เรื่องสั้น : หมาเสียคน : ศิริพงศ์ หนูแก้ว

เรื่องสั้น : หมาเสียคน : ศิริพงศ์ หนูแก้ว

 

            คืนจันทร์แรม จักรยานสามล้อวิ่งออกจากบ้านไม้ชั้นเดียวไปช่วงเวลาประมาณตีสามครึ่ง ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนอานรถ ที่เบาะหลังมีเด็กชายนั่งขัดสมาธิท่าทางงัวเงีย, ถัดลงตรงที่วางเท้ามีสิ่งมีชีวิตนอนกองอยู่ มันพยายามผงกหัวขึ้นมาหันมองสบตากับเด็กชาย แต่อีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนีทุกครั้ง ขณะล้อหน้ารถพ้นปากซอยเลี้ยวซ้ายปีนขึ้นถนนใหญ่ แสงไฟเหลืองนวลสองข้างทางก็สาดฉายให้เห็นแววตาตื่นตระหนก จังหวะที่หัวรถเลี้ยวขวาผ่านซุ้มประตูวัด สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นก็ลุกขึ้นยืนจ้องไปที่ต้นจันโบราณสูงทะมึน ก่อนส่งเสียงเห่าหอนยาวนาน, ชายวัยกลางคนรีบปั่นสามล้อวนรอบพระพุทธรูปองค์ใหญ่กลางลานวัด พลางสั่งเด็กชายปล่อยมันลงไป พร้อมกำชับอย่าหันกลับไปมองเด็ดขาด เสียงล้อบดถนนคอนกรีตเคลื่อนออกมาอย่างรวดเร็ว ทิ้งเงาตะคุ่มดำยืนอยู่หน้าองค์พระใหญ่

            “นั่นคือเรื่องราวของปู่”

            “ครับพ่อ”

            “เหตุการณ์เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว”

            “ตอนนี้ก็ยังเกิดขึ้นกับพวกเราอยู่ใช่ไหมครับ”

            “ก็อย่างที่ลูกเห็นในข่าวนั่นแหละ”

            “แต่ปู่ไม่ได้ตายแบบนั้น”

            “ใช่ลูก ! ปู่ตายดีกว่านั้น”

            เมื่อสองเดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลด สุนัขหลังอานพันธุ์ไทยกัดเจ้าของได้รับบาดเจ็บ เจ้าของแจ้งเจ้าหน้าที่เทศบาลให้มาจับไป แต่เจ้าหลังอานพันธุ์ไทยกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ออกตามหา เหตุการณ์บานปลาย สุดท้ายเจ้าหน้าที่เทศบาลออกมายอมรับว่าทำสุนัขตายระหว่างจับตั้งแต่วันแรก กลัวความผิดจึงนำร่างไปทิ้ง เรื่องนี้นอกจากความเศร้าแล้ว ยังเกิดดราม่าตามมาอีกหลายเรื่อง ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และโดนแจ้งข้อหาทารุณกรรม

            “เรื่องนี้เศร้าจริง ๆ ครับ”

            “อ้าว นั่นลูกร้องไห้เหรอ”

            “ผมนึกถึงวันที่ไปเจอปลอกคอและโครงกระดูก”

            “อ้อ พ่อว่าเรื่องนี้ยิ่งกว่าดราม่าซะอีก”

            เรื่องของสุนัขหลังอานพันธุ์ไทยเป็นปรากฏการณ์ที่คนในสังคมให้ความสนใจ สื่อได้นำเสนอข่าวสนองตอบกันอยู่นานหลายวัน เรื่องสุนัขตัวหนึ่งที่คนเข้าไปเกี่ยวข้องมากมาย มีความเป็นดราม่าเชิงซ้อน เจ้าของตัวจริงที่เลี้ยงสุนัขตั้งแต่ตัวมันยังเล็ก ๆ ได้เสียชีวิตลง คนในครอบครัวจึงต้องรับไม้ต่อ ซึ่งพวกเขาก็เจอกระแสทัวร์ลง ส่วนเจ้าหน้าที่อาสาไม่มีความชำนาญ เครื่องมือไม่พร้อม อีกทั้งโกหกเพื่อหนีความผิด ขณะที่หัวหน้าก็หลงเชื่อลูกน้องว่าสุนัขหลุดหาย แต่ที่สังคมชวนสงสัยและเอือมระอาก็คือปัญหากล้องวงจรปิดเสียโดยไม่เลือกความบังเอิญว่าเรื่องจะเกิดขึ้นกับคนหรือสัตว์

            “กล้องวงจรปิดเสีย เรื่องนี้เหมือนจะคุ้น ๆ นะครับพ่อ”

            “มันยิ่งกว่าคุ้นซะอีกลูก”

            “คุ้นเคยหรือคุ้นชินครับ”

            “เรื่องนี้พ่อก็แยกความรู้สึกไม่ออกลูก”

            “อืม มันเกี่ยวกับการเลี้ยงดูไหมครับ ระหว่างคนกับสัตว์”

            “พ่อว่าก็ไม่น่าต่างกันนะ ถ้าดูแลไม่เป็น ไม่ฝึกอบรมนิสัยตั้งแต่เล็ก ๆ โตไปก็มีปัญหาเหมือนกัน”

            “เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับปู่ใช่ไหมครับ”

 

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัด เป็นครั้งที่สามที่ชายวัยกลางคนและเด็กชายพาสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นขึ้นรถสามล้อ โดยสองครั้งก่อนมันวิ่งตามกลับมาถึงบ้าน สร้างความแปลกใจให้คนในครอบครัว จนกระทั่งครั้งที่สาม ไม่รู้ว่ามันจำทางไม่ได้ หรือไม่อยากกลับมายังบ้านไม้ชั้นเดียวอีก

            “ทำไมพ่อต้องเอาเจ้าดำไปทิ้งให้ได้ด้วยครับ” เด็กชายถามหลังกลับถึงบ้าน

            “พ่อไม่ได้เอามันไปทิ้ง แค่เอาไปปล่อยในวัด” ชายวัยกลางคนตอบ

            “นั่นแหละครับ จะเรียกอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับเราแล้ว”

            “มันอยู่กับเราไม่ได้แล้วลูก ขืนเอาไว้ เราคงจ่ายค่ารักษาไม่ไหว”

            “ก็ล่ามมันไว้สิครับ ใส่ตะกร้อครอบปากไว้ด้วย”

            “อืม ลูกเห็นอยู่ว่าเราก็ทำแบบนั้นกับมัน แต่มันยังไล่กัดไล่เห่าไปทั่ว”

            “แต่พ่อก็เลี้ยงมันตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่ใช่เหรอครับ” เด็กชายยังไม่ยอมลดละ

            “เป็นเพราะพ่อเองที่ตอนเล็ก ๆ ไม่พยายามฝึกมัน โตขึ้นมันเลยเสียนิสัย”

            สำหรับการฝึกสุนัข แม้ตามทฤษฎีโดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ดุควรจะเริ่มฝึกตั้งแต่อายุสี่เดือนขึ้นไป แต่ในความเป็นจริงแล้วสุนัขสามารถฝึกได้ตลอดช่วงอายุของมัน ไม่ต่างจากคนที่ยังต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา นอกจากวิชาความรู้ก็ต้องฝึกนิสัยขัดเกลาจิตใจตัวเอง บางครั้งเห็นสัตว์ทำร้ายคน บ่อยครั้งคนก็ทำร้ายสัตว์ ซึ่งถ้าทั้งคนและสัตว์ได้รับการฝึกฝนที่ดี เรื่องร้ายแรงในโลกอาจลดน้อยเบาบางลงบ้างก็ได้

            เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไซบีเรียนถูกราดด้วยน้ำร้อนได้รับบาดเจ็บ ที่สร้างความเจ็บปวดกว่าแผลพุพองคือเกิดจากการกระทำโดยเจ้าของสุนัขเอง และที่สาหัสต่อจิตใจคือสุนัขกำลังตั้งท้อง, เรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริง เพียงรับรู้กันว่าเป็นการลงโทษสุนัข แม้จะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กก็ตาม เรื่องนี้กลายเป็นอีกหนึ่งดราม่าระหว่างคนกับสัตว์ ก่อนลุกลามเป็นคนกับคน

            “อ้าว พ่อร้องไห้เหรอนั่น”

            “เปล่านะ พ่อแค่รู้สึกสงสารเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้อง”

            “โธ่พ่อ ยอมรับมาเถอะ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็มีน้ำตาทั้งนั้น”

            “ใจร้ายมาก จะอ้างความเป็นเจ้าของแล้วมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้เหรอ”

            “พ่อแม่ก็ชอบอ้างแบบนี้เวลาทำร้ายลูกหนิครับ”

            “อืมก็จริง ปู่ของลูกก็ร้องไห้นะในคืนนั้น”

 

            หลังจากสามล้อเคลื่อนออกมาพ้นซุ้มประตูวัด เลี้ยวซ้ายลงถนนใหญ่ แสงสีเหลืองก็สาดใบหน้าชายวัยกลางคน แก้มทั้งสองข้างอาบน้ำตา แม้สายฝนจะพรำลงมาต้องแสงไฟจากสองข้างทางก็ไม่อาจบดบังความเศร้าในการตัดใจลาได้ ส่วนเด็กชายนั่งห่อตัวบนเบาะ เข่าทั้งคู่ชันขึ้น ใบหน้าซุกอยู่หว่างขา เสียงสะอื้นหลุดออกมาแผ่วเบา ภาพของสิ่งมีชีวิตยืนมองตามหลังผุดขึ้นในห้วงความคิดเด็กชาย เสียงของมันยังแว่วโหยหวนในคืนจันทร์วาดดวงเป็นเสี้ยวบาง ๆ

            “ผมจะไปหามันที่วัดได้ไหมครับ” เด็กชายถาม ขณะสามล้อเลี้ยวขวาเข้าซอย

            “พ่อกลัวว่าเมื่อมันเห็นลูกแล้วจะตัดใจลำบากอีก”

            “คงไม่หรอกครับ ผมเห็นคนเป็นพ่อเป็นแม่ยังตัดใจจากลูกได้เลย”

            “มันไม่เหมือนกันลูก ปล่อยมันไปเถอะ” ชายวัยคนกลางพูด พลางจอดรถ

            “แต่พ่อครับ เมื่อกี้ผมเห็นมันร้องไห้ด้วย” เด็กชายพูดแล้วรีบลงจากสามล้อวิ่งเข้าไปในบ้าน

            ภายในรถยนต์อากาศเย็นสบาย เครื่องปรับอากาศพ่นลมกระจายมาถึงเบาะที่นั่งด้านหลังซึ่งมีกรงวางอยู่สองใบ เมื่อคนขับมองผ่านกระจกหลัง สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในกรงก็เงียบเสียงลง, รถขยับไปได้ทีละนิดและกำลังจะติดไฟแดงเป็นรอบที่สี่ ขณะเสียงรถฉุกเฉินเปิดสัญญาณดังอยู่ไกล ๆ รถทุกคันพยายามขยับหลีกเปิดทางกันอย่างเต็มที่ โดยรถฉุกเฉินเองก็พยายามหาช่องแทรกขึ้นมา

            “หลายวันก่อนก็มีดราม่าเรื่องรถฉุกเฉินได้รับแจ้งให้ไปรับคนป่วย แต่กลับก่อน”

            “อ้อ เรื่องนั้นเขากลัวโดนกัด เพราะถ้าโดนกัด ใครจะรับผิดชอบล่ะพ่อ”

            “เจ้าของบ้านไงลูก”

            “อืม แล้วถ้าคนป่วยเป็นอะไรไป ใครต้องรับผิดชอบครับ”

            “ก็คงเป็นเจ้าหน้าที่ประจำรถฉุกเฉินน่ะสิลูก”

            รถยนต์หลุดจากสี่แยกมาได้สักพักแล้ว กำลังวิ่งผ่านพันธุ์ทิพย์ บริเวณด้านหน้าดูเงียบเหงาผู้คนบางตา ต่างจากห้างใหญ่ที่อยู่เยื้องกันซึ่งเพิ่งรีโนเวท ขณะที่เสียงจากในกรงเพิ่งหยุดพักไปเมื่อครู่, วันนี้เจ้าตัวที่อยู่ในกรงใหญ่ไม่สบาย แต่ต้องพาเจ้าตัวที่อยู่ในกรงเล็กมาด้วยเพราะที่บ้านไม่มีใครดูแล คนขับไม่อยากทิ้งมันไว้เพียงลำพัง เขาคิดว่าไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็ไม่อยากถูกทิ้งให้รู้สึกโดดเดี่ยว

            “ตอนที่ถูกปล่อยไว้ ปู่จะคิดไหมว่าโดนทิ้ง”

            “ไม่ว่าสัตว์หรือคนก็คงคิดทั้งนั้นแหละลูก”

            “ปู่จะรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวไหมครับ”

            “คงไม่หรอก ที่นั่นปู่มีเพื่อนเยอะ”

            “แล้วปู่มาจากที่ไหนเหรอครับพ่อ”

            “ปู่ถูกเจอที่นั่นแหละ ในคืนนั้นท้องฟ้าแทบมืดสนิท”

 

            คืนเดือนมืดล่วงใกล้เวลาตีสี่กว่าแล้ว ท้องฟ้ายังคงไร้ดาว เมฆครึ้มลอยอย่างช้า ๆ สายลมเย็นพัดแผ่วเบา บนถนนเงียบแทบไม่มีรถวิ่ง นาน ๆ ครั้งถึงจะโผล่มาสักคัน ระหว่างที่สามล้อรับจ้างปั่นอยู่อีกฟาก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากทางซุ้มประตูวัด เมื่อหันมาทางต้นเสียงก็เห็นเงาดำตะคุ่มที่ซ้อนทับอยู่ใต้เงาซุ้มประตูวัดอีกทอด ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนอานรถกำพระบนคอแน่น พลางนึกถึงองค์พระใหญ่ที่อยู่ถัดเข้าไปในวัดแล้วรีบออกแรงปั่นสุดชีวิต แต่แล้วกลับได้ยินเสียงดังชัดขึ้น เขาตัดสินใจเลี้ยวรถกลับมาที่ลูกสุนัขตัวสีดำ เขาสบตามันในความมืด ก่อนจะอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังแล้วพากลับไปที่บ้านไม้ชั้นเดียว

            “ไปเจอมันที่ไหน” ภรรยาถามขึ้น

            “หน้าวัดใหญ่” ชายวัยกลางคนตอบ

            “อืม อย่าเลี้ยงหมาให้ดีกว่าคนก็แล้วกัน” ภรรยาพูด พลางลูบท้อง

            “ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อไปถ้ามันมีลูกมีหลาน รุ่นลูกเราก็เลี้ยงต่อได้”

            สี่แยกมีทางลอดใต้อุโมงค์ แต่รถยนต์เบี่ยงออกเลนนอกแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเลนกลางตรงไปยี่สิบเมตร ก่อนวิ่งชิดขวาเพื่อกลับรถ จากนั้นเบี่ยงออกชิดซ้าย เลี้ยวเข้าตึกสีน้ำตาลอ่อน แม้จะเป็นโรงพยาบาลสัตว์แต่ก็มีถึงสี่ชั้น และที่นี่ถือเป็นสถานที่รักษาสุนัขใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง มีความพร้อมในด้านเครื่องมือ สัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปิดรับสุนัขทุกเพศทุกวัย ทั้งพันธุ์ไทยและสายพันธุ์ต่างประเทศ หรือจะเป็นลูกครึ่งพันธุ์ผสม จะป่วยหนักหรือแกล้งป่วย กระทั่งจะกลับไปรักษาต่อที่บ้านหรือจะนอนค้างกี่คืนก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสัตวแพทย์ใหญ่ รวมทั้งต้นทุนที่ต้องแลก และปัจจัยที่ต้องจ่ายให้โรงพยาบาล

            “ถึงซะทีนะพ่อ นั่งคุยกันมาตั้งนาน”

            “นี่พ่อต้องขึ้นไปนอนบนเตียงหรือนั่งรถเข็นไป”

            “พ่อไม่เป็นอะไรมากหนิ เดินไปเองก็ได้มั้งครับ”

            “กลัวหมอตรวจแล้วจะเป็นหลายโรคน่ะสิ”

            “ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมาก แล้วจะตรวจเจอหลายโรคได้ไงครับพ่อ”

            “ก็ไม่รู้สิ ประเทศนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”

            “ปู่มีโอกาสได้มารักษาตัวแบบนี้บ้างไหมครับ”

            “ไม่นะ เท่าที่พ่อรู้ ปู่แทบไม่เคยป่วยเลย”

            “ถ้าอย่างนั้นแล้วปู่ตายได้ยังไงครับ”

 

            หลังจากเจ้าดำโตขึ้น นิสัยก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปด้วย มันขี้โมโห หงุดหงิดง่าย จากสุนัขขี้เล่นชอบประจบ กลับดุร้ายขึ้นจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะนอกจากจะถูกมันไล่เห่าแล้ว หากเผลอไม่ทันระวังตัว คมเขี้ยวก็อาจฝังจมในเนื้อได้ เรื่องนี้ทำให้เจ้าของต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้านและคนที่เดินผ่านหน้าบ้านบ่อยครั้ง แม้จะใส่ตะกร้อครอบปากและล่ามไว้ กลับทำให้เจ้าดำยิ่งโมโหง่ายขึ้นไปอีก กระทั่งมารู้กันภายหลังถึงสาเหตุที่นิสัยเจ้าดำเปลี่ยนไปในช่วงเปลี่ยนผ่านของวัย นั่นก็คือมันถูกเด็ก ๆ และผู้ใหญ่บางคนแกล้งยั่วโมโห ด้วยการนำชามข้าวและน้ำไปซ่อน เมื่อเจอเหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ความหิวก็กลายเป็นความโกรธ มันกระโจนเข้าใส่ไม่ว่าใครก็ตามที่ขวางหูขวางตา จากนั้นไม่นานก็พบซองยาเบื่อวางอยู่กับชามข้าว แต่นี่ยังไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เจ้าดำต้องจากไปในคืนเดือนมืด

            “พ่อคิดดีแล้วใช่ไหมครับ ที่เอามันไปปล่อย”

            “เป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับมันแล้วลูก มันอาจดูเศร้าเพราะไม่เคยแยกจากพวกเรา”

            “พวกนั้นใจร้ายกับมันก่อนหนิ” เด็กชายน้ำตารื้น

            “พ่อไม่อยากเห็นมันนอนน้ำลายฟูมปาก ลูกเองก็คงไม่อยากเห็นเหมือนกันใช่ไหม”

            “เราก็เอามันไปรักษาที่โรงพยาบาลสิครับ”

            ตึกสีน้ำตาลอ่อนทั้งกว้างและสูงใหญ่ สัตว์นานาชนิดและคนหลากหลายวัยแลดูพลุกพล่านวุ่นวาย คนขับอุ้มสุนัขตัวพ่อแนบอก โดยมีเจ้าตัวลูกเดินเคียงข้างไม่ห่าง หลังแจ้งอาการป่วยเบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่, คนขับก็ขอรถเข็น กลับถูกปฏิเสธทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบประโยค ก่อนจะเดินมายืนรอหน้าลิฟต์ เจ้าหน้าที่คนเดิมยังตามมาปฏิเสธอีกครั้ง เธอบอกให้ไปใช้บันได โดยเสริมอีกว่าแค่ชั้นสาม เดินไปเองดีกว่า เธอย้ำแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม คนขับรถได้แต่ถอนหายใจ ขณะสุนัขตัวพ่อสัมผัสได้ถึงความถี่แรงของลมหายใจเข้าออก รู้สึกถึงการเต้นของก้อนเนื้อเท่ากำปั้น สิ่งที่ทำให้คนขับรถรู้สึกอายและรู้สึกรักไปพร้อม ๆ กัน

            “เขาใจดีกับเรามากเลยนะครับพ่อ”

            “ใช่ลูก ดูสิแม้จะอายขนาดไหนก็ยังอุตส่าห์อุ้มพ่อมาส่งถึงห้อง”

            “พ่อรู้ได้ไงครับว่าเขาอาย”

            “ฟังเสียงจากหัวใจไงลูก”

            “อืม เขาต้องรักเราด้วยแน่ ๆ ใช่ไหมครับ”

            “ใช่ลูก อันนี้สัมผัสได้จากหัวใจเขาเช่นเดียวกัน”

            ภายในห้องสี่เหลี่ยมมีเตียงเล็ก ๆ สี่เตียงวางห่างกันหนึ่งเมตร ทั้งห้องมีสุนัขมานอนรักษาอยู่เตียงเดียว แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป เสียงทีวีเปิดดังจนได้ยินไปทั้งห้อง สัตวแพทย์หนุ่มนั่งคู่กับผู้ช่วยสาวบนเตียงที่อยู่ใกล้จอทีวี พวกเขากำลังนั่งดูข่าวเที่ยง ทั้งคู่พูดถึงเหตุการณ์แม่วัยเรียนคลอดลูกในห้องน้ำแล้วใส่ถุงดำทิ้งไว้ในถังขยะ ส่วนอีกรายเป็นแม่วัยรุ่นไม่ได้เรียนหนังสือซ้อนมอเตอร์ไซค์มากับสามีวัยโจ๋ อุ้มลูกที่อยู่ในห่อผ้าแล้วหย่อนวางในพงหญ้าข้างทางตอนกลางวันแสก ๆ

            “คนชอบยกตัวอย่างพวกเรา ทั้งเรื่องความรักและความซื่อสัตย์”

            “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับพ่อ”

            “ไม่รู้สิ พวกเขาไม่มีสิ่งเหล่านั้นละมั้ง หรืออาจจะมีแต่ยังไม่มากพอ”

            “ถ้าผมมีลูก ผมจะรักลูกเหมือนกับที่ปู่รักพ่อ และพ่อก็รักผม”

            “จุ๊ ๆ ๆ เบา ๆ หน่อยค่ะพ่อลูก คุยอะไรกัน” ผู้ช่วยสาวหันมาส่งเสียงปรามทางเตียงหมาป่วย

 

            หลังจากครั้งแรกที่พาเจ้าดำไปปล่อยในวัด มันก็วิ่งตามสามล้อกลับบ้าน กระทั่งครั้งที่สองก็ยังคงไล่ตามเจ้าของกลับมานั่งหน้าละห้อย แต่ก็ยังไม่คลายความดุร้าย ต้องคอยระวังตะกร้อครอบปากและเชือกที่ผูกล่ามไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเบื่อที่ไม่รู้จะมาตอนไหนและในรูปแบบใด นี่เองที่ในคืนจันทร์แรมตีสามครึ่งของวันรุ่งขึ้น ขณะสามล้อวิ่งรอบองค์พระใหญ่ ชายที่นั่งอยู่บนอานรถได้ตั้งจิตภาวนา หากสิ่งมีชีวิตที่พามาด้วยจะต้องตายด้วยยาเบื่อก็ขอให้มันอย่าได้พ้นเงาซุ้มประตูวัด

            “ปู่คงอยากอยู่วัดมากกว่าโรงพยาบาล”

            “อย่างน้อยก็อยู่กับพวกเดียวกัน ถึงจะกัดกันบ้างก็เถอะ”

            “คนเวลาทะเลาะกันก็กัดกันแบบพวกเราใช่ไหมครับพ่อ”

            “เรื่องนี้พ่อก็สงสัย ทำไมคนชอบเอาตัวเองมาเปรียบกับพวกเรา”

            “แปลกดีนะครับ พวกเขายกตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ก็มักลดตัวลงมาเทียบกับสัตว์เดรัจฉานอย่างพวกเรา”

            สัตวแพทย์หนุ่มกับผู้ช่วยสาวออกจากห้องไปสักพักแล้ว คนขับรถขึ้นมาอุ้มสุนัขตัวพ่อกลับลงไป ขณะสุนัขตัวลูกยังเดินคลอเคลียไม่ห่าง หลังจ่ายค่ายาและค่าตรวจก็กลับบ้านได้ เพราะทางโรงพยาบาลไม่ให้นอนค้างคืน ให้เหตุผลว่าสุนัขไม่ได้ป่วยหนัก รถวิ่งออกจากโรงพยาบาลย้อนกลับมาทางเดิม คนขับรู้สึกโล่งใจที่สามารถดูแลลูกและหลานของเจ้าดำได้ เขาจำวันที่พ่อพาไปเยี่ยมมันที่วัด เจ้าดำป่วยด้วยโรคชรา ก่อนลมหายใจสุดท้ายของมันขาดห้วงลงในคืนจันทร์ดับ

            รถยนต์จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้าน คนขับเงยมองผ่านกระจกหลัง สิ่งมีชีวิตในกรงยังส่งเสียงไม่หยุด เขารู้สึกเหมือนได้ยินสุนัขคุยกัน

            “ยังไงก็น่าจะให้พ่อนอนดูอาการสักคืนนะ”

            “แบบนี้ดีแล้วลูก พ่อไม่ได้เป็นอะไรมาก”

            “พ่อน่าจะแกล้งป่วยดูบ้าง คนไม่รู้หรอก”

            “อย่าเห็นแก่ตัวเหมือนคนสิลูก ทำแบบนั้นจะเสียหมาเอานะ !”

 

......................................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

                 “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

                  วรรณกรรมออนไลน์