เรื่องสั้น : La Luce เราฤๅฉาย : นัทธมน น้อยพินิจ

เรื่องสั้น : La Luce เราฤๅฉาย : นัทธมน น้อยพินิจ

 

            คืนเดือนมืดไร้จันทร์ส่องสว่าง มีแต่ดาวพราวระยับเต็มท้องฟ้า ต่างส่งแสงกะพริบวิบวับดั่งเพชรพลอยดารดาษแข่งกันทั่วท้องฟ้า สายลมเอื่อยพัดพามาเบา ๆ ส่งให้ระลอกคลื่นพัดเป็นเกลียวเข้ากระทบฝั่ง
            “ฮ้าววว” เสียงหาวเล็ก ๆ ดังขึ้นมา
            “อ้าว เด็กน้อย เดินทางมาไกล เพิ่งตื่นสินะ” เสียงผู้อยู่ก่อนทักทายขึ้นมาด้วยนึกเอ็นดู
            “ครับ ผมเพิ่งมาจากก้นทะเล คลื่นพัดพาผมกับพี่ ๆ น้อง ๆ ขึ้นมาพร้อมกับน้ำทะเลเมื่อครู่ พอผมลงมานอนบนหาดนี้ก็เลยรู้สึกตัวตื่นพอดีเลยครับ” เม็ดทรายน้อยอธิบายด้วยเสียงเล็ก ๆ ของตน
            “เจ้าตัวกะเปี๊ยกนี่ เล็กจิ๋วแบบนี้อีกไม่นานก็คงสลายไปแน่ ๆ” เสียงกร้าวโพล่งขึ้นมา ต้นหญ้าริมทะเลจุปากอย่างไม่สบอารมณ์ ส่งเสียงกระแอมหวังปรามให้อีกฝ่ายระวังปากคำ แต่เจ้าก้อนหินก็ไม่สนใจ
            “ต้องดูอย่างฉันนี่แข็งแกร่งขนาดไหน ฉันอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน มากพอ ๆ กับอายุขัยของโลกนี้เชียวละ” ก้อนหินเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
            “แล้วคุณตาอยู่มายาวนานขนาดนั้น ไม่เหงาหรือครับ” เม็ดทรายน้อยถามด้วยความซื่อ แต่แล้วเขาต้องแปลกใจที่ไร้เสียงตอบจากก้อนหินกลับมา
            “คนแก่ก็แบบนี้แหละ คงเผลอผล็อยหลับไปแล้วล่ะนะ เด็กน้อย” ต้นหญ้าริมทะเลอธิบายเพื่อกลบเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ ของก้อนหินที่เมื่อได้ยินคำถามนั้นจากเม็ดทรายน้อย ก็พลอยทำให้เขานึกถึงคนที่เขารักที่แตกสลายไปแล้วนับไม่ถ้วน เหลือแต่เขาที่คงความยิ่งใหญ่ไว้ตามลำพังอย่างอ้างว้าง
            เม็ดทรายน้อยเงียบไปนานก่อนจะนึกเบื่อ จึงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เม็ดทรายที่อยู่ข้างบนนั้น ทำไมถึงส่องแสงสว่างได้ครับ” เด็กน้อยถามอย่างไม่เข้าใจ
            “นั่นไม่ใช่เม็ดทรายจ้ะ” ต้นหญ้าริมทะเลอธิบายด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นึกขำต่อคำถามไร้เดียงสา
            “นั่นคือดาวต่างหาก” เสียงอ่อนโยนอธิบายเพิ่ม
            “แล้วสักวันที่ผมโตขึ้น ผมจะลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้วส่องแสงประกายได้เหมือนเม็ดดาวพวกนั้นไหมครับ” เด็กน้อยยังไม่สิ้นข้อสงสัย
            “ดวงดาวที่เจ้าเห็นอยู่บนท้องฟ้า เหมือนอยู่ห่างไปไม่เท่าไร แต่จริง ๆ แล้วมันอยู่ห่างไกลไปเป็นหลายล้านกิโลเมตรเลยนะ” ต้นหญ้าเพียรตอบคำถามของเจ้าหนูจอมสงสัย
            “ล้านกิโลเมตรคืออะไร ผมไม่เข้าใจ” เม็ดทรายน้อยเอ่ยด้วยความข้องใจ
            “มันก็คือระยะทางที่ห่างไกลมาก ๆ ไกลมากกว่าขอบโลกทั้งสองฝั่งอยู่ห่างจากกันเสียอีก” เสียงคลื่นที่กระทบเข้าฝั่งอีกรอบช่วยตอบ
            “โอ้ คุณป้าคลื่นทะเลพาเพื่อน ๆ ใหม่มาด้วยเยอะแยะเลย” เจ้าเม็ดทรายน้อยเปลี่ยนความสนใจของตนไปยังเพื่อนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งถูกซัดขึ้นมายังชายหาดแห่งเดียวกับเขา
            “นี่ ๆ พวกนายเห็นบนท้องฟ้าไหม มีเม็ดดาวอยู่เยอะแยะเลย” เด็กน้อยยังคงเรียกเม็ดดาว เพราะเขาคิดว่าดาวกับทรายต่างก็มีขนาดเล็กจิ๋วไม่ต่างกัน
            “ทำไมพวกเราไม่สามารถส่องแสงแวววาวได้เหมือนเม็ดดาวพวกนั้นคะ” เม็ดทรายสาวน้อยเอ่ยถามขึ้นมา ไม่แปลกที่เด็กหญิงจะเกิดความรู้สึกอยากสวยและส่องประกายได้เช่นเดียวกับดวงดาว
            “พวกเราต้องทำอย่างไรจึงจะส่องประกายแบบเม็ดดาวข้างบนได้ครับ” เม็ดทรายน้อยเอ่ยถามอย่างอยากรู้ และแฝงด้วยความปรารถนาแรงกล้าที่จะส่องแสงประกายได้แบบเดียวกับดวงดาว
            “สิ่งที่ส่องแสงประกายได้ ไม่ได้มีแต่ดวงดาวหรอกนะ” คุณตาก้อนหินยักษ์พูดแทรกขึ้นมา
            “ฉันนอนหลับไม่ได้เลย เพราะพวกเธอคุยกันเสียงดังชวนหนวกหูเหลือเกิน มีอะไรต้องคุยกันนักหนา ไว้พรุ่งนี้เช้าไม่ได้หรือ” ก้อนหินถามอย่างหงุดหงิด ดูเป็นคนแก่เจ้าอารมณ์
            “แล้วมีอะไรที่ส่องแสงได้อีกหรือครับคุณตา” เม็ดทรายน้อยได้ยินประโยคแรกที่ก้อนหินชราพูดก็มุ่งความสนใจไปตรงนั้นทันที ไม่ได้ฟังประโยคที่เหลือต่อเลย ก้อนหินชราได้ยินคำถามนั้นก็ได้แต่คำรามในคอเบาๆอย่างอดรำคาญใจไม่ได้ แต่เขาก็คิดว่าถ้าไม่ตอบคำถามเจ้าหนูนี่ คืนนี้เขาอาจไม่ได้นอนทั้งคืน จึงข่มความง่วงลง แล้วอธิบายอย่างใจเย็น
            “ถ้าเป็นสิ่งที่ส่องแสงได้เองตามธรรมชาติ ก็มีดวงอาทิตย์ ที่เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงเจ้าก็จะได้เจอเขาแล้ว อย่างไรเขาก็มาทักทายพวกเราทุกวันนั่นแหละ ตอนกลางคืนก็ยังมีดวงจันทร์กับดาว แต่วันนี้เป็นวันพักผ่อนของดวงจันทร์ เจ้าเลยไม่ได้เจอเธอ แล้วยังมีพวกสัตว์ที่ส่องแสงได้ด้วย อย่างปลาทะเลน้ำลึกบางชนิด ก็มีแสงสว่างในตัวเองเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อสัตว์อื่นมาเป็นอาหาร” ก้อนหินยักษ์อธิบายยาวจนต้องหยุดพักชั่วครู่เพราะความเหนื่อย
            “นอกจากนี้ยังมีแมลงที่ส่องแสงได้ด้วยตัวเอง เรียกว่าหิ่งห้อย ที่ส่วนปลายลำตัวจะมีปล้องที่ส่องแสงได้ เป็นแสงกะพริบเป็นสีเหลือง...” เสียงอธิบายของบรรดาผู้ใหญ่ยิ่งดำเนินไปนานเท่าใดก็มีเสียงตอบกลับจากเด็ก ๆ น้อยลง ในที่สุดบรรดาเม็ดทรายน้อย ๆ ทั้งหลายที่เพิ่งขึ้นมาจากทะเลก็ผล็อยหลับลงเพราะความเหน็ดเหนื่อยจนหมด เกิดเป็นความเงียบขึ้นมา บรรดาผู้ใหญ่ต่างโล่งใจแล้วพากันหลับบ้างเช่นกัน

            แสงสว่างเรื่อเรืองสีส้มทองดุจผ้าม่านในวิมานของเทพยดาคลี่ขจายสยายเต็มท้องฟ้า ดั่งสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ได้ถูกถักทอให้เต็มฟากฟ้าที่กำลังค่อยแปรจากสีน้ำเงินครามที่เยือกเย็นเป็นสีอรุณรุ่งที่อบอุ่นถูกฉาบฉายเต็มผืนฟ้า แสงสว่างนี้ปลุกให้สรรพสิ่งที่ชายหาดแห่งนั้นตื่นขึ้นมาต้อนรับวันใหม่พร้อม ๆ กัน
            “อรุณสวัสดิ์ มีเม็ดทรายขึ้นมาจากใต้ทะเลเยอะเชียว” ดวงอาทิตย์ทักทายทุกคนอย่างคุ้นเคย
            “คุณคือใครเหรอครับ” เม็ดทรายน้อยที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อเจอกับแสงเจิดจ้านี้เขาถึงกับต้องหยีตาตัวเอง ก่อนเอ่ยถามตามประสาเด็กน้อยที่ใฝ่รู้และช่างสงสัยไปเสียทุกเรื่อง
            “เด็กน้อยนี่สินะที่พวกดาวเล่าให้ฟังเมื่อช่วงก่อนผลัดเวรกันมาเฝ้าท้องฟ้าว่ามีเจ้าเม็ดทรายจิ๋วช่างไซ้ช่างซักอยู่เม็ดหนึ่ง ฉันคือดวงอาทิตย์ เป็นผู้ให้แสงสว่างและความอบอุ่นบนโลกนี้ ถ้าไม่มีฉัน โลกดวงนี้ก็จะไม่มีชีวิตใดสามารถอยู่รอดได้เลย” ดวงอาทิตย์ตอบเม็ดทรายน้อย แล้วยังยิ้มเอ็นดูให้อีกด้วย
            “คุณดวงอาทิตย์รู้ไหมว่าบนโลกเรามีอะไรมีแสงสว่างได้บ้าง ผมอยากสว่างเป็นประกายเหมือนเม็ดดาวบนฟ้า” เม็ดทรายน้อยยังไม่เลิกล้มความปรารถนานี้ของตน
            “โลกของเรามีสัตว์ชนิดหนึ่งที่หยิ่งผยองว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ มีสมองเป็นเลิศเหนือสัตว์อื่นใด ถึงกับมีบางจำพวกในหมู่พวกนั้นเรียกเหมารวมสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกที่ไม่ใช่พวกตนว่าเป็นพวกกระดูกสันหลังขนานไปกับโลก เพราะพวกตนเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่มีหลังตั้งฉากกับพื้นโลก สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์นี้เรียกว่ามนุษย์ และเพราะความเก่งกาจของเผ่าพันธุ์ มนุษย์จึงค่อนข้างจะคิดว่าตนยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าเทียบกับจักรวาลนี้ มนุษย์ก็เป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กจ้อยเท่านั้น ไม่ต่างจากเม็ดทรายอย่างเจ้าที่มารวมตัวกันมากมายบนหาดทรายนี้นั่นแหละ” ดวงอาทิตย์พูดจาด้วยศัพท์แสงที่เข้าใจได้ยาก        “มนุษย์มีมันสมองเป็นเลิศจริง พวกเขาสามารถประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่าไฟฟ้าขึ้นมาได้ จากนั้นพวกเขาก็สามารถนำไฟฟ้ามาเอาชนะความมืดมิดได้ พวกเขาสามารถเสกแสงสว่างขึ้นมาในยามค่ำเพียงแค่ขยับนิ้วมือเดียว พวกเขาไม่ต้องกลัวเวลากลางคืนอีกแล้ว ดวงอาทิตย์จึงไม่ได้สำคัญอะไรมากมายสำหรับพวกเขาอีกต่อไป” ดวงอาทิตย์พูดราวกับปรารภกับตัวเองมากกว่าจะตอบเม็ดทรายน้อย
            “จริงสิ เจ้าคงไม่เข้าใจที่ฉันพูด สรุปคือ สิ่งที่สามารถส่องแสงสว่างได้ นอกจากพวกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแล้ว ก็มีพวกแสงสว่างที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั่นแหละ แสงสว่างที่พวกมนุษย์สร้างก็สว่างพอ ๆ บแสงของฉันนี่แหละ เข้าใจแล้วหรือยัง” ดวงอาทิตย์อธิบายเพิ่มเมื่อเห็นเม็ดทรายน้อยอ้าปากค้างและมีสีหน้างงงวย ซึ่งฝ่ายหลังก็พยักหน้ารับทั้งที่ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าใดนัก

            ณ ยามรุ่งอรุณ ลมเอื่อยยังคงพลิ้วเรื่อยเกิดเป็นสายลมจากทะเลพัดเข้ามายังชายฝั่งอยู่เนือง ๆ ทำให้เกิดคลื่นครืนมาเป็นระลอก ฟองขาวละเอียดละเลียดไล้ไปกับผืนทรายที่นอนลาดรับไออุ่นจากตะวัน หลายสรรพชีวิตเริ่มตื่นขึ้นมาต้อนรับวันใหม่อย่างแจ่มใส
            “อ้าว วันนี้พาใครมาอีก แม่คลื่นทะเล” ก้อนหินใหญ่เอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัยเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งเพิ่งกลิ้งออกมาจากเกลียวคลื่น สิ่งนั้นกลิ้งต่อไปอีกเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่งบนผืนทรายที่ขาวละเอียด
            “อ้อ เจ้าขวดแก้วนี่เอง มนุษย์คงทิ้งขยะลงแหล่งน้ำอีกสิท่า” หินก้อนใหญ่พูดอย่างผู้ใหญ่ที่รู้จักโลกเป็นอย่างดี เขาเห็นก็เข้าใจทันทีว่าสิ่งที่เขาเรียกว่าขวดแก้วนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
            “สวัสดีครับ ถูกอย่างที่คุณพูดนั่นแหละ ผมเองยังจำไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองมาจากที่ไหนกันแน่ด้วยซ้ำ เพราะถูกทิ้งมาเสียนาน กว่าจะถูกกระแสลม กระแสคลื่นทะเลพามาจนถึงที่นี่ แต่ผมเหนื่อยเหลือเกิน ไม่อยากไปไหนแล้วล่ะ” เจ้าขวดแก้วพูดยาวพลางถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยและอ่อนแรง
            แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องมาที่ขวดแก้ว ทำให้สีเขียวของขวดแก้วเป็นประกายภายใต้แสงตะวัน แสงนี้ส่องกระทบไปบนผืนทรายทำให้เม็ดทรายน้อยที่ยังหลับอยู่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา เขาหรี่ตาสู้แสงประกายเจิดจ้าที่ส่องมาจากขวดแก้ว
            “คุณคือใครหรือครับ สีสวยมาก สีเหมือนคุณป้าหญ้าริมทะเลเลย” เด็กน้อยโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น
            “เจ้าตัวเปี๊ยกนี่ตลกดีจัง ฉันคือขวดแก้ว เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างมา สีของฉันเรียกว่าสีเขียว สีเดียวกับต้นหญ้านี่ล่ะ” ขวดแก้วตอบด้วยน้ำเสียงยังปนความเหน็ดเหนื่อยอยู่
            “นี่เองสินะ สิ่งที่ส่องแสงสว่างได้ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองแบบที่คุณปู่ดวงอาทิตย์บอก” เม็ดทรายน้อยยังไม่คลายตื่นเต้น
            “มนุษย์รู้จักประดิษฐ์แก้วขึ้นมาเมื่อราวสี่พันปีก่อน แก้วถูกสร้างขึ้นให้มีรูปลักษณ์ต่าง ๆ กัน เป็นแก้วเครื่องดื่มบ้าง เป็นภาชนะบ้าง ทำเป็นเครื่องประดับก็ได้ หรือจะเป็นส่วนหนึ่งของโคมไฟก็ได้เช่นกัน”
            “แล้วมานุดสร้างคุณขึ้นมาอย่างไรหรือครับ” เม็ดทรายน้อยออกเสียงคำว่ามนุษย์ตามความเข้าใจ       “ได้ยินแล้วอย่าตกใจนะ มนุษย์สร้างแก้วขึ้นมาจากเม็ดทรายแบบเธอนี่แหละ” ขวดแก้วสีเขียวตอบ คำตอบนี้ทำให้เม็ดทรายน้อยตกใจไม่น้อยจริง ๆ
            “แล้วถ้าผมอยากให้มนุษย์เอาผมไปสร้างเป็นสิ่งที่ส่องประกายได้ ต้องทำอย่างไรหรือครับ” เม็ดทรายน้อยถามอย่างตื่นเต้น
            “ก่อนอื่น เจ้าต้องกลับลงทะเลไป แล้วไปขึ้นฝั่งที่อื่น บนหาดที่เขาเลือกทรายไว้สำหรับทำแก้ว จากนั้นเจ้าก็ต้องทนกับความร้อนมหาศาล ร้อนเสียจนคิดว่าจะตายให้ได้เดี๋ยวนั้น เมื่อผ่านการหลอมจนเสร็จสิ้น เจ้าจะถูกนำไปใส่แร่ธาตุเพื่อให้เกิดเป็นสีต่าง ๆ หรือไม่ก็เป็นแก้วใส แล้วเขาก็จะนำเจ้าไปหลอม ไปบิด ไปดัดอีกทีเพื่อขึ้นรูปให้ได้รูปร่างตามที่พวกเขาต้องการ เป็นอย่างไร ได้ฟังขั้นตอนแล้วยังอยากเป็นอยู่อีกไหม” ขวดแก้วถามหยั่งเชิง เพราะเขาเองรู้ดีถึงความทรมานอย่างสาหัสว่ากว่าที่มวลทรายจะกลายเป็นแก้วได้ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง แล้วถ้าวันหนึ่งที่เม็ดทรายน้อยได้กลายเป็นแก้วตามที่หวังไว้แล้ว หากโดนทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี เพราะหมดคุณค่าแล้วแบบที่ขวดแก้วเผชิญอยู่ตอนนี้ เม็ดทรายน้อยจะรู้สึกอย่างไร
            “ถึงอย่างไรผมก็อยากเป็นแก้วที่สวยงามแบบพี่ครับ ถึงผมอาจจะถูกทิ้งจากมนุษย์ก็ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นผมจะพยายามให้คุณป้าคลื่นทะเลพัดพาผมกลับคืนมาที่หาดแห่งนี้อีกครั้งให้ได้” เม็ดทรายน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมฝัน
            “เธอแน่ใจแล้วเหรอ” เสียงจากเม็ดทรายเล็ก ๆ อีกหลายเม็ดบนหาดดังขึ้นมาแย้งความคิดของเม็ดทรายน้อยทันที
            “แล้วเธอไม่อยากเป็นของที่ส่องประกายได้ด้วยตัวเองแบบเม็ดดาวแล้วเหรอ” เม็ดทรายน้อยถาม
            “ฉันก็อยากส่องประกายได้ ฉันก็อยากสวย แต่ถ้าให้เจอทั้งความร้อน ทั้งความทรมานจากการบีบอัดขึ้นรูป ฉันคงไม่ไหว จะให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันไปเจอเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร” เม็ดทรายสาวน้อยตอบ
            “แล้วเธอจะมีประกายด้วยตัวเองได้อย่างไร” เม็ดทรายน้อยสงสัย
            “ฉันเคยได้ยินมาว่า ถ้าเม็ดทรายที่อยู่ใต้ทะเลได้เป็นหนึ่งเดียวกับหอยบางชนิด ตัวเม็ดทรายเองจะกลายเป็นไข่มุกที่งดงาม แล้วไข่มุกเป็นสิ่งที่ยิ่งมืดยิ่งส่องประกาย พวกมนุษย์ผู้หญิงชอบไข่มุกมาก ๆ” เม็ดทรายสาวน้อยเอ่ยถึงฝันของตนออกมา
            “ฉันไม่เห็นอยากจะไปที่ไหนเลย” เสียงจากเม็ดทรายเล็ก ๆ อีกเม็ดที่อยู่ใต้ต้นมะพร้าวใหญ่ที่ห่างไกลออกไปโพล่งขึ้นมา
            “เราอยู่บนหาดนี้ก็สุขสงบแล้ว ไม่เห็นต้องอยากผจญภัย ไม่เห็นต้องอยากเป็นอะไรเลย” เม็ดทรายเล็กโวยวายเสียงดังอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมทรายเม็ดอื่นต้องอยากจากที่นี่ไปด้วย
            “เอาละเด็ก ๆ เอาอย่างนี้นะ ถ้าใครมีฝันแล้วอยากทำตามฝันของตัวเอง ให้คืนนี้มารวมตัวกันที่ริมหาดนี้ แล้วพอน้ำขึ้นเต็มที่ตอนเที่ยงคืน หรืออีกสิบสองชั่วโมงนับจากนี้ คืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวงด้วย ป้าจะน้ำขึ้นเต็มที่ จะช่วยพาเหล่าเม็ดทรายเปี่ยมฝันให้กลับลงไปยังทะเลอีกครั้ง แล้วเลือกเส้นทางเดินตามฝันอย่างที่ใจต้องการเลยจ้ะ ส่วนใครที่ยังรักในที่ที่เติบโตมา ก็จงยืดหยัดอย่างมั่นคงในความคิด เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีใครถูกหรือผิดนะ” คลื่นทะเลรีบเข้ามาเสนอทางแก้ ก่อนที่เหล่าเม็ดทรายจะขัดแย้งกันเองเพราะความฝันของแต่ละคนไม่ตรงกัน เมื่อได้ยินข้อเสนอของคุณป้าคลื่นทะเล เสียงขานรับก็เซ็งแซ่ จากนั้นทั้งหาดทรายก็เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจของเด็ก ๆ ที่พูดคุยกันถึงการที่จะได้ไปใช้ชีวิตอย่างที่ตนต้องการ

            กาลเวลาผ่านไป...

            เม็ดทรายสาวน้อยที่เฝ้าอดทนรอจากการที่ตนและเม็ดทรายอีกมากมายมารวมตัวกันอย่างแออัดภายใต้เปลือกหอยตัวหนึ่ง เมื่อมีมนุษย์ค้นพบหอยตัวนี้ เขานำไข่มุกกลับไป ในที่สุดเธอก็ได้เป็นไข่มุกเม็ดเดี่ยวบนเรือนแหวนบนนิ้วของหญิงสาวคนหนึ่ง เม็ดทรายสาวน้อยส่องประกายอย่างงดงามแม้ในความมืด

            เม็ดทรายน้อยถูกพัดพาไปยังหาดแห่งหนึ่ง จากนั้นไม่นานก็มีมนุษย์พาเขาเคลื่อนย้ายไป เขาได้ผ่านกระบวนการมากมายแบบที่ขวดแก้วเล่าให้ฟัง บัดนี้ เขากลายเป็นกระจกที่ถูกย้อมสีจนสวยงาม และได้รับการเจียระไนจนสะท้อนแสงตะวันวับวามราวเพชร เขาได้รับการผูกโยงเชื่อมใยกับกระจกเจียระไนหลากสีหลายรูปทรงอีกหลายชิ้น แล้วในที่สุดเขาก็ถูกนำมาแขวนที่ริมหน้าต่างห้องของหญิงสาวคนหนึ่ง แสงอาทิตย์ส่องผ่านเม็ดทรายน้อยที่บัดนี้กลายเป็นซันแคชเชอร์ที่งดงาม เม็ดทรายน้อยภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ทุกเช้าเขาจะได้เห็นหญิงสาวเจ้าของห้องมานั่งตรงเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขา แสงอาทิตย์อันอบอุ่นและมีชีวิตชีวาได้ถ่ายทอดสีสันที่มหัศจรรย์ให้อาบไล้ทั่วร่างของเธอที่นั่งอยู่เบื้องล่าง หญิงสาวแปรเปลี่ยนสีสันบนตัวไปตามสีจากกระจกสีและแก้วเจียระไนตามแต่ลมจะพัดผ่านพาไปเหล่านั้น เธอดูราวเจ้าหญิงจากในนิทาน นอกจากนี้เม็ดทรายน้อยยังได้ยินหญิงสาวคนนั้นเอ่ยชื่นชมแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์กับเหล่าแก้วเจียระไนที่แขวนไว้ เธอพูดเสมอว่าเธอจะทำให้ความฝันของเธอสวยงามและสว่างไสวแบบเดียวกับแก้วเหล่านี้ให้ได้ในสักวัน

            ส่วนเม็ดทรายจิ๋วที่อยู่บนหาดดังเดิม แม้เขาจะเหงาบ้างที่เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน เดินทางไปตามฝันกันเสียเยอะ แต่เขาก็ได้พบเพื่อนใหม่ ๆ ตลอดเช่นกัน
            เช้าวันหนึ่ง เมื่อบรรดานกที่ส่งเสียงทักทายกันอย่างร่าเริงหลังคืนฝนร้ายที่พัดพาให้ทะเลมีคลื่นลมที่บ้าคลั่งผ่านพ้น เสียงเหล่านกนั้นปลุกให้เม็ดทรายจิ๋วตื่นขึ้นมา แสงพร่างตาทำให้เขาต้องแปลกใจจนต้องเงยหน้าขึ้น เขาพบว่าลมแรงที่โหมกระหน่ำเมื่อคืนได้พัดพาเอาส่วนยอดของต้นมะพร้าวที่เคยบดบังพื้นที่ที่เขาอยู่มาตลอดหักโค่นลงมาจนได้ เม็ดทรายจิ๋วจึงเพิ่งสังเกตว่ากิ่งก้านของต้นไม้ที่อยู่ใต้ต้นมะพร้าวนั้นมีกิ่งที่ไขว้กันราวรูปดาว ทำให้เมื่อแสงตะวันยามเช้าที่ส่องลอดกิ่งไม้นั้นลงมา แสงทิวาจึงทอทอดเป็นรูปดาวที่ส่องสว่างได้แม้ยามกลางวัน

            และทำให้เขากลายเป็นเม็ดทราย ที่อยู่ตรงกลางของดาว ที่เปล่งประกายด้วยแสงอรุณ ในวันที่ขอบฟ้าเป็นสีทองไสว...

 

.....................................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

 

              “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

 

               วรรณกรรมออนไลน์