เรื่องสั้น : บุ๊คคลับใต้ร่มไม้ : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง
เรื่องสั้น : บุ๊คคลับใต้ร่มไม้ : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง
“กฎข้อแรกของไฟต์คลับคือ ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดพูดถึงไฟต์คลับ
ส่วนกฎข้อแรกของบุ๊คคลับคือ ให้พูดถึงบุ๊คคลับบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะพูดได้”
ผมสมัครเรียนครูศิลปะ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะผมมีครูศิลปะสมัยมัธยมปลายที่เป็นแบบอย่างของผม ครูที่แนะนำผมเข้าสู่โลกการอ่านและวรรณกรรม
ผมไม่ลืมหอบหิ้วหนังสือจากบ้านพักครูติดมือมาจากบ้าน เช่าหอพักเล็ก ๆ ริมคลองแสนแสบ ในห้องมีเพียงเตียงนอน โต๊ะเขียนหนังสือและเก้าอี้ ผมปูเสื่อนอนที่พื้น อุทิศเตียงนอนให้กับกองหนังสือ
ผมเคยคิดมาตลอดว่าริมคลองแสนแสบจะเหม็นและสกปรก อันที่จริงก็ไม่ได้เหม็นขนาดนั้น แค่น้ำเสีย ไม่ใช่น้ำเน่าสีดำคล้ำจากโรงงาน เรือด่วนแล่นผ่านไปมา ช่วยเพิ่มอากาศให้กับลำคลอง ผมชอบบรรยากาศนี้ วันไหนไม่ไปเรียนผมจะตื่นแต่เช้า ชงกาแฟ นั่งอ่านหนังสือริมระเบียง เฝ้ามองวิถีชีวิตผู้คนริมคลอง ตอนเย็นไปวิ่งออกกำลังกายบนทางเดินริมคลอง วิ่งจนเหงื่อท่วม แวะกินข้าวที่ร้านน้ำชา สั่งชาร้อนตบท้ายสักแก้ว วิถีชีวิตริมคลองของผมเป็นเช่นนี้
การเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดทำให้ผมหาเพื่อนได้ยาก ห้องเรียนรวมช่างกว้างและไม่รู้จักใคร ผมจึงหันหน้าเข้าหาหอสมุด หอสมุดที่นี่มีหนังสือมากมาย หลายชั้น หลายพันเล่ม ชั้นหนังสือวรรณกรรมมีแต่รายชื่อนักเขียนที่ผมอยากอ่าน ครูศิลปะได้เขียนรายชื่อนักเขียนไว้ให้ผมก่อนเราจะจากกัน ผมยืมหนังสือครั้งละห้าเล่ม ตามที่โควตาหอสมุดจะให้ยืมได้ ผมมีนักเขียนหลายคนที่ชอบ เช่น แดนอรัญ แสงทอง, กนกพงศ์ สงสมพันธุ์, เออร์เนสต์ เฮมิ่งเวย์, จอห์น สไตน์เบค, คนุท แฮมซุน และอีกหลายคน จะให้ผมร่ายรายชื่อ วันเดียวก็คงไม่จบ
ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าในมหาวิทยาลัยกว้างใหญ่แห่งนี้ เราจะมีเพื่อนใหม่กันสักกี่คน เพื่อนที่เข้าใจเรา เพื่อนที่หวังดี เพื่อนที่เราเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้เต็มปากเต็มคำ
แล้วผมก็ค้นพบความจริง มันช่างแตกต่างกับกลุ่มเพื่อนมัธยม ตอนนั้นเราไปไหนก็ไปด้วยกัน กินข้าว ดูหนัง หลายคนยกให้เพื่อนมัธยมคือความทรงจำที่ดีที่สุด ผมเห็นด้วยกับเรื่องนั้น
ผมกลายเป็นนักอ่านเพราะผมไม่มีเพื่อน การเรียนการสอนที่นี่ให้อิสระในการเลือกที่จะเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียน ผมเป็นคนจำพวกแรก เพราะขี้เกียจอ่านหนังสือหรือเปิดฟังคำบรรยายย้อนหลัง ส่วนคนจำพวกหลังคะแนนสอบดีกว่าผมก็มีเยอะแยะไป
ผมกลบฝังความโดดเดี่ยวด้วยการอ่าน ในฐานะที่ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ก็เรียนแถวบ้าน ไปไหนไม่ได้ไกลจากหมู่บ้านริมทะเลสาบสงขลา ผมมากรุงเทพฯ เพียงลำพัง เช่าหอพักริมคลองแสนแสบ เรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวให้เป็น
หอสมุดมหาวิทยาลัยช่างกว้างใหญ่ ผมสบายใจทุกครั้งที่ได้เข้าไป เหมือนหลุดเข้าไปในโลกที่ไร้เสียงรบกวน โลกที่มีแค่ผมและหนังสือ แค่ผมเปิดอ่านก็เสมือนได้เดินทางไปกับเรื่องเล่าของเหล่านักเขียน ผมรักช่วงเวลานั้นเสียเหลือเกิน
ผมเคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนก็ได้ ในเมื่อผมผูกมิตรไม่เก่ง ไว้หนวดเครารุงรัง ตัดผมปีละครั้ง ไม่มีเรื่องอะไรไปคุยกับสาว ๆ ในหอพักก็มีแต่กองหนังสือ ไม่มีเน็ตฟลิ๊กซ์หรือเลี้ยงแมวเพื่อดึงดูดสาวคนไหน ชีวิตผมธรรมดาและจืดชืดเกินไป แต่ผมก็พอใจที่เป็นแบบนั้น เพราะผมจะได้มีเวลาอ่านหนังสืออย่างเต็มที่
ทุกเช้าก่อนไปเรียน ผมจะตื่นมานั่งอ่านหนังสือตรงระเบียง ชงกาแฟดื่ม ทอดสายตามองวิถีชีวิตยามเช้าริมคลองแสนแสบ เฝ้ามองเรือด่วนแล่นสวนกัน ระลอกคลื่นสีคล้ำซัดราวกั้นริมคลอง มองแล้วชวนให้คิดถึงบ้านที่ผมจากมา กลิ่นทะเลสาบกับกลิ่นคลองแสนแสบช่างคล้ายกัน
คาบเช้าเริ่มเก้าโมงครึ่ง แปดโมงครึ่งผมก็ถึงมหาวิทยาลัยแล้ว หาข้าวกินใต้ตึกคณะ คืนหนังสือที่หอสมุด เข้าเรียน พักกินมื้อเที่ยง เรียนต่ออีกวิชา บางวันเรียนเช้าติดกันสองวิชา บางวันเรียนบ่ายสองวิชา ชีวิตนักศึกษาในประเทศนี้วิถีก็คงคล้าย ๆ กัน
ผมชอบเรียนคาบเช้ามากกว่า เพราะช่วงเช้าร่างกายกำลังสดใหม่ ตื่นเต็มตา อากาศตอนเช้าก็อบอุ่น ไม่เหมือนเรียนคาบบ่าย ที่ต้องกะเวลาว่าควรจะตื่นกี่โมง กินข้าวกี่โมง ไปหอสมุดแล้วก็กลัวจะอ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาเข้าเรียน สรุปได้ว่าผมชอบตอนเช้ามากกว่าตอนบ่าย
หอสมุดมหาวิทยาลัยมีห้าชั้น ชั้นประจำของผมคือชั้นสาม เพราะมีตู้หนังสือขนาดใหญ่เกือบสิบกว่าตู้ เรื่องสั้น บทกวี นิยาย วรรณกรรมเยาวชน รวมอยู่ในชั้นนั้นหมด ทุกครั้งที่หยิบหนังสือจากตู้ ผมจะพลิกดูปกหลังสุด ตรงตราประทับวันยืม - คืน ผมเจอชื่อนักเขียนหลายคนมากที่ยืมเล่มเดียวกับผม ถ้าอยากเป็นนักเขียนก็ต้องเป็นนักอ่านให้ได้ก่อน ผมว่าประโยคนี้จริงเสมอ
ผมชอบความเงียบในหอสมุด ชอบสูดกลิ่นหนังสือเก่า ชอบฟังเสียงกระหึ่มของเครื่องปรับอากาศเก่า ทุกคนรอบข้างจมลงในหน้าหนังสือ ส่วนใหญ่มาท่องตำรา ทบทวนบทเรียน บางคนเห็นแล้วรู้เลยว่าเรียนนิติศาสตร์ เพราะบนโต๊ะเต็มไปด้วยประมวลกฎหมายเล่มหนาเตอะ บางคนมีที่ตั้งหนังสือ แค่กวาดตาอ่าน ไม่ต้องถือหรือก้มให้เมื่อย บรรยากาศรอบข้างล้วนเอื้อให้เกิดสมาธิ เพราะเราทุกคนเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ละเมิดความเงียบที่มีร่วมกัน
ที่ประจำผมคือริมหน้าต่าง หลังชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรมเยาวชน โต๊ะไม้ยาวสีน้ำตาลอ่อน และเก้าอี้เบาะนุ่มแบบมีพนักพิง ผมนั่งคนเดียวทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมเห็นแก่ตัวหรอก ผมแค่ไม่มีเพื่อน และคนอื่นเขาก็มีเพื่อนกัน ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอะไรที่มานั่งร่วมโต๊ะกับผม อีกอย่างตรงมุมนี้ค่อนข้างไกลกับห้องน้ำ เลยไม่ค่อยมีใครนั่งกัน แต่ผมชอบมุมนี้
หน้าต่างแบ่งเมฆออกเป็นสี่เหลี่ยมสี่อัน ทุกครั้งที่ผมพักสายตาจากการอ่าน ผมชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง เบื้องล่างเป็นอาคารเรียน หน้าอาคารมีสวนหย่อมเล็ก ๆ มีไม้พุ่มดัดเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ มีน้ำพุสีขาวเปรอะเปื้อนด้วยคราบตะไคร่น้ำ นักศึกษาเดินผ่านไปมาบนถนนคอนกรีตสีดำ ผมมองภาพนั้นแล้วสบายตา บางครั้งที่ขี้เกียจอ่าน ผมก็นั่งมองนอกหน้าต่าง
เทอมแรกผ่านพ้นไป ผลการเรียนถือว่าพอไปได้ ผมใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษาทั่วไป นั่งรถเมล์ไปนั่งฟังบรรยายที่วิทยาเขตบางนา เสาร์อาทิตย์วันไหนไม่มีเรียนก็หางานพาร์ทไทม์ทำ เพราะยางพาราตอนนี้ราคาตก ผมจึงต้องขอเงินแม่ให้น้อยที่สุด และใช้จ่ายอย่างประหยัด แต่การใช้ชีวิตที่นี่ก็ไม่ถึงกับขัดสนแม่โอนเงินมาให้ผมใช้โดยที่ผมไม่ต้องโทรไปขอเพราะแม่อยู่คนเดียวรายจ่ายจึงไม่มากนัก
โลกการอ่านของผมเปิดกว้างอีกครั้ง เมื่อผมได้พบเจอกับ พล เพื่อนในวัยเดียวกัน แต่ดูคงแก่เรียนกว่าผมมาก สวมแว่นตากรอบทอง ไว้หนวดไว้เครา ใส่หมวกสีเขียวปักดาวสีแดง เขาคงมีเช เกวารา นักปฏิวัติคิวบาเป็นต้นแบบ
ผมเจอพลตอนกำลังคืนหนังสือที่หอสมุด พลและเพื่อน ๆ เห็นผมถือหนังสือเล่ม เพื่อนยาก ของ จอห์น สไตน์เบค จึงเข้ามาทักทายผม ถามผมว่าชอบอ่านวรรณกรรมใช่ไหม เมื่อได้คำตอบจากผม พลบอกผมว่าเสาร์นี้พบกันหน้าหอสมุด เดี๋ยวจะพาผมเข้ากลุ่มบุ๊คคลับใต้ร่มไม้ กลุ่มที่พลและเพื่อนตั้งขึ้นเพื่อพูดคุยเรื่องหนังสือกัน ผมได้ฟังแล้วตื่นเต้น รับปากพลว่าวันเสาร์เจอกัน
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้คุยกับใครเรื่องหนังสือ ตั้งแต่ไม่ได้เจอครูศิลปะ ผมก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟังเลย ไม่เคยเล่าให้แม่ฟังว่ากำลังอ่านเล่มไหน เพราะแม่ไม่อ่านหนังสือ อ่านจบก็ได้แต่เก็บงำประเด็นที่สงสัยเอาไว้ แต่ไม่รู้จะถามใคร ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยครั้ง ว่าแถบนี้มีคนอ่านวรรณกรรมบ้างไหม แล้วผมก็ได้คำตอบในบ่ายวันนั้น
พลนั่งรอผมอยู่ตรงขั้นบันไดหอสมุด ในมือกางหนังสือออกอ่าน มีถ้วยกาแฟกระดาษวางเคียงข้าง ไม่แยแสผู้คนที่เดินผ่านไปมา จมลงในหน้ากระดาษ ราวกับว่าอยู่เพียงลำพัง ผมทักทายพล เขาเงยหน้าขึ้นมอง ยิ้มมุมปากให้ผม ยกกาแฟซดจนหมดแก้ว ลุกยืนแล้วตบบ่ากอดคอผม บอกผมว่าให้ตามมา
ผมเดินตามพลลัดเลาะไปตามทางเดิน ผ่านสระบัว ผ่านตึกนิติศาสตร์ ผ่านซุ้มต่าง ๆ ของนักศึกษา เลี้ยวขวาก็เจอกลุ่มเพื่อนของพลสี่ห้าคน นั่งใต้ร่มต้นหางนกยูงต้นใหญ่ บนโต๊ะม้าหินอ่อนมีหนังสือและแก้วกาแฟนับไม่ถ้วน บนพื้นมีกลีบดอกสีแดงฉานปูดั่งผืนพรม พลแนะนำผมกับสมาชิกในกลุ่ม เมื่อทักทายทำความรู้จักกับทุกคนแล้ว ผมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มวรรณกรรมใต้ร่มไม้
วันนั้นเรานั่งถกกันหนังสือเล่ม เพื่อนยาก ของ จอห์น สไตน์เบค ผมรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ปมปัญหาในหนังสือที่ผมยังอ่านไม่แตก เพื่อน ๆ หลายคนช่วยกันอธิบายขยายความ การได้รวมกลุ่มแล้วนั่งพูดคุยเรื่องหนังสือ ทำให้ผมได้อ่านมุมมองของเพื่อนแต่ละคน หนังสือเล่มเดียวกันแต่เรากลับอ่านและรับรู้แก่นสารนั้นกันคนละความหมาย
“สมมติว่าทุกคนเป็นจอร์จ มิลตัน จะกล้ายิงเลนนี่ เพื่อนรักของตัวเองไหม ?”
เป็นหัวข้อที่เราถกเถียงกันตั้งแต่บ่ายจนถึงย่ำเย็น ล้วนเต็มไปด้วยบทสนทนารอบโต๊ะ ย่ำค่ำเราไปต่อกันที่ร้านน้ำชา คุยเรื่องหนังสือและเรื่องชีวิตกัน ในกลุ่มมีหญิงสาวสองคน ซึ่งเป็นเพื่อนกับพลมาตั้งแต่สมัยมัธยม ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน จึงชวนตั้งกลุ่มกัน ก่อนจะมีสมาชิกเข้ามาและออกไป ตามวิถีและจังหวะเวลา
ผมสั่งโรตีกรอบสองจาน สั่งชาเย็นหนึ่งแก้ว พลและเพื่อนชอบดื่มกาแฟ ดื่มหนักกว่าผมด้วยซ้ำ เมื่อคุยเรื่องหนังสือกันเบื่อเราก็คุยเรื่องส่วนตัว พลถามผมว่าพักอยู่แถวไหน ผมชี้ให้พลดูหอพักตึกสีเทาริมคลองฝั่งตรงข้าม ซึ่งอยู่ตรงข้ามร้านน้ำชาพอดี พลถามผมว่าพักอยู่กับใคร ผมบอกว่าขึ้นมาเรียนที่นี่เพียงคนเดียว พลได้ฟังแล้วพยักหน้า บอกผมว่าขอพักด้วยได้ไหม เดี๋ยวช่วยหารค่าห้อง เพื่อนเล่าว่าพลเพิ่งเลิกรากับคนรักเก่า ห้องที่อยู่จึงกว้างเกินกว่าจะอยู่ลำพัง ผมตอบตกลง รุ่งเช้าสัมภาระของพลจึงกองสุมในห้องผม ซึ่งแน่นอนว่ามีหนังสือมากกว่าของใช้
หลังจากนั้นผมและพลเหมือนกับแฝด แม้พลจะเรียนเอกสังคมวิทยา แต่ตึกเรียนและวันเวลานั้นคล้ายกัน เราเลยพบเจอกันอยู่เรื่อย ๆ และผลัดกันอ่านผลัดกันวิจารณ์หนังสือเล่มที่อยู่ในมือเรา คืนนั้นกลุ่มบุ๊คคลับใต้ร่มไม้ชวนกันมานั่งเล่นบนดาดฟ้าหอพักผม เพราะคืนนั้นทีวีประกาศข่าวว่าจะมีฝนดาวตก เพื่อน ๆ เลยแห่กันมาที่นี่
“แก่นแท้แห่งมิตรภาพพึ่งพา
ความใฝ่ฝันร่วมกันถึงที่ดินทำกิน
และชีวิตวันพรุ่งที่ดีกว่า
ท่ามกลางความแล้งไร้ จิตใจหยาบเขลา
ฤๅมนุษย์คิดเพียงแค่จะเอาตัวรอด
ตลอดกาล”
พลอ่านข้อความบนปกหลังหนังสือเล่มเพื่อนยาก ของ จอห์น สไตน์เบค ก่อนจะบอกทุกคนว่า
“เราทุกคนมีเพื่อน แต่จะมีสักกี่คนที่เป็นเพื่อนแท้”
พลพูดจบหางตาผมเหลือบไปเห็นฝนดาวตก ทุกคนแหงนหน้ามองพร้อมกัน ขณะมองฝนดาวตกนั้นผมอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพื่อน เพื่อนที่ผมเรียกว่าเพื่อนยาก ได้เต็มปาก.
....................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”