เรื่องสั้น : ในหีบไม้ใบเก่าของแม่ : เฉิดฉันท์
เรื่องสั้น : ในหีบไม้ใบเก่าของแม่ : เฉิดฉันท์
แม่จากไปหลายปีแล้ว แต่กลิ่นผ้าย้อมครามของแม่ยังไม่เคยจางจากไปไหน ยังอยู่ตรงนี้กับลูกประหนึ่งแม่ยังมีลมหายใจอยู่ กลิ่นผ้าย้อมครามของแม่ ไม่ได้จืดจางลงไปแม้แต่น้อย มันยังคงอ้อยอิ่งที่ปลายนาสิก อยู่ในความทรงจำของลูก แจ่มแจ้งชัดเจน เหมือนแม่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกครั้งที่คิดถึง มองไปที่นั่น แม่ยังนั่งอยู่ตรงนั้น อยู่ใต้ถุนเล้าข้าว มีหม้อนิลเรียงรายไปจนสุดใต้ถุน หม้อดินที่ใส่น้ำครามที่คนที่นี่เรียกว่าหม้อนิลสำหรับย้อมผ้ายังคงเรียงรายอยู่เหมือนเดิม แม่จะนั่งบนตั่งเตี้ย ๆ เหยียดขาทั้งสองเบี่ยงไปข้างใดข้างหนึ่ง มือคนหม้อนิลเบา ๆ หม้อนี้ หม้อนั้น และหม้อต่อ ๆ ไป จนกว่าจะหมดทุกใบ เสร็จแล้วแม่จะยกมือขึ้นดู ตั้งแต่หลังมือ จนถึงครึ่งข้อศอก เพื่อดูว่าครามกินมือ และแขนดีหรือไม่ สีหน้าของแม่อิ่มเอิบทุกครั้งเมื่อมองมือที่ระยับด้วยสีคราม สายตาของแม่เปี่ยมไปด้วยความสุข ที่หม้อนิลกินมือเป็นสีครามงดงาม
ก่อนจะมาเป็นหม้อนิล แม่ต้องเพียรพยายามอย่างมากกว่าจะมีหม้อนิลได้มากมายขนาดนี้ แม่ต้องปลูกต้นคราม เมื่องอกงามดีแล้ว จึงตัดครามเป็นมัด ๆ แช่ในโอ่งน้ำฝน จนเน่าเปื่อย เสร็จแล้วแม่จึงจะเก็บมัดกิ่งครามที่เหลือแต่ซากทิ้ง ใบเปื่อยเน่าเป็นเม็ดครามในน้ำ แม่จะปล่อยให้นอนก้นโอ่งก่อน พอตกตะกอนดีแล้วจึงค่อย ๆ รินน้ำทิ้ง ให้เหลือแต่เม็ดครามที่ตกตะกอนนอนก้น แล้วแม่ก็จะนำไปเลี้ยงในหม้อดิน ผสมด้วยน้ำดั่งไม้สมอที่เค็มปิ๊ด และน้ำแช่เปลือกเพกาข้น ๆ ค่อย ๆ เลี้ยง ค่อย ๆ ทะนุถนอมไม่ให้หม้อนิลตาย ระหว่างนั้น แม่ไม่ยอมให้เด็กเล็กเด็กน้อย หรือหมูหมากาไก่ เข้าไปยุ่มย่ามในเขตหม้อนิลของแม่ได้เลย การเลี้ยงหม้อนิลนั้น แม่จะต้องมีเม็ดครามที่นอนก้นโอ่งจำนวนมาก นำมาผสมกับน้ำดั่งหลาย ๆ ครั้ง คนจนกว่าหม้อนิลจะงามได้ที่ จึงค่อยย้อมผ้าที่แม่ทอไว้ตั้งแต่หน้าแล้ง จากสีขาวกลายเป็นสีคราม ผ้าย้อมครามหรือหม้อนิล จะส่งกลิ่นหอมกรุ่น สูดดมได้ชื่นใจ ไร้พิษภัย แม่จะนำผ้าที่ย้อมแล้วไปพาดตากที่ราวไม้ไผ่ จนกว่าจะแห้งสนิทดีแล้ว นั่นแหละ จึงค่อยเก็บพับเข้าหีบไม้ที่แม่ซุกไว้ในห้อง เพื่อรอวันที่จะนำออกมาตัดเย็บเป็นเสื้อ กางเกงให้ครอบครัวสวมใส่ ผ้าย้อมนิลของแม่สีสดสวย ใช้ตัดเสื้อสำหรับใส่ทำงาน เป็นผ้าสีนิลหรือสีคราม ที่คนละแวกท้องถิ่นที่นี่ เรียกสีดำ ซึ่งเหมาะสำหรับใส่ทำงานเกษตรกลางแจ้ง ทำไร่ทำนา เวลาสวมใส่เสื้อใหม่ย้อมคราม เหงื่อออกโชกตัว สีนิลจะออกกินตัวจนผิวเป็นสีครามไปหมด แต่กลิ่นของครามก็หอมกรุ่นชื่นใจไม่น้อยเลย ผ้าย้อมครามกล่าวกันว่าไม่มีพิษภัย ชาวนาละแวกบ้านจึงสวมใส่ผ้าย้อมครามกันทุกคน จนกว่าสีจะจืด หรือขาด กลายเป็นผ้าขี้ริ้วใช้เช็ดเท้า
ทุกปี แม่จะใช้ผ้าย้อมครามไปตัดเสื้อให้ลูก ๆ ทุกคน รูปทรงตามแต่ความต้องการของใคร หรือสุดแต่ฝีมือของช่างพื้นบ้าน ส่วนเสื้อของพ่อนั้น แม่จะลงมือตัดเอง เย็บเองด้วยฝีเข็มเย็บมือของแม่ ตัดกางเกงหูรูดด้วยผ้าย้อมคราม สำหรับเป็นกางเกงให้พ่อนุ่งทำงาน ตัดกางเกงขาสามส่วนให้พ่อใส่เที่ยวงาน หรืออยู่กับบ้าน เสื้อผ้าของพ่อทุกตัว แม่จะลงมือตัดเอง เย็บเองทั้งหมด ซึ่งใคร ๆ ก็ชมว่าฝีเข็มของแม่ละเอียดยิบ สมแล้วที่เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าประจำตัวพ่อ
แม่ยิ้มอย่างมีความสุข รู้สึกภูมิใจที่ใคร ๆ ก็ชม และพ่อก็ชอบ ในฝีมือตัดเย็บของแม่ แม้ว่าแม่จะมีแค่มีดตอก กับเข็มอีกเล่มเดียวก็ตาม แต่ฝีมือตัดเย็บของแม่นั้นละเอียด ได้สัดส่วนราวกับช่างมืออาชีพ ทั้งที่แม่ไม่เคยเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ามาก่อนเลย
ครั้งหนึ่ง แม่ย้อมผ้าเป็นลายนกกาเหว่าให้ลูกตัดเสื้อใส่กัน โดยแม่ใช้ผ้าขาวห่อเม็ดฝ้าย เรียงกันเป็นแถว ๆ แล้วมัดด้วยปอ ก่อนจะนำผ้าผืนนั้นไปย้อมในหม้อนิล นำไปตากให้แห้ง ครั้นตัดปอที่มัดออก พลิกเอาด้านเม็ดฝ้ายออกด้านนอก ก็จะกลายเป็นผ้าลายจุดสีขาว คล้ายลายนกกาเหว่า สีครามสลับกับขาว พราวไปทั้งผืนทีเดียว มองดูสวยงามมาก เพราะไม่เคยมีใครมีผ้าลายแบบนี้มาก่อน เมื่อตัดเสื้อเป็นตัว นำมาใส่ จึงกลายเป็นเสื้อลายนกกาเหว่า ลูกของแม่จึงถูกล้อว่า ไอ้นกกาเหว่าตั้งแต่นั้นมา
ตอนนั้น ลูกอายจนไม่อยากใส่เสื้อลายนกกาเหว่าตัวนั้น แต่แม่ก็พยายามคะยั้นคะยอให้ใส่ ทั้งที่ลูกพยายามบ่ายเบี่ยง แต่ก็ไม่พ้น แม่ให้ลูกใส่จนได้ และทุกครั้งลูกจะถูกเพื่อน ๆ เรียกว่า นั่นไอ้นกกาเหว่ามาแล้ว ลูกทั้งอาย ทั้งโกรธที่ถูกล้อยังงั้น
เสื้อตัวนั้น ใส่อยู่สองปี สีครามจึงจืด และค่อยๆกลืนกันเข้าระหว่างครามและขาว สุดท้ายก็กลายเป็นสีมอ ๆ กระดำกระด่างไม่เห็นจุดลายนกกาเหว่าอีกเลย ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ลูกไม่ได้ใส่เสื้อตัวนั้นอีกเลย ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี กลับจะดีใจเสียอีก ที่มันจืดจางจนหมดลายนกกาเหว่า ลูกไม่สนใจ ไม่คิดอยากได้มันอีก เพราะไม่อยากให้เพื่อนล้อว่า ไอ้นกกาเหว่าอีกต่อไป
เสื้อย้อมครามที่จืดจางกลายเป็นสีมอ ๆ ถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี แต่แม่ก็ยังอุตส่าห์เก็บเอาไว้ ไม่ยอมให้กลายเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดตีนอย่างผ้าอื่น ๆ แม่นำไปซัก แล้วเก็บเข้าหีบไม้อย่างดี ซึ่งลูกไม่เข้าใจว่าแม่เก็บเอาไว้ทำไม แม้จะสงสัยใคร่รู้แค่ไหน แต่ลูกก็ไม่เคยถามแม่สักครั้ง
หม้อนิลของแม่ยังเรียงรายใต้ถุนเล้าข้าวเต็มตลอดปีไม่เคยขาด พอตกหน้าแล้ง แม่ก็จะปั่นฝ้าย เข็นฝ้าย ทอผ้าทำเป็นผืน พอย่างเข้าหน้าฝน ต้นครามของแม่จะงามสะพรั่ง ตัดมัดเป็นกำ ๆ หาบมาแช่น้ำฝน ทำหม้อนิลเช่นเดิม มือของแม่จึงไม่เคยซีดจางสักที ยังคงเป็นสีครามขึ้นเงาระยับตลอดเวลา ซึ่งแม่ภูมิใจมากที่มือไม่เคยจางสีครามเลย พร้อมกันนั้น กลิ่นครามก็ยังกรุ่นอยู่ตลอดในบ้านของแม่ แม่พูดเสมอว่า เรื่องครามและผ้าเป็นหน้าที่ของแม่ที่จะทำให้พ่อกับลูก ๆ มีผ้าผืนงาม ๆ สวมใส่ตลอดปี และพ่อมีหน้าที่เผาดั่งไม้สมอให้แม่ตลอดเช่นกัน เผาแล้วก็หาบดั่งจากป่ามาไว้ใต้ถุนเล้าข้าว แม่จะได้ใส่ในถัง แช่ให้น้ำดั่งค่อยๆหยดลงไปในไหอีกใบ เพื่อนำไปผสมกับก้อนเม็ดครามที่เตรียมไว้
เสื้อสีครามของพ่อ กางเกงหูรูดก็สีคราม รวมทั้งกางเกงขาสามส่วนก็สีเดียวกัน เวลาพ่อสวมใส่ ทำงานจนเหงื่อชุ่มโชกตัว กลิ่นครามจะกรุ่นกำจายเข้าสู่นาสิก หอมกรุ่น สีหน้าของพ่ออิ่มเอิบมีความสุข เช่นเดียวกับเสื้อตัวใหม่ของลูกที่แม่เพิ่งตัดให้ สีครามยังสดใส เวลาใส่ กลิ่นครามกระจายเข้าจมูก ได้กลิ่นหอม แม้ว่าตอนนั้นลูกจะไม่ชอบเลยก็ตาม เพราะลูกคิดว่า มันเป็นกลิ่นล้าสมัย ไม่หอมหวนชวนดมเหมือนกลิ่นผ้าจากตลาดที่แม่เรียกกลิ่นเจ๊ก แต่ลูกก็ใส่จนสีซีดจาง และขาดรุ่ย จนใช้อีกไม่ได้ เสื้อของลูกถูกทิ้งกลายเป็นผ้าขี้ริ้วไปหลายตัว แต่บางตัวก็ถูกอีเลา ควายแม่คอกกินจนหมด แม่บอกว่ามันเค็มเหงื่อไคลของลูกที่ใส่แล้วไม่ค่อยซักจนกลายเป็นคราบเกลือขึ้นเต็ม เค็มจนควายกินแทนดินโป่ง
แม่เก็บผ้าเก่าย้อมครามไว้หลายผืน โดยที่ลูกไม่รู้ความประสงค์ของแม่ว่าเก็บเอาไว้ทำไม ต่อมาการทำผ้าย้อมครามลดน้อยลง ผู้คนต่างเลิกรา หันไปนิยมผ้าจากตลาดแทนผ้าย้อมครามฝีมือของคนในท้องถิ่น แม่เองก็เช่นกัน เมื่ออายุมากขึ้น การที่จะไปนั่งจ่อมอยู่กับหม้อนิล วันหนึ่งหลายชั่วโมงยังงั้น รู้สึกจะหนักเกินไปสำหรับแม่ พ่อก็แก่เกินไปที่จะแสวงหาไม้สมอมาเผาดั่งได้ ผ้าย้อมครามจึงกลายเป็นของล้าสมัย มือของแม่จึงค่อย ๆ จืดจางลงไป เช่นเดียวกับผ้าย้อมครามของแม่ที่เก็บเอาไว้ในหีบไม้เก่า ถูกนำออกมาตัดเสื้อ กางเกงให้พ่อสวมใส่งวดสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อน จนไม่เหลือ นอกจากผ้าครามเก่าขาดของลูก ที่แม่ซักสะอาด ตากแห้ง แล้วเก็บใส่หีบไม้เก่าราวเป็นของมีค่า
................................................................
สะโพกของพ่อกลายเป็นฝีหัวเข็ม เมื่อไปฉีดยากับหมอเถื่อน แล้วหมอที่เป็นสิงห์เหล้าขาว ฉีดยาที่แสบ ร้อน ราวฉีดน้ำพริกเข้าไป ทำให้สะโพกพ่อบวม อีกสัปดาห์ต่อมาก็แตกกลายเป็นแผล เปื่อยเน่า ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ กลับไปหาหมอคนนั้นก็ไม่รับผิดชอบ ให้แค่ยาทามาหลอดหนึ่งที่ไม่เกิดผลอะไร ด้วยความเชื่อของคนบ้านนอก หรือจะยังไงก็ไม่ทราบได้ แม่ตัดสินใจรักษาด้วยการประคบผ้าร้อนที่นึ่งในหวด ใช้เวลาประคบ ทุกวัน วันละสองครั้ง ครั้งละไม่น้อยกว่าสิบห้านาที ผ้าที่แม่ใช้นึ่งคือเสื้อของลูกที่แม่ซักสะอาดแล้วเก็บไว้นั่นเอง แม่บอกว่า ผ้าฝ้ายย้อมครามเป็นยา สามารถรักษาบาดแผลให้หายได้
เรื่องนี้เท็จจริงยังไง ลูกไม่รู้ แต่แผลที่สะโพกของพ่อค่อยๆเล็กลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หาย แผลปิดสนิทเมื่อเวลาผ่านไปกว่าครึ่งปี ผ้าย้อมครามของแม่ เป็นยาอย่างที่แม่เชื่อจริง ๆ
ยังไม่ทันที่แม่จะเก็บผ้าเข้าหีบไม้เก่าใบนั้น ลูกชายคนข้างบ้านก็ตกต้นไม้แขนเดาะ หลังจากใส่น้ำมันงา รักษาจนทุเลาแล้วก็มาหาแม่ ให้ช่วยนึ่งผ้าย้อมครามประคบให้ทุกวัน เช้าเย็น แม่ทำด้วยความเต็มใจ และภูมิใจในผ้าย้อมครามของแม่ แม่บอกว่า คนตกต้นไม้ ควายชน ฟกช้ำดำเขียว ประคบด้วยผ้าย้อมครามดีที่สุด เพราะครามและผ้าฝ้าย เป็นยาสำหรับช่วยให้หายฟกช้ำดำเขียว ช่วยลดความอักเสบ และสมานแผลได้ดี แม่จะยกตัวอย่างสะโพกของพ่อที่เป็นแผลเหวอะหวะ ถ้าไม่มีผ้าย้อมครามแล้ว ก้นของพ่ออาจจะขาดหายไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ได้
แขนของลูกชายคนข้างบ้านหายดีแล้ว ไม่มีอาการเจ็บปวดขัดยอกอยู่อีกเลย ทำให้แม่คุยได้ว่าผ้าย้อมครามของแม่มีผลทางยาจริง ๆ ใครไม่เชื่อก็ตาม แต่แม่เชื่ออย่างสนิทใจทีเดียว
แม่ซักและเก็บผ้าย้อมครามซึ่งเป็นเสื้อเก่าขาดของลูกเข้าหีบห่อเหมือนเดิม นาน ๆ ทีแม่ก็จะเอาออกมานึ่ง ประคบขาที่ปวด เอวที่เคล็ด หลังที่ยอก สักครั้งหนึ่ง พอหายดีแล้ว แม่ก็จะเก็บเข้าหีบไม้ใบนั้น ซุกไว้ตามเดิม
ย้อนกลับไปทีแรกลูกไม่เข้าใจว่าแม่เก็บเอาไว้ทำไม แค่ผ้าเก่าขาดเท่านั้นแต่เมื่อเห็นแม่นำออกมานึ่งประคบแก้ปวดเมื่อยบ่อย ๆ ลูกจึงเข้าใจ แม้แต่เสื้อลายนกกาเหว่า สีมอของลูก แม่ก็เก็บเอาไว้ แม้จะผ่านมาแล้วหลายปี เสื้อเก่าตัวนั้นก็ยังอยู่ในหีบไม้เก่าของแม่ใบนั้น จนกระทั่งแม่จากลูกไป
แต่ลูกยังไม่ปลงใจเชื่อว่า แค่ผ้าฝ้ายย้อมครามจะเป็นยาอย่างที่แม่เชื่อ
................................................................
มีช่วงหนึ่งที่ผ้าฝ้ายถูกมองอย่างเหยียดหยาม เพราะเป็นผ้าที่ไม่มีกลีบรีดถาวร ซักเสร็จทีก็ต้องพึ่งพาเตารีดที จึงจะเรียบราบ ไม่มีรอยยับย่นให้คนหัวเราะ ซักครั้งใด ก็ต้องจับกลีบรีดอีกทีจึงจะดูมีสง่าราศีขึ้นมาบ้าง ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงเมินหน้าหนี ด้วยความรังเกียจ ในความไร้รอยแห่งศักดิ์ศรีของมัน
แน่นอน ลูกคิดว่า มันน่าจะรวมถึงผ้าฝ้ายย้อมครามนั้นด้วย ทุกที่มักจะได้ยินเสียงผู้คนเหยียดหยามดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อพูดถึงผ้าฝ้ายที่ต่ำต้อยไร้ศักดิ์ศรี แตกต่างจากผ้าที่ทอจากโรงงานใหญ่ หรือผ้าที่ส่งมาจากต่างประเทศ ผู้คนต่างชื่นชม และให้การต้อนรับอย่างคับคั่ง ในวงสังคมทุกที่ จะกล่าวขวัญถึงผ้าเหล่านั้นไม่ขาดปาก สมกับราคาที่แพงลิบและคุณภาพดี สามารถรักษากลีบโง้งไว้อย่างมั่นคงถาวร แม้จะผ่านการซักแล้วก็ตาม กลีบของมันก็ยังคมกริบราวกับเพิ่งผ่านเตารีดมาหยก ๆ จนมีคนกล่าวว่า ผ้าพวกนี้ กลีบคมกริบ สามารถตัดปีกยุง หรือแมลงวันให้ขาดกระจุยได้
ความมอซอ ไร้ศักดิ์ศรีของผ้าฝ้าย ทำให้ผู้คนเมินหน้าหนี ไม่ไยดีอีกต่อไป แม้แต่คนในท้องถิ่นที่เคยถักทอผ้าฝ้าย เป็นผืน ตัดเย็บ เป็นเสื้อผ้าสวมใส่ ก็ยังไม่มีใครใส่ใจอีกเลย
อย่าว่าแต่คนเหล่านี้เลย แม้แต่คนปลูกฝ้ายก็ยังไม่มีความภาคภูมิใจสักนิด ปลูกฝ้ายเพื่อส่งขาย เพื่อยังชีพไปแต่ละวันเท่านั้น ตัวเองและลูกหลานกลับหันไปปลื้มในผืนผ้าที่มาจากโรงงานใหญ่ ตัดเสื้อใส่ กางเกงนุ่ง หรือตัดชุดนักเรียน ให้ลูกหลาน ตัดชุดใส่ไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผ้าที่เดินทางมาจากโรงงานใหญ่ หรือมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น เพราะหลงใหลในร่องรอย กลีบโง้งอันถาวรของมัน
ลูกหลานคนปลูกฝ้าย ไม่ไยดีผ้าฝ้าย ลูกหลานคนทอผ้าพื้นเมือง ไม่ไยดี ผ้าพื้นเมือง ต่างหันไปปลื้มอกปลื้มใจกับความศิวิไลซ์ของผืนผ้าที่จรมาจากต่างแดนหรือหลุดออกมาจากโรงงาน ที่พวกเขาทุ่มงบโฆษณา จนผู้คนหลงไปกับถ้อยคำเหล่านั้น
ผ้าฝ้ายจึงแทบไม่มีที่เหยียบยืน สถานะตกต่ำอย่างสุด ๆ ง่อนแง่นแทบไม่มีชื่อ ไม่มีคนสนใจ จะมีความสำคัญอยู่บ้างก็คือใช้ห่อศพ หรือห่อกระดูกเพื่อลูกหลานนำไปสรงน้ำหอมเท่านั้น
มีใครสักกี่คนที่ไยดีผ้าฝ้าย มีใครบ้างที่เห็นความสำคัญของผ้าฝ้าย อย่างดีเมื่อรู้ว่าเป็นฝ้าย ก็แค่นำไปทำด้ายสายสิญจน์ ทำฝ้ายผูกแขนบ่าวสาว หรือในงานสู่ขวัญบายศรี ซึ่งก็ใช้ไม่มากมายนัก ผูกแขนแค่เป็นพิธี พอผ่านไปสักสองสามชั่วโมงก็ถูกตัดทิ้งกองเกลื่อน ปล่อยให้เกลือกฝุ่นผงธุลีตามพื้นดิน นั่นคือยุคที่ตกต่ำสุด ๆ ของผ้าฝ้ายในยุคที่ผ้ากลีบโง้งครองโลก
แต่แม่ก็ยังเก็บผ้าฝ้ายย้อมครามเอาไว้ เก็บไว้อย่างดี ในหีบห่อที่แม่หวงนักหวงหนา แม่บอกว่า สักวันหนึ่ง ผ้าฝ้ายจะกลับมาครองความนิยมอีกครั้ง แต่ใครจะเชื่อ ในเมื่อแม่เป็นแค่คนทำผ้าย้อมครามคนหนึ่งเท่านั้น ที่พูดแบบนั้น เพราะแม่ต้องการประโลมใจตัวเอง ไม่ให้เจ็บปวดขมขื่นไปมากกว่านั้น แม่พยายามเยียวยาใจตัวเอง ในยามที่ผ้าฝ้ายตกต่ำสุดขีด
ลูกเองก็ไม่เชื่อ แต่ไม่ได้ขัดใจแม่จะเก็บงำยังไงก็เป็นเรื่องของแม่ ผ้าย้อมหม้อนิลสีคราม เหลืออยู่แต่เสื้อเก่าขาดที่แม่เก็บไว้อย่างทะนุถนอม ในหีบลั่นกุญแจอย่างดี ราวกับมันมีค่านักหนา
หีบไม้เก่าคร่ำคร่าใบนั้นไม่มีราคาค่างวดอะไร ลูกทิ้งมันไว้ที่ก้นตู้เสื้อผ้า ไม่หยิบฉวยออกมาอีกเลย จนกระทั่งลืมสนิทไปว่า ในนั้น มีของจุกจิกสองสามอย่าง ทั้งผ้าย้อมครามผืนเก่า เสื้อลายนกกาเหว่าเก่าขาดของลูก ซุกอยู่ ลูกลืมจริง ๆ แต่แม่นั้น ลูกไม่เคยลืม แม้แม่จะจากลูกไปหลายปีแล้วก็ตาม
................................................................
เมียของลูกตกต้นมะขาม ไหล่เดาะ มีรอยเลือดคลั่งตามเนื้อตัวเป็นจุดแดงช้ำ ต้นแขนบวมเปล่งอย่างน่ากลัว ต้องไปหาหมอฉีดยา กินยาอยู่นานนับเดือนจึงดีขึ้น แต่ที่หัวไหล่ยังไม่หายขาด วันดีคืนดีก็มีอาการขัดยอกขึ้น ปวดจนร้องโอดโอยในวันที่อากาศหนาว ผ่านไปกว่าสองปี หัวไหล่ของเธอก็ขัดยอก กำเริบขึ้นมาอีก คราวนี้เธอส่ายหน้า ไม่ยอมไปหาหมออีก เพราะหลายต่อหลายครั้งที่เวียนไปรักษา ทว่า หัวไหล่ที่เดาะตั้งแต่ปีโน่นก็ยังไม่หายขาดสักที ถึงจะไม่บวมเปล่งเหมือนครั้งแรก แต่ความขัดยอกตรงหัวไหล่ก็สร้างความเจ็บปวดรำคาญใจแก่ครอบครัวของลูก ลูกคิดว่า มันน่าจะมีบาดแผลที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงนั่นเองที่บอกให้ลูกรู้ว่า จะต้องมีบาดแผลซ่อนอยู่ภายในอย่างแน่นอน การเจ็บปวดของเธอ ทำให้หยูกยาสมัยใหม่พลอยสิ้นฤทธานุภาพไปด้วย ลูกพยายามหาหยูกยาทั้งแผนปัจจุบัน และแผนโบราณมารักษา แต่ก็ไม่เป็นผล กระทั่ง ไปกายภาพบำบัด แต่ไหล่เมียของลูกก็ยังขัดยอกอยู่ยังงั้น ต่อมาทำให้อ่อนแรง จับต้องสิ่งใดไม่ถนัด พลอยร่วงหลุดมือไปง่าย ๆ แขนของเมียลูกไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทำให้ลูกรู้สึกกังวลใจมาก เกรงว่า เธอจะกลายเป็นคนพิการ ครั้นหมดหนทางจริง ๆ ลูกก็หันไปหาสมุนไพรพื้นบ้านที่เคยใช้มาแต่สมัยปู่ย่าตายาย อย่างเช่น ใบหนาด ใบเป้า ย่างไฟรักษาคนตกต้นไม้ ควายชนได้ดี ลูกเสาะแสวงหามาย่างไฟประคบให้เธอ แต่ไหล่ของเมียลูกก็ยังไม่หาย เจ็บปวดขัดยอกอยู่ยังงั้น นี่ลูกจะทำยังไงดี เมื่อคนที่ลูกรัก ทุกข์ทรมานไม่สร่างซา แถมยังมีโอกาสจะกลายเป็นคนพิการอีกด้วย
เมื่อหมดหนทางจริง ๆ ทำให้ลูกคิดถึงแม่ ถ้าแม่ยังอยู่ แม่คงแก้ปัญหาให้ลูกได้
แม่ครับ ลูกหมดหนทางแล้วจริง ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกมีโอกาสย้ายตู้เสื้อผ้า ซึ่งจะต้องขนเสื้อผ้าออกหมด ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังอีกห้องหนึ่ง
หีบไม้ใบเก่าที่ซุกอยู่ใต้ก้นตู้เสื้อผ้าก็ปรากฏแก่สายตาของลูก ทีแรก ลูกงุนงงสงสัยว่ามีหีบอะไรอยู่ตรงนี้ แต่พอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงจำได้ว่ามันคือหีบไม้ใบเก่าของแม่ที่มอบเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายให้แก่ลูก
ลูกดีใจมาก รีบเปิดหีบออกดู ด้วยคิดว่าน่าจะมีอะไรสักอย่างซุกซ่อนอยู่ข้างใน แล้วลูกก็พบว่า ผ้าผืนเก่าที่แม่เก็บเอาไว้ ในนั้นยังคงอยู่ กลิ่นครามที่กรุ่นออกมากระทบนาสิก ทำให้ลูกหวนคิดขึ้นมาได้ ผ้าย้อมครามที่แม่เคยบอกว่า เป็นยาสำหรับประคบอาการเคล็ดขัดยอก ด้วยการนึ่งให้ร้อนแล้วค่อยนำมาประคบเบา ๆ ใช่ล่ะ ผ้าฝ้ายย้อมครามจะกลายเป็นยา
ลูกนำไปนึ่งจนร้อน เพื่อฆ่าเชื้อ แล้วนำมาประคบหัวไหล่ของเมีย ทำอยู่ยังงั้น ทั้งเช้าและเย็น ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน อาการปวดเคล็ดขัดยอก ค่อย ๆ ทุเลาลง ซึ่งลูกคิดว่า อีกไม่นาน หัวไหล่ของเธอคงจะหายเป็นปกติดี ลูกเชื่อในผ้าย้อมครามของแม่แล้ว
แม่จากลูกไปนานแล้ว แต่กลิ่นผ้าย้อมครามของแม่ ลูกยังจำได้เสมอ มันหอมกรุ่นในโพรงนาสิก ทุกครั้งเมื่อคิดถึงแม่ ทำให้ลูกมีความสุข ราวกับแม่มานั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่เคยจากไปไหนเลย.
................................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”