เรื่องสั้น : Our Beloved : รมณ กมลนาวิน

เรื่องสั้น : Our Beloved : รมณ กมลนาวิน

 

            เรื่อง  |  Our Beloved

            ประเภท  |  ระทึกขวัญ / จิตวิทยาครอบครัว

            จำนวน  |  10 ตอน

            ผู้กำกับ  |  ดอนนี่ ยู

            นักแสดง  |  พัคแจฮยอน, พัคคังแจ และคังยุนอา

 

            EP01: The Mass of Loneliness Hangs in the Air | มวลความเหงาลอยอยู่ในอากาศ

            คุณยายยุนอาออกแรงเลื่อนบานหน้าต่างทั้งสองด้านไปจนสุด ระบายกลิ่นอับในห้อง เรี่ยวแรงของคนวัยเจ็ดสิบทอนลงเรื่อย ๆ อาจเพราะเพิ่งหายป่วยไข้ด้วย จึงสั่งร่างกายไม่ได้ดังใจนัก คุณยายหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องใช้แรงมาก ความสบายกายที่สุดคือการอยู่นิ่ง ๆ บนเตียงนอน และไม่ต้องลุกขึ้นมากินอาหารที่นับเป็นเรื่องน่าเบื่อที่สุดในตอนนี้

            เช้านี้มีสายลมแรกของต้นฤดูหนาว คุณยายสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กักไว้จังหวะหนึ่งค่อยผ่อนระบายออกมา แล้วสูดเข้าไปใหม่ หนนี้ระบายผ่านริมฝีปาก ลมอุ่นร้อนถูกขับออกมา มองเงาชายคาบ้านที่ทอดตัวลงทาบพื้นดิน ไพล่นึกถึงเรื่องในวันวาน

            แรกที่บ้านหลังนี้ยังเป็นเพียงร่างแบบแปลนเส้นสีดำบนกระดาษแผ่นใหญ่ ว่าที่สามีในอีกหกเดือนข้างหน้ายื่นภาพสเก็ตช์บ้านที่จะร่วมชีวิตด้วยกันให้ดู ผู้ชายที่ดูเชยเหมือนครูสอนเด็กประถมอมยิ้มน้อย ๆ เล่าภาพในหัวออกมาให้ฟัง เขาเลือกโพฮังแทนที่จะอยู่เมืองเศรษฐกิจอย่างปูซาน เขาอยากอยู่ในเมืองเล็ก ๆ สงบ เรียบง่าย ทางบ้านเขาก็เห็นด้วย มอบบ้านเก่าของย่าที่ทิ้งร้างไว้ให้ดัดแปลงต่อเติมเป็นเรือนหอ เขาชี้ให้ดูช่องสี่เหลี่ยมที่เลือกเป็นห้องนอน อยู่ทางทิศตะวันออก จะติดหน้าต่างบานใหญ่ที่เลื่อนออกด้านข้างได้กว้างยามอยากรับสายลมเย็นและดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างเต็มตา เขาอยากให้ยุนอา-สาวน้อยของเขาได้รับพลังงานดี ๆ ในทุกเช้าวันใหม่ ระหว่างหกเดือนที่รอให้บ้านสร้างเสร็จ เขาได้ทำเพื่อเธออีกหลายอย่าง ยุนอามองเขาพลางรู้สึกขอบคุณที่พ่อแม่ได้มอบหัวหน้าครอบครัวที่ล้ำค่ามาให้ เธอจะรักและดีต่อเขาให้สมกับที่เขาปฏิบัติต่อเธอ แม้เราจะอายุยังน้อย แต่เชื่อมั่นว่าต่อไปจะเป็นพ่อแม่ที่ดีให้ลูก ๆ ของเราได้

            หลังแต่งงานได้ไม่ถึงปียุนอาก็ตั้งท้อง ไม่กี่เดือนจากนั้นพอรู้ว่าได้ลูกชายเขาดีใจจนเนื้อเต้น ขับรถกลับไปหาพ่อแม่ที่ปูซาน แล้วกลับมาในตอนค่อนดึกพร้อมยื่นกระดาษให้เธอดู แจฮยอนคือชื่อลูกชายคนแรกของเรา และในอีกสองปีเธอก็บอกข่าวดีอีกว่าเขากำลังจะมีลูกชายอีกคน แล้วก็เช่นเดิม เขารีบคว้ากุญแจ ขับรถไปปูซาน

            ภาพความหลังที่สียังชัดเจนสร้างความสุขทุกครั้งที่นึกถึง คุณยายยุนอารวบรวมแรงหอบฟูกขึ้นวางบนชั้นในตู้ นึกอยากเช็ดถูพื้นห้องอีกสักรอบ คืนนี้อยากนอนห้องเดิมที่เคยยกให้ลูกชาย คุณยายออกไปเอาผ้าผืนใหญ่ที่พาดอยู่บนราวเล็กในห้องครัว บิดน้ำออกหมาดๆ แล้วกลับมาเช็ดขอบหน้าต่าง พลังงานดี ๆ จากทิศตะวันออก ทำให้รู้สึกดีอย่างที่สามีเคยบอก

            แต่ขณะที่กำลังโปร่งโล่งใจอยู่นั้น คุณยายยุนอาก็ถูกความเศร้าแล่นเข้าในอก ภาพความทรงจำที่มีต่อเขามากมายในหลายช่วงหล่นหายไปอีกแล้ว เรื่องที่พอจำได้ก็ไม่ปะติดปะต่อเท่าใดนัก คุณยายรู้สึกเศร้า นี่ใช่หรือไม่คือความโหดร้ายของความชรา ยิ่งคิดก็ยิ่งสั่นสะทกในอก

            คุณยายรู้สึกร้อนในกายวูบวาบและหายใจลำบาก คิดว่าคงเป็นเพราะความวิตกกังวล ตัดสินใจจะโทรหาลูกชาย เดินหาโทรศัพท์มือถือ กว่าจะพบว่ามันอยู่บนโต๊ะใต้ตะแกรงตากผ้าขี้ริ้วในครัวก็ทำเอาเครียดจัด หายใจลำบากขึ้นอีก รีบกดเบอร์โทรออก เล่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น คุณยายรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงคล้ายคนกำลังร้องไห้ จึงรีบควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเครือ เพราะไม่อยากให้ลูกต้องเป็นห่วงมากนัก เกรงเขาจะขับรถมาหา จากโซลมาโพฮังไม่ใช่ใกล้ ๆ รีบร้อนมากก็กลัวอุบัติเหตุ ลูกชายตอบกลับว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมา คุณยายผ่อนลมหายใจระบายความเครียด

            หลังวางสาย คุณยายก็ตามหาอัลบั้มรูป เพราะคิดว่าการได้เห็นภาพเก่าๆ จะทำให้ได้ความจำกลับมา ส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ก็ยังดี โดยปกติแล้ว คุณยายจะจัดบ้านและเก็บข้าวของเป็นระบบระเบียบ จะใช้อะไรก็หาง่าย แต่ตอนนี้ความจำไม่เหมือนเดิมแล้ว เลอะเลือนจนน่าหงุดหงิด

            ร่วมชั่วโมง คุณยายเดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้จนเหนื่อย แล้วเพิ่งรู้ตัวว่ารูปถ่ายครอบครัวที่อยู่ในกรอบรูปแขวนบนผนังหายไป ไม่เหลือสักภาพ พยายามนึกว่ามันหายไปได้อย่างไร คุณยายทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ร้องไห้ระบายความหงุดหงิดใจออกมา ความหวังเดียวคือต้องหาอัลบั้มรูปให้เจอ แต่ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน

 

            EP02: Bringing Light to Her Heart | อยากให้สบายใจ

            ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น คุณยายยุนอารู้สึกตัวตื่น ปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการนอนข้ามคืนบนโซฟา ยังจำได้ว่าเมื่อคืนหาอัลบั้มรูปจนเหนื่อยหลับพับไป คุณยายยันตัวลุกยืน พยายามตั้งสติ กวาดตามองรอบ ๆ พลางคิดว่ามีตรงไหนที่ยังไม่ได้ไปหา

            คังแจออกจากโซลในตอนเช้ามืด ถึงบ้านในช่วงเที่ยง เขากดรหัสประตูแล้วเปิดเข้ามา มองรอบห้องถึงกับชะงัก พื้นเกลื่อนไปด้วยข้าวของ แม่นั่งรื้อกล่องใส่หนังสือพิมพ์และนิตยสารเก่า เขานึกไม่ออกเลยว่าแม่ใช้เรี่ยวแรงจากแขนเล็กลากมันมาจากหลังบ้านได้อย่างไร พอถามถึงได้รู้ว่าสิ่งที่แม่กำลังหานั้นคืออะไร คังแจก็รีบรับปากว่าจะช่วยหา แต่ขอให้แม่วางมือแล้วกินข้าวที่เขาซื้อมาให้ก่อน คุณยายทำตามอย่างว่าง่าย เพราะถ้าลูกชายช่วยหา จะต้องเจอทั้งรูปและอัลบั้มแน่

            เริ่มที่ตู้โชว์ใบใหญ่ คังแจเลื่อนบานตู้ทุกชั้น กวาดตามองหา หยิบเก้าอี้ขึ้นปีนดูหลังตู้ คุณยายจดจ่อยืนมองลูกชาย พอลูกว่าไม่พบอะไรนอกจากคราบฝุ่นหนาก็ถึงกับหน้าเสีย คังแจลงจากเก้าอี้ เขาเพิ่มพื้นที่หาไปถึงหลังบ้าน

            เขาเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางกล่องกระดาษเก็บของเล่นเด็กที่พังแล้ว แม่ไม่ยอมทิ้งสักชิ้น ขณะรื้อค้นก็มีสายโทรศัพท์เข้า เขากดรับพูดคุยไม่กี่คำก็กดวาง หันบอกแม่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างว่าแจฮยอนมาถึงแล้ว อยู่หน้าบ้าน คุณยายยุนอาได้ยินชื่อลูกชายคนโตถึงกับชะงักค้าง ตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน

            หลังคังแจเปิดประตูให้ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผมเหยียดตรงรองทรงสั้น ผิวขาวละเอียด เดินเข้ามา คุณยายยุนอาที่ยืนรออยู่ถึงตกตะลึง นิ่งอึ้งราวกับกำลังกลั้นหายใจ ชายหนุ่มยิ้มพลางเดินเข้ามากอด

            “แม่จำผมไม่ได้แล้วเหรอ”

 

            EP03: To be Concerned| สถานการณ์น่าเป็นห่วง

            ขณะเตรียมทำอาหารในครัว คุณยายยุนอารู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกลูกชายกำลังทำอะไรกัน เสียงหัวเราะพูดคุยดังเข้ามาถึงครัว พยายามตั้งสติคิด คุณยายรู้สึกเจ็บแปลบ พวกนั้นกำลังสร้างเรื่องหลอกลวงครั้งใหญ่

            คุณยายคิดทบทวน ความป่วยไข้ที่ต้องเข้ารับการรักษาและอยู่ที่โรงพยาบาลกว่าสัปดาห์นั้น คงเกิดความผิดปกติบางอย่างในร่างกายใกล้ชำรุดทรุดโทรมนี้ หลังจัดพิธีให้การจากไปของลูกชายคนโต คุณยายก็ล้มป่วยจนนึกว่าชีพจรจะขาดสะบั้นจนได้เดินทางไกลตามลูกไปอีกคน แต่โชคชะตาคงไม่อนุญาตให้จากไปไหน คงเพราะยังเหลือลูกชายคนเล็กที่ต้องอยู่เป็นขวัญกำลังใจใช้ชีวิต คุณยายรู้สึกเศร้าเมื่อคาดเดาว่า ตนคงเหมือนสามีตอนก่อนจากไปถูกโรคสมองเสื่อมเล่นงาน และเมื่อคิดได้อย่างนี้ก็ยิ่งวิตกกับโรคที่ไม่มีทางรักษาได้ คุณยายเริ่มหวั่นไหวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากจำลูกชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร

            ตอนนี้ในอกของคุณยายมีทั้งความเศร้าโศกและผิดหวัง ถูกปิดบังความจริงแล้วยังถูกลูกชายร่วมมือกับคนอื่นมาหลอกลวงแม่ตัวเอง การที่ก่อนหน้านี้ตนเอาแต่นั่งกอดฟูกนอนของแจฮยอน อาจทำให้คังแจเป็นห่วง จึงพยายามไม่ร้องไห้ ไม่พูดถึงคนที่จากไปอีก สูญเสียพี่ชายไปเขาก็ตกอยู่ในความโศกเศร้าเหมือนกัน คุณยายจึงพยายามทำตัวเข้มแข็ง แต่ตอนนี้คังแจคิดอะไรอยู่ ทำแบบนี้ทำไม

            คุณยายมองสูตรอาหารจากหนังสือที่ลูกเพิ่งเอามาให้ เพิ่งรู้ตอนนี้นี่เองว่าทำไมเขาถึงซื้อมา ความจริงแล้วสมองของคุณยายยังจำหลายอย่างได้ดี แม้จะหลงลืมบางเรื่องไปบ้าง แต่ใครจะไปลืมลูกชายตัวเองได้ และตอนนี้คุณยายมั่นใจว่า อัลบั้มรูปและรูปครอบครัวบนผนังที่หายไป เป็นฝีมือของคังแจ หรือเขากำลังพยายามจะลบพี่ชายไปจากความทรงจำของแม่ เพื่อจะได้เป็นลูกชายเพียงคนเดียว หยาดน้ำตาของคุณยายที่ไหลอาบแก้มหยดลงพื้นครัว รู้สึกเสียใจที่ถูกหลอกลวง เสียงชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยกันเสียงดังเกินปกติ ราวกับตั้งใจจะให้คนในครัวได้ยิน การแสดงละครฉากนี้ ถือว่านักแสดงทำได้ดีทีเดียว

            คุณยายปาดน้ำตา วักน้ำจากก๊อกปาดป้ายหน้า ยกคอเสื้อขึ้นเช็ด จะลองแสดงละครกลับไปบ้าง  อยากรู้นักว่าพวกเขาจะทำอะไรกันต่อไป

 

            EP04: Our Beloved | ผู้เป็นที่รัก

            คังแจที่แม้จะอยู่ในความหดหู่เศร้าซึมที่เสียพี่ชายไปกะทันหันจากอุบัติเหตุ แล้วยังต้องหาทางรับมือกับโรคสมองเสื่อมของแม่ที่หมอตรวจพบหลังล้มป่วย คงเพราะกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง เขาต้องพยายามทำตัวปกติและหาวิธีแก้ไขปัญหา เขาสงสารแม่ที่เสียลูกชายแล้วยังต้องเผชิญกับโรคที่ทำลายความทรงจำ จนเหมือนจะเป็นซึมเศร้าเข้าอีกโรค เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์จากการหลงลืม ทำให้แม่รู้สึกมีกำลังใจขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่าหลังการตัดสินใจทำแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ค่อยแก้กันไปทีละเปลาะ สำคัญที่ว่าตอนนี้เขาต้องกู้จิตใจแม่ให้พ้นจากการสุ่มเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า

            ก่อนนี้คังแจติดต่อเพื่อนสนิทแล้วเล่าปัญหาให้ฟัง เพื่อนที่สูญเสียแม่ไปเมื่อหลายปีก่อนเข้าใจความทุกข์ของคังแจ จึงยอมช่วยเหลือพร้อมทั้งบอกว่า จะเป็นพี่ชายและลูกชายให้ต่อไป แม้ว่าความจริงจะถูกเปิดเผย คังแจรู้สึกซาบซึ้งใจและว่าต่อจากนี้จะนับเพื่อนเป็นพี่ชายจริงๆ

            เพื่อนผู้ถูกเรียกว่าแจฮยอนพยายามทำตัวราวกับเป็นบ้านของตนเอง โดยมีคังแจช่วยบอกในเรื่องที่พี่ชายของตนชอบทำเป็นนิสัย ไม่ให้แม่นึกสับสนกับท่าที

            คุณยายยุนอายกถาดใส่บิบิมบับสองชามเล็ก ๆ กับบุลโกกิที่คังแจซื้อมาวางบนโต๊ะกลางหน้าโซฟา ชายหนุ่มทั้งสองรีบลงนั่งพื้น ยื่นหน้าสูดดมกลิ่นอาหารพลางเยินยอทั้งที่ยังไม่ตักกิน คุณยายยิ้มรับ ทำการแสดงไปตามน้ำ บอกว่าตั้งใจทำบิบิมบับของโปรดแจฮยอน ตอนนั้นเองที่คังแจรีบลุกไปที่ครัว รีบกดก้อนความรู้สึกที่แล่นขึ้นมาเสียดที่ลำคอลง รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำเดินกลับไปพร้อมแก้วสองใบ วางลงแล้วรินน้ำให้พี่ชาย พอเห็นคุณยายลุกเข้าครัว แจฮยอนรีบกระซิบบอกคังแจ อย่าทำอะไรให้เหมือนว่าเขาเป็นแขก คังแจตกใจที่ไม่รอบคอบ พยักหน้ารับและบอกจะระวัง

            แจฮยอนคอยลอบสังเกตแม่ของคังแจ ดูเหมือนว่าจะมีความสุขขึ้นมากเมื่อได้อยู่กับลูกชายทั้งสองคน  เขาทั้งรู้สึกผิดที่หลอกลวงและทั้งรู้สึกตื้นตันใจที่เห็นแม่คนหนึ่งกระวีกระวาดหาสิ่งที่ลูกชายชอบมาให้ เขาไม่อยากนึกถึงเลยว่า หากถูกจับได้ ท่านจะโกรธและเสียใจหนักแค่ไหน การที่จำใครไม่ได้ก็เจ็บปวดพอแล้ว ยังถูกหลอกซ้ำอีก แม้ท่านจะไม่รู้ แต่เขาก็รู้สึกละอายใจ ไม่อยากทำผิดต่อท่าน เขาคิดว่าจะหาจังหวะเหมาะคุยกังคังแจ ลองหาวิธีอื่นเพื่อสร้างความสุขให้ท่าน

            เวลาใกล้เย็น แสงแดดล่าถอยขึ้นท้องฟ้า แจฮยอนเห็นว่าสถานการณ์ปกติดี จึงบอกคังแจว่าคืนนี้เขาจะกลับโซล แล้วอีกสองวันจะกลับมาจะค้างด้วยหลาย ๆ คืน คังแจขอบคุณเพื่อนอีกครั้งที่ช่วยเหลือ ทั้งสองคิดคำโกหกเพื่อไม่ให้แม่สงสัย แต่ยังไม่ทันนึกออก เหมือนพระเจ้าที่นั่งมองอยู่บนฟ้าช่วยเหลือ แม่ก็เดินมาบอกแจฮยอนให้กลับโซลไปได้แล้ว ไม่อยากให้ลูกเสียงานเสียการ วันหยุดค่อยมาใหม่ จากนั้นก็ผลุบหายเข้าไปในครัวอีก ก่อนจะหิ้วเครื่องเคียงมาให้สองกระปุกใหญ่ ทุกอย่างดูง่ายดายจนคนทั้งสองโล่งใจ

            แจฮยอนโอบกอดและบอกแม่ว่าไม่ต้องออกไปส่งเขาที่รถ ส่วนคังแจก็รีบบอกจะหิ้วของไปส่งพี่ชายเอง คุณยายยุนอาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วเดินกลับไปที่ครัว

            หลังยินเสียงคนทั้งสองพ้นออกไปจากประตูแล้ว คุณยายก็ปลดปล่อยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ความโกรธแล่นขึ้นมาถึงใบหน้าจนร้อนผ่าว นึกหดหู่ปนสมเพชแม่ลูกที่ต่างแสดงละครใส่กัน แล้วคุณยายก็ไม่อยากฝืนแสดงอีกแล้ว ตัดสินใจจะถามลูกไปตรง ๆ ว่าทำกับแม่อย่างนั้นได้อย่างไร หลอกลวงกันไปทำไม

            คุณยายจ้ำก้าวออกจากครัวพร้อมพายุแห่งความโกรธและน้อยใจ แต่เมื่อเข้าใกล้ประตูที่เปิดแง้มอยู่ ก็แว่วยินเสียงจากด้านนอก ราวคนสะอื้นไห้ คุณยายจำเสียงนั้นได้ อึดใจหนึ่งทีเดียวที่ยืนฟังอยู่อย่างนั้น จนหัวใจและร่างกายไหวสั่น น้ำตารื้น

            เจ้าลูกชายของแม่ร้องไห้ทำไม

 

            EP05: Don’t Worry| ฉันไม่เป็นไร

            คังแจนอนไม่หลับจนถึงเช้า เขานึกถึงคำที่เพื่อนพูดวนซ้ำในหัว จริงอย่างนั้น การสูญเสียความทรงจำใช่ว่าจะสูญเสียความมีเหตุมีผลไปด้วย ตอนที่พวกเราเสียพ่อไป ก็เป็นแม่ที่ปลอบโยนเขาและพี่ชาย บอกว่าการจากลาไม่ว่ากับใครก็ต้องเกิดขึ้น ความจริงแล้ว แม่ควรเป็นคนเสียใจที่สุดที่ไม่ได้เห็นคนรักในตอนตื่นนอนเช่นทุกเช้าอีกแล้ว แต่แม่ก็เข้มแข็งและผ่านมันมาได้ เขาคงคิดผิดไปเองที่ตัดสินใจทำอย่างนั้น คังแจคิดหนักว่าจะพูดกับแม่อย่างไร

            เขาลุกจากเตียงเดินออกจากห้องนอน กลิ่นหอมจากแกงอะไรสักอย่างลอยออกมาจากหม้อที่ตั้งบนเตาแก๊ส เขายืนห่างจากครัว ชะเง้อมอง แม่กำลังง่วนอยู่กับการหั่นต้นหอม เขาตัดสินใจไม่ทักทายแม่ เดินกลับไปที่ห้องนอน

            คุณยายยุนอาเหลือบเห็นลูกชายยืนเก้กังอยู่แล้วก็เดินกลับไป นึกถึงตอนที่ยินเสียงเขาร้องไห้ มันเป็นเสียงแห่งความอัดอั้น คุณยายรู้สึกเศร้า ไม่รู้ว่าลูกมีความทุกข์ใด ตลอดมาคังแจเสียสละความสุขส่วนตัว ผ่านการหย่าร้างแล้วก็ไม่ยอมคบใครเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนแม่ คุณยายคิดว่าเรื่องที่ลูกทำลงไปไม่ใช่การคิดร้าย มันอาจข้องเกี่ยวกับความป่วยไข้ของแม่ และหากเป็นอย่างนั้นจริง คุณยายก็รู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ลูกต้องตกอยู่ในความรู้สึกผิด เขาทำเพื่อแม่มากพอแล้ว คุณยายตัดสินใจจะพูดกับลูกชายตรงๆ ความป่วยไข้ของแม่ถึงจะเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัว แต่คุณยายอยากทำให้ลูกเห็นว่า แม่ไม่เป็นไร

            ในช่วงสาย แสงแดดทำอุณหภูมิในห้องสูงขึ้น คังแจยกพัดลมมาตั้งใกล้โต๊ะอาหารแล้วกดเปิด แล้วไปช่วยแม่ทยอยยกกับข้าวมาวางที่โต๊ะ คุณยายทำไก่ทอดซอสเผ็ด กิมจิจีเก และซัมกเยทังของโปรดของลูกชาย คุณยายวางหนังสือสูตรทำอาหารบนโต๊ะแล้วชี้บอกลูกว่า หากอยากกินอะไรก็บอกได้เลย หรืออยากกินนอกเหนือจากนี้ก็เอาสูตรมา แม่จะทำให้ คังแจยิ้มให้แม่อย่างอ่อนโยน พยายามกลั้นความสั่นไหวในอก

            สองแม่ลูกต่างพยายามปรับสีหน้าและท่าทีให้ปกติ  ทำบรรยากาศบนโต๊ะอาหารให้อยู่ในแบบคุ้นเคย กินอาหารพลางลอบมองกันและกัน ต่างคนต่างหาจังหวะ แต่สุดท้ายก็ปล่อยเวลาผ่านไปจนกระทั่งกินเสร็จ คังแจช่วยแม่เก็บจานเข้ามาวางในครัว เขารับอาสาเป็นคนล้าง ส่วนแม่หยิบผ้าชุบน้ำบิดหมาด เดินกลับไปที่โต๊ะอาหาร

            ทั้งสองต่างจดจ่อกับงานตรงหน้าจนเสร็จ แล้วกลับเข้าไปตั้งหลักในห้องนอนตัวเอง

...

 

            อาลี่ที่นั่งอยู่บนโซฟาคว้ารีโมทมากดออกจากซีรีส์ Our Beloved แม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมามองหน้าพลางโวยวายว่ากำลังสนุก อาลี่ชี้ไปที่นาฬิกาบนผนังเหนือทีวีแล้วว่าหมดเวลาดูแล้ว นั่งดูรวดเดียวจบอย่างเรื่องก่อนนี้ไม่ได้ ต้องทำอย่างอื่นบ้าง รอแดดหุบอีกนิดค่อยไปเดินออกกำลังกาย เธออธิบายเหตุผลยืดยาว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมท่าเดียว อาลี่เห็นท่าทีของแม่ก็ยอมอ่อนให้ รบกับแม่แล้วชนะก็ไม่ได้อะไร จึงเปลี่ยนเป็นชวนคุยเรื่องที่แม่ชอบ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยั่วเย้า หาเรื่องต่อล้อต่อเถียงกัน

            “ดูไปก็โมโหเปล่า ๆ คังแจมันโง่ที่เลือกหลอกแม่ ไม่รู้เลยเหรอว่าคนสมองเสื่อมน่ะจำไม่ได้แค่เหตุการณ์ แต่ความเฉลียวฉลาดยังอยู่ครบ” อาลี่แสร้งออกอาการฮึดฮัดพลางเหลือบมอง “มันควรจะให้เพื่อนปลอมตัวให้แนบเนียนกว่านี้”

            “ปลอมยังไงก็รู้ แม่ที่ไหนจะจำลูกตัวเองไม่ได้” แม่ที่ยังหน้าตึงอยู่ ฟังแล้วอดพูดไม่ได้

            “ก็นั่นสิ ปลอมยังไงก็ถูกจับได้ มันควรจะพูดความจริง ทำให้แม่ไว้วางใจ เชื่อใจลูก ถ้าแม่รู้สถานการณ์ของตัวเองอย่างเข้าใจ การหาวิธีรับมือหรือรักษาก็จะง่ายขึ้น ไม่ต้องไปเสียพลังงานหาวิธีหลอก มันเสียเวลา แล้วก็ไร้ประโยชน์ด้วย” อาลี่พูดพลางทำหน้ายู่ “คังแจมันควรจะใช้เวลาไปกับการเรียนรู้โรค จะได้หาวิธีดูแลแม่ แล้วก็หาสิ่งที่แม่ชอบมาทำด้วยกัน ถ้าแม่สบายใจก็จะชะลอการเสื่อมถอยของโรคได้ อยากดึงหูมันมาพูดกรอกเข้าสมองจริง ๆ”

            อาลี่พูดพลางเหลือบมองท่าทีแม่ เธอรู้ว่าฤทธิ์เดชของซีรีส์นั้นทำให้เราเสพติดถึงขั้นไหน เธอเคยอยู่หน้าจอทีวียันฟ้าสว่างมาแล้วหลายครั้ง แต่แม่ต่างจากเธอตรงสุขภาพ เธออยากให้แม่เคลื่อนไหวร่างกายและทำอย่างอื่นบ้าง

            “แม่อยากรู้ว่าคังแจจะกล้าสารภาพผิดกับแม่ตอนไหนน่ะเหรอ” เมื่อแม่พยักหน้าด้วยท่าทีของผู้เหนือกว่า เธอจึงยอม “งั้นแม่ต้องไปเปลี่ยนกางเกงวอร์มก่อนถึงจะให้ดูอีกตอน จบแล้วเราไปเดินออกกำลังกายกันหน้าบ้าน”

            คราวนี้อาลี่ทำสำเร็จ แม่ยอมรับเงื่อนไข

            ...

            กลางดึกก่อนเข้านอน อาลี่หยิบสมุดบันทึกปกผ้าทอที่เธอทำไว้ใช้ เปิดหน้าแรก ลูบข้อความที่เขียนไว้ให้กำลังใจตนเอง ‘Daily Dose Love in Memory หมั่นหยอดความรักลงในความทรงจำวันละหน่วย’

            เปิดหน้าที่บันทึกไว้ล่าสุด เขียนกิจกรรมที่แม่ทำในวันนี้ อาลี่จดบันทึกการเปลี่ยนแปลงของแม่ทุก ๆ วันไว้ให้หมอ อาการของวันนี้เพิ่มเติมมาอีกหนึ่งอย่าง เธอเขียนลงไปขณะที่ขอบตาร้อนผ่าว

            แม่ฉี่ใส่กางเกง.

 

......................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

 

                 “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

 

                  วรรณกรรมออนไลน์