เรื่องสั้น : ไอ้ตีนขาว : ชัยวัฒน์ จงมั่นวัฒนา

เรื่องสั้น : ไอ้ตีนขาว : ชัยวัฒน์ จงมั่นวัฒนา

 

            หากใครเคยอยู่ทาวน์เฮาส์ในหมู่บ้านคงพอนึกสภาพบ้านของ บัณฑิต ออก บ้านแฝดทาสีฟ้าอ่อนหลังติดกันทาสีเขียวมองมาจากหน้าปากซอยยังเห็นชัด ใครพอมีฐานะจะซื้อ ๒ หลังคู่ทาสีเดียวกันคงดูสวย --- ไม่ใช่บัณฑิต เขาไม่มีเงินพอจะซื้อบ้าน ๒ หลัง แค่หลังเดียวยังผ่อนไม่หมด อาชีพผู้รับเหมารายได้เป็นอย่างไรคนในวงการรู้กันดี บางครั้งสำรองออกก่อนกว่าจะเบิกเจ้าของบ้านได้ต้องทวงไม่รู้กี่รอบ แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว เขาไม่อาจประกอบอาชีพเดิมได้อีก จากขับรถกระบะกลายเป็นคนนั่งรถเข็น ยากจะลงพื้นที่ทำงานได้

            ถนนซอยของหมู่บ้านพอแค่ให้รถวิ่งสวน พวกมักง่ายจอดรถในบ้านตัวเองยังไม่พอ เอารถอีกคันมาจอดขวางหน้าบ้าน รถจะสัญจรไปมาก็ลำบาก ต้องใช้ฝีมือบวกประสบการณ์ ไม่ต้องพูดถึงรถคันใหญ่สีเขียวที่ต้องขับผ่านหน้าบ้านเขาเป็นประจำ

            ทุกวันบัณฑิตต้องเห็นภาพรถเก็บขยะตีวงโยกเข้ามาในซอย ตามมาด้วยเสียงโวยวายของบ้านหลังหัวมุม

            "ระวังโว้ย ! จะชนต้นไม้กูแล้ว" บัณฑิตอยากบอกว่าต้นไม้วางออกจากตัวบ้านเป็นคืบกินพื้นที่สาธารณะเห็น ๆ --- ใครผิด

            อาจด้วยความเร่งรีบกลัวรถคันหลังจะบีบแตรไล่ คนเก็บขยะโดดลงจากท้ายรถยกถังขยะสีน้ำเงินขนาดสูงราวเอวเทโครมราวไร้น้ำหนัก ไม่สนว่าใครจะแยกขยะเปียกแห้ง หรือขวดพลาสติกขายได้ ชายในชุดเสื้อสีน้ำเงินมิดชิดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้านไม่เห็นค่า

            "นี่ ! ค่อย ๆ เทก็ได้ เห็นไหมว่าขยะมันหล่นลงพื้นหมดแล้ว !" บัณฑิตเอ็ด --- อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ เป็นเช่นนี้อยู่ทุกวัน --- ไม่ เว้นวัน ที่นี่เก็บขยะวันเว้นวัน เขาต้องทนกลิ่นอาหารเน่าบูดเพียงแค่ว่าโชคร้ายซื้อบ้านหลังที่มีถังขยะอยู่ด้านหน้า

            วันนี้เหมือนเช่นทุกวัน ไม่ว่าจะบ่นหรือตำหนิเพียงใดอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ราวกับคำพูดเขาไม่ได้เข้าหู บัณฑิตถอนหายใจก่อนใช้สองมือดันล้อรถเข็นกลับเข้าบ้าน เขาใช้ชีวิตอยู่กับสองล้อคู่ใจนี้มาร่วม ๒ ปี ตอนนี้มันเหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่ง

            ขยะภายนอกเขายังพอเบือนหน้าหนี แต่สภาพภายในบ้านกลับให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน ทาวน์เฮาส์ ๒ ชั้นมี ๓ ห้องนอนด้านบน ตอนนี้ วิมล จับจองเป็นเจ้าของ เขาต้องต่อเติมห้องชั้นล่าง เนื่องจากไม่สะดวกขึ้นชั้นสอง โชคดีบ้านออกแบบไว้ให้มีห้องน้ำทั้ง ๒ ชั้น

            ข้าวของวางเกะกะเต็มทางเดินมีแค่ช่องให้เขาพอเลื่อนรถเข็นผ่าน กองหนังสือสารพัดวางเต็มพื้น มีทั้งหนังสือสมัยลูกสาวยังเรียน กระดาษจดมากมายที่ใช้เพียงแค่ ๑ หน้า เขาบอกให้แยกไว้เผื่อรีไซเคิล แต่เจ้าตัวไม่สนใจ ซ้ำยังมีหนังสือนิทานมากมายที่วิมลสะสมไว้ ระหว่างที่บัณฑิตพยายามเลื่อนรถเข็นกลับเข้าไปในบ้าน สายตาเหลือบมองหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง เรื่องราวของไอ้ตีนขาว สัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครคบ นิทานเรื่องโปรดของวิมลในวัยเด็ก --- ไม่คิดว่าเธอยังเก็บไว้

            บัณฑิตเอื้อมมือหยิบนิทานบนพื้นไปวางรวมกับกองนิทานรอบริจาค ไม่เพียงแค่เรื่องเล่าสำหรับเด็กยังมีอุปกรณ์ช่างหลายชนิดที่เขาคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไปรอขึ้นรถไปพร้อมกันด้วย กองเครื่องมือจัดอย่างเป็นระเบียบบนชั้นต่างจากของที่ให้วิมลคัดแยก ทุกอย่างยังคงเหมือนวันแรกที่เขาบอก

            บัณฑิตคุยเรื่องบริจาคของกับวิมลมาร่วม ๒ สัปดาห์ ทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะเคลียร์บ้านครั้งใหญ่ให้มีที่ว่างมากขึ้น เขาจัดการอุปกรณ์ช่างตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจ ส่วนลูกสาวพูดเพียงแค่ว่า --- นัดคนรับบริจาคได้แล้วค่อยคัดแยก

"มล ! ไม่ลงมาเก็บของล่ะลูก ของมันเยอะจนพ่อเข็นรถไม่ได้แล้วเนี่ย" บัณฑิตชะโงกตัวตะโกนบอก เขาแน่ใจว่าเช้าวันอาทิตย์เช่นนี้ลูกสาวไม่ออกไปไหน --- ตามคาด วิมลในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินหาวเกาหัวแกรก ๆ ลงมา ถ้าเป็นปกติเขาคงเอ็ดเรื่องเสื้อผ้า แต่อยู่ในบ้านเช่นนี้จะยกให้สักครั้ง

            "ยังเช้าอยู่เลยพ่อจะรีบตื่นไปไหนเนี่ย ของก็ไม่ได้เยอะสักหน่อย" วิมลแย้งทั้งที่ยังไม่ได้กวาดตาสำรวจเสียด้วยซ้ำ

บัณฑิตเตรียมอ้าปากบ่น ลูกสาวยกมือขึ้นห้ามพร้อมจัดเรียงของบนพื้นพอเป็นพิธี หนังสือนิทานยกไปรวมกับหนังสือเรียนให้มีพื้นที่กว้างขึ้นอีกราวกระเบื้องหนึ่งแผ่น เสื้อผ้าที่บอกว่าจะพับใส่ลังกระดาษตอนนี้ถูกโยนลงไปโดยไม่คัดเลือก ตอนแรกเจ้าตัวบอกว่าจะคัดอีกรอบว่าตัวไหนยังใส่ได้ บัณฑิตมองลูกสาวทำงานแล้วได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเป็นสมัยที่เขายังทำงานรับเหมาลูกน้องคนไหนทำงานแบบนี้ได้มีตบกบาลจนมองหน้ากันไม่ติด เห็นลูกสาวทำเช่นเดียวกันคงได้แต่โทษว่าเป็นเวรกรรม

            "นั่นจะเอาไปไหนน่ะ ?" บัณฑิตถามเมื่อเห็นวิมลโยนเสื้อผ้าคุ้นตาลงกล่อง

            "ก็บริจาคไงพ่อ" วิมลเลิกคิ้วราวกับสิ่งที่เธอทำเป็นเรื่องผิด

            "นั่นเสื้อผ้าของแม่ จะบริจาคไปทำไม"

            "ก็มันไม่มีใครใส่แล้ว พ่อจะเก็บเอาไว้ทำไมล่ะ" วิมลตอบทันทีพร้อมโยนเสื้อผ้าแม่ที่แยกไว้ลงกล่องรอบริจาค

            "หยุดเลยนะ ! จะบริจาคชุดของแม่ไม่ได้" บัณฑิตเลื่อนรถเข็นตรงไปหมายแยกเสื้อของภรรยาออกจากกล่อง

            "พ่อ ! แม่จากไปสองปีแล้วนะ พ่อจะยังยึดติดกับของพวกนี้ทำไม" วิมลดึงเสื้อของแม่จากมือเขาพร้อมโยนลงไปในกล่องกระดาษ "ถ้าพ่อไม่ตัดใจ เราก็ไปข้างหน้ากันต่อไม่ได้ !"

            "มล ! อย่ามาขึ้นเสียงกับพ่อนะ" บัณฑิตเร่งเสียงให้ดังกว่า

            "พ่อก็เป็นแบบนี้ทุกที พอคุยด้วยเหตุผลไม่ได้ก็ตะโกนให้ดังกว่า" วิมลปล่อยเสื้อผ้าของแม่พร้อมลุกขึ้นยืน "พ่อรู้ตัวบ้างหรือเปล่า ตอนนี้พ่ออยู่กับอดีตจนลืมปัจจุบัน แล้วก็ไม่มองอนาคต"

            "ไอ้มล !"

            "พ่อเอาแต่นั่งรถเข็น บอกว่าตัวเองเดินไม่ได้ --- เป็นคนพิการ พ่อจำไม่ได้เหรอ หมอบอกกับพ่อเองว่าถ้าทำกายภาพ พ่อยังมีโอกาสกลับมาเดินได้"

            "มึงไม่เป็นกูมึงไม่รู้หรอก ! แค่กูเหยียบลงไปที่พื้นกระดูกกูก็เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ มึงไม่ใช่คนเจ็บแบบกูนี่ !

            เมื่อคุยกันไม่ได้ต่างฝ่ายจึงหันหลังใส่กัน วิมลเดินกลับขึ้นบ้าน ส่วนเขาดันรถเข็นออกมาด้านนอก ยอมทนมองเศษขยะหน้าบ้านยังดีกว่า

 

            ถัดจากบ้านมา ๕-๖ หลังมีร้านกาแฟ ถ้าเดินยังไม่ทันเหนื่อย แต่ใช้สองมือเข็นล้อรถก็ทำให้บัณฑิตรู้สึกล้าแขน เพื่อนบ้านวัยเดียวกันยกมือทัก บัณฑิตสนิทกับ ฮั้ว พอสมควร ชายผมบางเคยแนะนำลูกค้าให้หลายคน เจ้าของร้านยกกาแฟดำร้อนมาเสิร์ฟโดยที่เขาไม่ต้องสั่ง มากินแทบทุกวันจนเป็นลูกค้าประจำ

            "เห็นด้วยกับฉันใช่ไหม เลี้ยงมันมาจนโตไม่สำนึก ยังมาด่ากันฉอด ๆ" บัณฑิตกระแทกแก้วกาแฟลงโต๊ะเสียงดังจนเจ้าของร้านชำเลืองมอง

            "อยู่บ้านเดียวกันมันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างแหละ" ฮั้วบอกให้เขาใจเย็น --- ลองมาเจอแบบนี้บ้างใครจะเย็นลง

            ฮั้วยิ้มให้ราวกับรู้ว่าต้องรับฟังเรื่องเดิม ๆ ซ้ำอีกเป็นครั้งที่เท่าไรจำไม่ได้เมื่อบัณฑิตอ้าปาก ย้อนกลับไปเมื่อ ๒ ปีก่อน เขาและภรรยาขับรถกลับจากทำงานตามปกติ ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นเขาคงถึงบ้านประมาณ ๒๓.๐๐ น แต่สุดท้ายคืนนั้นเขาต้องไปโรงพยาบาล

            รถเก๋งราคาแพงพุ่งฝ่าไฟแดงเข้าปะทะกลางลำรถกระบะสีเขียวหัวเป็ด อายุใช้งาน ๑๐ กว่าปีทำให้เหล็กไม่อาจต้านแรงปะทะได้ รถของเขาพลิกคว่ำ ส่วนรถอีกฝ่ายยังคงนิ่งมีเพียงช่วงหน้ารถยุบและถุงลมนิรภัยทำงานกระแทกให้คนขับหมดสติ เขาและภรรยาส่งเสียงโอดครวญก่อนรู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล --- พร้อมทั้งข่าวร้ายที่ยากทำใจ

            ความสูญเสียมหาศาลเกินรับไหวโถมเข้ามาในคืนเดียว เขาสูญเสียขาทั้ง ๒ ข้าง ตั้งแต่เอวลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ อันที่จริงเขายอมพิการตลอดชีวิตถ้าแลกกับให้ภรรยายังมีชีวิตอยู่เคียงข้าง --- เป็นแค่ความหวังที่ไม่อาจเป็นจริง สิ่งที่เหลืออยู่คือความทรงจำและลูกสาวที่กลายเป็นเสาหลักของครอบครัว

            บัณฑิตถามตัวเองว่าชาติที่แล้วทำกรรมอะไรไว้ เหตุใดต้องรับเคราะห์เพียงคนเดียว ตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องไม่แม้แต่มางานศพภรรยา ส่งเพียงพ่อแม่มาแสดงความเสียใจ อ้างว่าลูกชายเป็นโรคซึมเศร้าต้องส่งตัวบำบัด --- มันมีโอกาสได้รักษา ส่วนเขากับภรรยาไม่เหลือแม้โอกาสให้ร่ำลากัน

 

            ชีวิตวันนี้เริ่มต้นเหมือนเช่นทุกวัน ต่างเพียงแค่วิมลไปทำงาน ลูกสาวออกไปตั้งแต่เช้าบอกว่าวันนี้มีประชุมด่วน แต่ยังไม่ทันถึงเที่ยงบัณฑิตกลับเห็นชื่อเธอปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์

            "ฮัลโหล --- พ่อ! หนูลืมจ่ายค่าไฟ ถ้าไม่จ่ายวันนี้เขาจะมาตัดไฟแล้ว"

            "แกก็จ่ายผ่านมือถือสิ" บัณฑิตบอกวิธีที่เขาเห็นลูกสาวทำเป็นประจำ

            "เงินในบัญชีหนูไม่พอ" วิมลตอบกลับ "แล้ววันนี้หนูลืมกระเป๋าตังค์ด้วย บัตรเครดิตก็ไม่ได้เอามา"

            บัณฑิตเริ่มมีลางสังหรณ์ของเคราะห์ร้าย --- ชัดเจน วิมลบอกให้เขานำบัตรเครดิตและใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าไปจ่ายที่มินิมาร์ท --- ฝั่งตรงข้ามหมู่บ้าน

            บัณฑิตเคยคิดเสมอว่าเหตุใดมินิมาร์ทที่กระจายทั่วประเทศร่วม ๑๐,๐๐๐ สาขาจึงไม่มีในหมู่บ้าน อาจด้วยว่าหมู่บ้านนี้มีแค่ไม่กี่ครอบครัว ไม่คุ้มค่าลงทุน ชายบนรถเข็นลากตัวเองมาจนถึงหน้าหมู่บ้าน เสื้อกล้ามชุ่มเหงื่อหาได้เกิดจากความล้า เหงื่อนั้นไหลเมื่อเห็นกำแพงสูงที่เรียกว่าถนน ๔ เลน

            เขามองซ้ายแลขวาให้แน่ใจว่าไม่มีรถแล่นมา ประสบการณ์สอนให้เขาระมัดระวังมากกว่าเดิม ๒ เลนแรกไม่มีปัญหา แต่ก่อนจะเข้าสู่ ๒ เลนสุดท้ายเขาต้องพบเจอศัตรูตัวร้ายที่ยืนหัวโด่อยู่กลางถนน --- เกาะลอยและเสากั้นรถมอเตอร์ไซค์

            ปัญหามอเตอร์ไซค์กลับรถจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งทำให้เจ้าหน้าที่แก้ปัญหาโดยนำเสากั้นมาปักไว้บริเวณเกาะลอย เว้นที่ให้คนข้ามตามทางม้าลาย หากแต่พวกท่านผู้อวัยวะครบลืมคิดถึงบุคคลที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น

 

            "แกไม่รู้หรอกว่าพ่อต้องเจออะไรบ้าง !" บัณฑิตเปิดฉากทันทีเมื่อวิมลเดินเข้ามาในบ้าน

             ยังไม่ทันที่ลูกสาวจะถอดรองเท้า เสียงเอ็ดของพ่อทำให้เธอชะงัก บัณฑิตบอกว่าเกิดมาเขาไม่เคยต้องอับอายขนาดนี้ ผู้ชาย ๓ คนช่วยกันประคองให้เขาแทรกตัวพ้นจากเสากั้น ก่อนจะยกรถเข็นข้ามมาและอาสาเข็นข้ามฝั่งมาให้ --- ในสายตาคนละแวกนี้เขากลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์ เป็นตัวประหลาดให้ใคร ๆ นินทา

            "ก็พ่อจะให้หนูทำยังไง ปล่อยให้เขามาตัดไฟแล้วก็ไปเสียค่าปรับอย่างนั้นเหรอ ?" วิมลถามกลับเสียงเรียบ "พ่อ --- พ่อไม่ใช่คนพิการนะ พ่อแค่ทำตัวเหมือนคนพิการเท่านั้น"

            ลูกสาวบอกอีกครั้งเรื่องทำกายภาพ ใช่ว่าบัณฑิตไม่เคยลองแต่เขาไม่สามารถทนกับความเจ็บปวดระหว่างจับราวเหล็กช่วยเดินได้

            "หมอเขาก็บอกยิ่งถ้าอยู่บนรถเข็นนาน กล้ามเนื้อจะไม่ได้ทำงาน ต่อไปพ่อก็จะกลายเป็นคนเดินไม่ได้จริง ๆ"

"ยังไงกูก็เดินไม่ได้อยู่แล้ว !" บัณฑิตตวาดเสียงสั่น น้ำเสียงปะปนด้วยอารมณ์โกรธ อับอาย และเสียใจ

หลังจากประโยคนั้น --- มีเพียงความเงียบที่ครอบครองบ้านตลอดคืน

 

            "เมื่อไรมึงจะฟังที่กูพูดสักทีวะ ! กูบอกว่าให้เทขยะดี ๆ หน่อย เศษขยะมันเกลื่อนหน้าบ้าน !" บัณฑิตตวาดให้เสียงดังกว่าเดิมเมื่อเห็นคนเก็บขยะยังคงทำเหมือนเช่นทุกวัน

            "ลุง ๆ เกิดอะไรขึ้นครับ ?" คนขับรถเปิดกระจกออกมาถาม --- ครั้งนี้มีบางอย่างแตกต่างออกไป

            บัณฑิตบอกถึงความไม่พอใจที่มีต่อพนักงานท้ายรถ แต่เมื่อทราบจากคนขับทำให้เขาหน้าเสีย

            "ไอ้นี่มันหูหนวก ลุงพูดไปมันก็ไม่ได้ยินหรอก"

            สาเหตุที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำตำหนิของเขา คู่สนทนาของบัณฑิตสูญเสียการได้ยินแต่กำเนิด

            พนักงานเก็บขยะก้มศีรษะขอโทษเมื่อคนขับรถมาแปลสิ่งที่บัณฑิตพยายามบอกมาตลอดหลายเดือน

            "มันบอกว่าต่อไปจะระวังครับ" คนขับรถแปลภาษามือที่ชายแต่งตัวเหมือนกันบอก

            บัณฑิตขอให้คนขับช่วยแปลว่าเขาขอโทษ หลังจากนี้หน้าบ้านเขาคงสะอาดขึ้น --- บางทีอาจไม่ใช่แค่หน้าบ้าน

 

            "โอ๊ย !"

            วิมลวิ่งลงมาเมื่อได้ยินเสียงร้องของบัณฑิต เธอตกใจเมื่อเห็นเขานอนอยู่ที่สวนหลังบ้าน ลูกสาวรีบวิ่งมาประคองเขากลับขึ้นรถเข็น

            "พ่อเป็นอะไรหรือเปล่า ?"

            "ไม่ ๆ พ่อแค่อยากลองเหยียบพื้นดินดูว่ามันจะรู้สึกยังไง" บัณฑิตยิ้มแห้ง ก่อนขอให้วิมลทำในสิ่งที่เธอพยายามมาตลอด "ลูกช่วยนัดหมอกายภาพให้พ่อทีนะ"

            บัณฑิตตัดสินใจเมื่อเห็นดินที่เปื้อนเท้าของตัวเอง.

 

...........................................................

 

 Link ที่เกี่ยวข้อง

 

               “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

 

                วรรณกรรมออนไลน์