เรื่องสั้น : นิทานเมืองหลวง : พิชญ อนันตรเศรษฐ์
เรื่องสั้น : นิทานเมืองหลวง : พิชญ อนันตรเศรษฐ์
เรื่องราวต่อไปนี้ อาจเป็นแค่นิทานเรื่องสั้น ๆ ท่ามกลางนิทานมากมาย ทั้งที่เคยถูกเล่า และไม่เคยถูกเล่า ภายในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยนิทานนับล้าน ๆ เรื่อง อาจเป็นแค่จินตนาการที่ปรุงแต่งด้วยมิติแห่งความจริงที่เพิ่งถูกสร้างมากมายเสียจนแทบไม่เหลือเค้าโครงดั้งเดิมอันเป็นจุดกำเนิดของนิทาน แต่เมื่อเรื่องเล่าได้ระบุตัวเองเอาไว้อย่างชัดเจนเช่นนี้ สิ่งที่เป็นหลักประกันให้กับผู้ผ่านมารับรู้ก็คือ เรื่องนี้มีตอนจบที่ทุกคนจะมีความสุข
กาลครั้งหนึ่ง ในค่ำคืนแสนเปลี่ยวเหงาเข้มข้นสำหรับบางผู้คนที่เชื่อว่าจิตวิญญาณตนเองนั้นแสนเดียวดาย ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ห่างไกลจากชีวิตอีกนับมากมาย จนเป็นได้แค่ชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง ชายผู้นี้ใส่เสื้อสีขาวที่สกรีนหน้าอกด้วยรูปตัวการ์ตูนหมีตัวใหญ่ ยืนอ้าแขนและกรงเล็บอยู่ข้างเต๊นท์ที่ปักเอาไว้ไม่ไกลจากภูเขาขนาดย่อม มันคือลายเสื้อของแบรนด์สตรีทแวร์ยี่ห้อดัง ส่วนช่วงล่างของเขานั้น เป็นกางเกงขาสั้นทรงพอดีตัว มีกระเป๋าด้านข้าง แต่ไม่สามารถจำแนกยี่ห้อได้ เขาสวมรองเท้ายี่ห้อ Keen สีดำ และด้วยลักษณะเฉพาะของรองเท้าที่มีความก้ำกึ่งระหว่างรองเท้าแตะแบบคาดส้น และเป็นรองเท้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเดินทางที่สมบุกสมบันได้ จึงสามารถระบุยี่ห้อของรองเท้าชายหนุ่มผมเกรียน หน้าตามีความคมเข้ม และมีแววตาที่ลุกโชนเพื่อการเสาะหาบางสิ่งในค่ำคืนอบอ้าวของกลางเดือนมกราคมซึ่งไร้ลมหนาวอีกแล้ว
เขาเดินเลี้ยวออกมาจากซอยย่อยที่ถูกเชื่อมเข้ากับถนนสายเล็ก ๆ มันเป็นถนนแบบที่รถสามารถสวนทางได้แบบ One Way บริเวณแถบนี้โอบล้อมด้วยตึกเก่าซอมซ่ออายุเกินกว่าจะใช้นิ้วนับได้โดยไม่หลงปี แต่แม้จะมีความทรุดโทรมเป็นฉากหน้า ทว่าในเวลานี้กลับมีแสงสีมากมายสาดออกมาจากตึกเหล่านั้น เพราะในย่านนี้ได้กลายเป็นร้านอาหาร บาร์ ซึ่งได้ใช้ความคลาสสิคของโครงสร้างตึกเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ยังมีช่วงเวลายามราตรีอีกนานกว่าจะถึงเวลากลับบ้าน แต่ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เป้าหมายของชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ทราบชื่อคนนี้
เขาเลือกที่จะเดินเลี้ยวออกมาให้ห่างจากแสงสีอันใสสว่างเหล่านั้น สู่ทางเดินอันมีเพียงแค่แสงไฟกระมิดกระเมี้ยนส่องถนน แต่แม้ว่าจะมีเพียงความมืดและความเลือนลาง แต่มันไม่ได้มืดสนิทเสียทีเดียว เพราะที่นี่ยังเป็นเขตเมืองเก่าของเมืองหลวงที่ฟันเฟืองแห่งการพัฒนากำลังวิ่งกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
เบื้องหน้าของชายหนุ่มขณะนี้ มีเงาตะคุ่มในกิริยาแห่งการนั่งอยู่ตามจุดต่าง ๆ ภายใต้เงาของตึกแถว เงาเหล่านั้นนั่งอยู่ห่างกันโดยทิ้งระยะระหว่างเงาไว้พอสมควร แววตาชายหนุ่มมีเงามุ่งมั่นเผยแสงดั่งวูบนึงของดาวตก นั่นคือสัญญาณบ่งบอกแล้วว่า เขาได้พบเป้าหมายแล้ว ย่างก้าวของเขาจึงค่อย ๆ ช้าลง
ในขณะเดียวกันที่ย่างก้าวเชื่องช้าลง หญิงสาวคนหนึ่งก็เผยตัวออกมาจากเงามืด และเสมือนเป็นสัญญาณที่มีมนตรา พลันก็สามารถเสกให้ดอกไม้กลางคืนที่ห่อกลีบช่อ ได้เบ่งบานด้วยความเร็วสูงจนน่าประหลาดใจ กลายเป็นหญิงสาวอีก 4 - 5 คนซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่เงา เผยตัวออกมาจนมองเห็นได้ชัดเจน ทั้งอายุที่แตกต่างกัน รูปร่างที่จำแนกได้หลากหลาย ภายใต้เสื้อผ้าของพวกเธอที่มีรูปแบบของใครของมัน สำหรับชายหนุ่มนั้น เขาไม่เดินก้าวไปไกลมากกว่าการได้เห็นเป้าหมายแรกที่ปรากฏตรงหน้า ค่ำคืนนี้คงมีความกระชับสั้นสำหรับชายหนุ่ม... นั่นพอเป็นสิ่งที่อนุมานได้ หากมองจากระยะไกลด้วยสายตาแห่งนักเฝ้ามองนิทาน
หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม เธอมีผมสั้น ปลายผมของเธอปกปิดท้ายทอยได้เป็นอย่างดี และมีจุดสังเกตดั่งดวงจันทร์บนฟ้ามืด นั่นคือกิ๊บติดผมสีชมพูขนาดไม่ใหญ่นัก เมื่อมองดูรูปลักษณ์ของเธอที่จินตนาการได้โดยไม่ต้องใช้ความแม่นยำในการวิเคราะห์ลักษณะบุคคล เธอตั้งใจคุมโทนเสื้อผ้าของเธอไม่ให้มีความฉูดฉาดจนเกินงาม เสื้อสีขาวที่เธอใส่มีความโดดเด่นเมื่อใส่คู่กับกระโปรงจีบสีชมพูที่สั้นเสมอเข่า และขณะนี้กำลังปลิวไสวไปกับการเคลื่อนไหวของเธอและสายลมอบอ้าวอวลกลิ่นเหม็นจาง ๆ จากท่อระบายน้ำ แต่ในจุดเด่นทั้งหมดของเธอ เบื้องล่างตั้งแต่เข่าลงมาเป็นต้นไป ยังเป็นปริศนาสำหรับผู้แอบมอง เพราะความมืดยังมีจุดอำพราง ทั้งจากรถที่จอดข้างทาง และระยะห่างของแสงจากเสาไฟที่เหมือนจงใจให้เสาหนึ่งไฟติด เสาหนึ่งไฟดับ สลับไปมาจนดูน่าขบขัน
ในห้วงอารมณ์ของชายหนุ่ม หากว่าจะลองจินตนาการพิลึกและพิเรนทร์บ้าง โอกาสเช่นนี้ถือว่าเหมาะแล้ว ที่จะเปลี่ยนถนนมืดมนให้กลายเป็นเหมือนฟลอร์เต้นรำ เขาปัดตามเนื้อตัวของเสื้อผ้าราวกับเพิ่งผ่านพายุฝุ่นทรายจากเขตนอกด่าน และเมื่อยามได้ประสบพบเจอใบหน้าที่ต่างฝ่ายต่างหมายปอง ท่ามกลางความเลิศหรูอลังการที่ประดับประดาในฟลอร์ การเจรจาพาทีจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่มต้นเพื่อทำลายความว่างเปล่าระหว่างกัน ด้วยการค้อมหลังลงเยี่ยงชายชาตรี และเอ่ยปากแนะนำตัวชื่อเสียงเรียงนาม ฝ่ายหญิงจึงได้ตอบกลับด้วยการย่อตัวเสมือนการถอนสายบัวและแนะนำชื่อตนเองตอบกลับไปเช่นกัน ในเวลานี้ทั้งคู่ต่างเสมอกันในแง่ความไม่แปลกหน้าอีกแล้ว ชายหนุ่มจึงเริ่มต้นพูดในถ้อยแถลงซึ่งคิดเอาไว้ในใจมาเนิ่นนาน หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีของคุณ ฝ่ายหญิงตอบกลับว่า มันก็มิใช่วันที่ดีงามเหมือนที่จินตนาการเอาไว้ มิใช่แค่เพียงแต่ตลอดวัน แต่มันเพิ่งเริ่มต้นเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ฝ่ายชายไม่รอช้า ถามว่าค่ำคืนนี้เธอยังไม่ผ่านการเกี้ยวพาราสีจากชายอื่นอีกเหรอ หญิงสาวตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่มีทั้งความเลศนัยและเชื้อชวน พลางตอบว่า ถ้ามีล่ะก็ ป่านนี้คงไม่ยืนเดียวดายอยู่เยี่ยงนี้หรอก คำกล่าวนั้น ช่างเป็นเสมือนรอยแย้มของประตูบานหน้าที่เผยมาราวกับเพื่อชายหนุ่มแต่เพียงผู้เดียว ชายหนุ่มคิดว่าไม่ควรต้องเสียเวลาเพื่ออ้อมค้อมอีกต่อไป ชายหนุ่มจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วยคำพูดที่ทะลุทะลวงทุกกำแพงจารีตที่เคยกั้นขวางว่า ค่ำคืนนี้เธอคิดค่าตัวเท่าไหร่ หญิงสาวไม่รอให้เวลาเผื่อการใคร่ครวญของชายหนุ่มว่า 700 บาท ราคานี้พิเศษสำหรับเธอเลยนะ ไม่รวมห้อง และถ้าไม่มีถุงยาง ฉันนั้นมีพร้อมให้เพื่อเธอ เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้น ใจนึงก็ลิงโลด แต่ด้วยความเสมือนว่าเป็นผู้ผ่านโลกมามาก ชายหนุ่มคงคิดว่าควรจะต้องสงวนท่าทางด้วยเหลี่ยมมุมของประสบการณ์ที่ตัวเองมี ได้ต่อรองกลับไปว่า 500 บาทได้ไหม มันก็น่าจะพอเป็นไปได้สำหรับค่ำคืนเหงาที่สุดของคืนวันเสาร์ สิ่งที่ชายหนุ่มตอบมาเป็นทั้งการเอาเปรียบอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อหญิงสาวคิดถึงความเป็นจริงว่า ชายหนุ่มคนนี้จะเป็นลูกค้ารายแรก เมื่อเธอคิดทบทวนด้วยความรวดเร็วราวกับเหนือแสงว่า ณ เวลานี้ในชีวิตของเธอ มีค่าไฟและค่าน้ำที่จ่ออยู่ที่ลิ้นปี่ อีกทั้งมีค่าเทอมที่เขยื้อนขึ้นมาจ่อที่คอหอยของเธอ การเริ่มต้นค่ำคืนนี้ของเธอด้วยราคา 500 บาท อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับกิจวัตรของเธอในวันนี้ เธอก็ตอบตกลงคำเสนอของชายหนุ่มในที่สุด
แล้วภาพท้องฟลอร์เต้นรำอันแสนสง่างาม ก็พลันเปลี่ยนกลับมาสู่ริมถนนอันมืดมิดเหมือนเดิม ชายหนุ่มกวักมือเรียกพร้อมกับเป็นฝ่ายเริ่มต้นเดินนำหน้า หญิงสาวเดินตามหลังด้วยความว่านอนสอนง่ายในทันที ทั้งคู่เดินตามกันจนกระทั่งเดินลับหายจากมุมถนนที่แสงสีจากบาร์บนถนนข้างเคียงกันส่องไม่ถึง ความมืดของเขตเมืองเก่าราวกับเป็นใจต่อทั้งคู่เพื่อปิดบังปลายทางที่จะบรรจบ
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้คือภาพจำของใครหลายคนที่หากจะสังเกตก็จะมองเห็น ส่วนใครจะไม่สังเกตก็จะไม่แม้แต่จินตนาการว่ามันมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองหลวงที่พยายามอย่างยิ่งยวดในการขับเน้นความดีและความงามประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก มันคือเหตุการณ์ที่จะไม่ถูกระบุในคำโฆษณาการท่องเที่ยว ยกเว้นก็เพียงแค่แววตาใครซักคนที่อยากจะมองเห็นเนื้อแท้ไร้สิ่งดีงามเจือปนในคำเยินยอทั้งหลาย จำพวกว่า นี่คือดินแดนแห่งการเอื้อเฟื้อและประนีประนอม
มีเพียงแค่นักเล่านิทานผู้ยากจนคนหนึ่ง ซึ่งเดินออกมาสูบบุหรี่หน้าบาร์ไร้ป้ายปักไว้ ที่ได้มองเห็นพฤติการณ์ของชายหนุ่มและหญิงสาวแห่งคืนเปลี่ยว และนักเล่าก็แค่เก็บมาคิดจินตนาการในใจด้วยฐานะแห่งนักเล่าเรื่องผู้ต่ำต้อยของฐานปิระมิดแห่งวรรณะทางสังคม เก็บมาเสริมเติมแต่ง ต่อขยายเรื่องราว จนนำมาสู่นิทานเรื่องสั้น ๆ เรื่องหนึ่งในค่ำคืนนี้ ที่สักวันก็คงไม่มีใครจดจำจนนำไปอ่านให้บุตรหลานฟังก่อนนอน
นิทานเรื่องนี้จึงมีตอนจบที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ตัวเอกทั้งคู่จะมีความสุขสมอย่างแน่นอน ทว่าที่แน่นอนกว่านั้นก็คือ ไม่มีความสุขดุจนิจนิรันดร์ และนิทานเช่นนี้จะวนมาดำเนินเรื่องซ้ำ อีกคืน และอีกหลาย ๆ คืน เพียงแค่ตัวชายหนุ่มและหญิงสาว จะวนเปลี่ยนหน้าไป ตามวัฏจักรแห่งความเดียวดายของเมืองหลวงอันแสนดีงาม
อย่างที่คน ๆ นั้นว่าไว้ “เราคือดินแดนแห่งการประนีประนอม”
.....................................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”