จะรับไว้นะ เป็นเกียรติที่ได้เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก” นานะสอดดอกกุหลาบใส่กระเป๋าถือ
“ไหน ๆ ก็เจอกันแล้ว รับหนังสือไปสักเล่มสิ แจกฟรี” นานะผายมือไปบนกองหนังสือบนโต๊ะ
“พี่ไม่เสียดายเหรอครับ สมมติพี่ไม่ได้ไปอังกฤษ พี่จะตามทวงหนังสือทุกคนที่แจกมั้ย ?”
“อ้าว เด็กนี่ ปากเสีย !” นานะมองค้อนเชน
“ไม่ทวงหรอกย่ะ เพราะพี่ต้องได้ไปลอนดอนแน่นอน”
“งั้นพี่เลือกให้ผมสักเล่มสิครับ เดี๋ยวแม่ผมมารับแล้ว”
นานะหยิบพจนานุกรมฉบับไทย-ฝรั่งเศส ยื่นให้เชน สอดรับกับเสียงบีบแตรของรถเก๋งฝั่งตรงข้าม
“ข้ามถนนดี ๆ” นานะเอ่ยลา จมสายตาลงบนหนังสือที่อ่านค้างไว้ โดยที่ไม่มองเชนยกมือไหว้
3
ผมเทแป้งโตเกียวลงบนเตาเป็นรูปวงรี ลมวันวาเลนไทน์หอบเอาดอกหางนกยูงสีแดงตกลงบนแป้ง ตรงจุดที่ผมจะใส่ใส้หวานพอดิบพอดี นานะได้ยินผมสบถ จึงลุกขึ้นมาดู
“โตเกียวไส้ดอกหางนกยูง เท่ว่ะลุง สีสวย ชิ้นนี้หนูซื้อ”
“มันกินไม่ได้ลูก ไม่มีใครเขากินกัน” ผมเทแป้งรูปวงรีตรงพื้นที่เตาที่ว่างข้างกัน
นานะเด็ดกลีบกุหลาบแดงของเชน วางลงบนโตเกียวอีกชิ้น
“เฮ้ย ! ของกินนะไม่ใช่ของเล่น” ผมตวาดจนนักเรียนที่เดินผ่านหันมอง
“ไส้ดอกกุหลาบไงลุง สองชิ้นนี้หนูกินเอง ไหน ๆ ก็ต้องจากกันแล้ว ขอกินโตเกียวแปลก ๆ บ้าง”
“โอเค ตามใจ งั้นรอแป้งสุกแป้บนึง”
นั่นอาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ที่ผมทำโตเกียวไส้ดอกหางนกยูงและดอกกุหลาบ
4
วันปัจฉิมนิเทศ รถเข็นขายโตเกียวของผมขายดีมาก นักเรียนม.6 นัดกันมากินโตเกียวก่อนจากลา แต่ผมไม่เห็นนานะ ไม่รู้จะถามไถ่ข่าวเธอจากใคร ในเมื่อเธอไม่มีเพื่อน และคงจะแจกหนังสือหมดแล้วล่ะ
ผ่านไปกี่วาเลนไทน์กันนะ กว่าที่ผมจะได้เจอนานะอีกครั้ง
“ลุง โตเกียวไส้ดอกหางนกยูง 1 กับ ไส้กุหลาบ 1 ค่า”
ผมเงยหน้าจากนิตยสารตกแต่งสวน เล่มที่นานะเคยให้นั่นล่ะ
“หายไปไหนมาเนี่ย ลุงนึกว่าหนูไปอังกฤษแล้ว”
“ถ้าได้ไปก็ดีสิลุง บ้านหนูล้มละลายน่ะ ลากยาวมาจากโควิดนั่นแหละ ตอนนี้แค่ออกจากเมืองนี้ยังยาก” เสียงถอนหายใจไล่หลังตามมา
“ไส้ดอกกุหลาบไม่มี แต่หางนกยูงอ่ะมีเยอะ” ผมชี้ไปที่ต้นหางนกยูงต้นใหญ่
“ป่านนี้เชนคงเตรียมสอบเข้ามหาลัยแล้ว ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างนะ” นานะแหงนมองต้นหางนกยูง
“โน่นไง พูดถึงก็มาเลย ตายยากจริง” ผมชี้ไปที่ทางม้าลายหน้าโรงเรียน
นานะโบกมือให้ เชนขยับแว่นตากรอบเหลี่ยม ยิ้มร่าและวิ่งข้ามถนนโดยไม่สนใจเสียงนกหวีดของตำรวจจราจร
“ปรี๊ดดดดด ปรี๊ดดดดด ปรี๊ดดดดด !!!”
แล้วฉากความตายตรงทางม้าลายก็ฉายซ้ำสำหรับนานะอีกครั้ง
เพียงแต่คราวนี้เป็นรถบรรทุก...
นานะวิ่งไปประคองร่างของเชน ผมวิ่งตามไปสมทบ ไม่สนใจว่าโตเกียวไส้ดอกหางนกยูงจะลุกไหม้
ลมวันวาเลนไทน์รานกิ่งดอกหางนกยูงจนร่วงหล่น ทีละดอก ทีละดอก ปลิดปลิวลงบนเตาโตเกียว โตเกียวยังคงไหม้อยู่อย่างนั้น เตาสีเทาแต่งแต้มสีแดงฉาน แล้วค่อยแห้งเกรียมเป็นถ่านเถ้า
เหมือนดอกกุหลาบมีหนามที่นานะสอดไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง แม้จะกลายเป็นดอกไม้แห้งกรอบ แต่หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือเล่มเดียว ที่นานะไม่คิดจะยกให้ใคร ยกเว้นเจ้าของดอกกุหลาบดอกนั้น.
..........................................................
หมายเหตุ: “ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง” ได้เดินทางไกลจากโลกนี้ไป เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๘ คอลัมน์ “วรรณกรรมออนไลน์” เว็บไซต์ “บางกอกไลฟ์นิวส์” ขอร่วมไว้อาลัยต่อการจากไป และร่วมรำลึกถึง ด้วยการเผยแพร่ผลงาน “เรื่องสั้น” เรื่องนี้เป็นการส่งท้าย
Link ที่เกี่ยวข้อง