เรื่องสั้น : อ้อมกอดของพันธนาการ : นพดล พลกูล

เรื่องสั้น : อ้อมกอดของพันธนาการ : นพดล พลกูล

 

            พ่ออายุครบ 78 ปีในวันที่น้องชายมาเยี่ยม  บ้านกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง  เสียงวิ่งเล่นหยอกล้อของหลานสาววัยเจ็ดและแปดขวบจูงมือพ่อออกมาจากโลกเคร่งขรึมพร้อมเสียงหัวเราะเริงร่า  ตลอดหลายปีที่ไปสร้างครอบครัวอยู่ภาคเหนือ  น้องชายจะกลับมาปีละครั้งสองครั้งเสมอ  ระหว่างนั้นแม้จะวีดีโอคอลถึงกันเป็นระยะ  แต่มันก็แห้งแล้งจืดชืดไม่เหมือนได้สัมผัสตัวจริง   

            กระทั่งช่วงสายของวันที่ปาเจโรสปอร์ตคันนั้นกำลังเคลื่อนตัวกลับออกไป  เด็ก ๆ เบียดหน้าโผล่ออกมาทางช่องหน้าต่าง  พลางโบกมือให้ไหว ๆ  พ่อฝืนยิ้มจืดเจื่อน  หน่วยตาแดงก่ำ  ยืนส่งจนรถสีขาวลับสายตา  แกจึงกลับเข้าไปอยู่ในซอกมุมของตัวเองอีกครั้ง  เราเก็บกวาดร่องรอยอยู่ภายในบ้าน  เหลือบเห็นแกนั่งเขี่ยจอสมาร์ทโฟนเล่นอย่างไร้เป้าหมาย

 

            ยังจำได้ถึงวันแรกที่เราขนกระเป๋าสัมภาระเพียงไม่กี่ใบกลับมา  บ้านครึ่งปูนครึ่งไม้อายุสามสิบกว่าปีเก่าโทรมลงตามสภาพ  คราบตะไคร่น้ำเขรอะดำกระจายอยู่ทั่วหลังคากระเบื้องทรงจั่ว  ผนังปูนสีขาวกะเทาะลอกล่อน  ฝาไม้ชั้นบนเปื่อยผุหลุดหล่นไปแล้วหลายแผ่น  ทว่ากลิ่นเฉพาะบางอย่างยังคงอวลกรุ่นอยู่ภายใน  อาจจะเป็นแป้งหอมที่แม่เคยโรยตัว  หรือน้ำมันใส่ผมของพ่อ  ผสานปนเปอย่างที่เราคุ้นชินมาตั้งแต่เด็ก 

            ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  แม้แต่กำแพงอากาศบาง ๆ ที่คั่นระหว่างเรากับพ่อ  ตั้งแต่จำความได้เราไม่เคยสนิทกับแก  ไม่เคยรู้สึกถึงความรักอาทรอย่างที่พ่อลูกพึงส่งถึงกัน  ในตอนนั้นบางวันที่ครึ้มใจ  พ่ออาจหยอกล้อกับน้องชายระเบิดหัวเราะลั่นบ้าน  แล้วชวนกันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปเที่ยวเล่น  แต่เรานึกภาพไม่ออกว่าเคยมีส่วนร่วมอยู่ในนั้น  หรือแท้แล้วมันไม่เคยมี - -

            เราจึงเลือกที่จะเนรเทศตัวเองไปเรียนและทำงานอยู่ต่างจังหวัดห่างไกล  นับปีค่อยกลับมาให้เห็นหน้ากันสักครั้ง  พอได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง  แล้วไม่ทันระอาก็ลาจาก  มาทุกครั้งก็ยังพอได้ไออุ่นจากบ้านอยู่บ้าง  แต่เรื่องกลับมาอย่างถาวรไม่เคยมีในความคิด  

            กระทั่งเมื่อสองปีก่อน  ช่วงพลบค่ำของวันนั้น  แวบแรกที่เห็นชื่อพ่อในสายเรียกเข้า  สังหรณ์ด้านลบก็จู่จับ  ร้อยวันพันปีแกไม่เคยโทรหา  พลันยินเสียงละล่ำละลักแว่วมาในคลื่นสัญญาณ  มือเท้าเราก็ชาวูบ  สรรพสิ่งรายรอบเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ  ประโยคสั้น ๆ แม่เข้าโรงพยาบาลตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว  แล้วงึมงำอะไรต่ออีกสองสามคำ  เรารับรู้แค่นั้น

            เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงหน้าห้องไอซียู  พ่อซุกร่างระโหยอยู่บนเก้าอี้พลาสติกด้านหน้า  ใบหน้าเหี่ยวย่นอิดโรย  แกพยักหน้าทักทายน้อย ๆ พลางขยับริมฝีปากแห้งผาก  เส้นเลือดในสมองของแม่ปริแตก  ตอนนี้ลุ้นเพียงขอให้ฟื้น  เราหย่อนร่างลงเคียงกัน  แล้วปล่อยให้เวลากัดกร่อนความหวังไปอย่างช้า ๆ  กระทั่งสิ้นสุดลงพร้อมกับแสงเช้าเรื่อเรือง  แม่จากเราไปตอนนั้น...

            นั่งมองพ่อในงานศพแม่  เห็นภาพชายชราใช้ชีวิตโดดเดี่ยวลำพัง  ถึงคราวเจ็บไข้จะกินอยู่อย่างไร  เหลียวมองน้องชาย  ภาระการงานและครอบครัวก็รัดรึงจนไม่เหลือความคล่องตัว  บอกตัวเองว่าคงถึงเวลากลับบ้านเสียที  หลังเสร็จงานศพ  คำร้องขอย้ายของเราจึงถูกยื่นไปถึงต้นสังกัด

 

            กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านในรอบหลายปี  งานประจำรีดเค้นจนเราต้องหอบร่างระโหยกลับมาทุกเย็น  เสร็จจากหาข้าวปลาและจัดการบ้านเรือนแล้วก็หมกตัวอยู่ในห้อง  พ่อจมดิ่งอยู่กับโลกเสมือนในจอสมาร์ทโฟน  บ้านเงียบราวร้างไร้ผู้คน  รอเวลาฟื้นตื่นเมื่อถึงคราวน้องชายกลับมาเยี่ยม

            เราก็ได้แต่ปลุกปลอบตัวเองทุกเช้าที่ลืมตาตื่น  ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปเรียบเรื่อย  ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างนี้ก็ดีแล้ว  จะโหยหาอะไรให้มากความอีก  แต่ก็นั่นล่ะ, ชีวิตมักหยิบยื่นบททดสอบมาให้โดยเราไม่ได้ร้องขออยู่เสมอ

            ผลตรวจร่างกายของพ่อปีนั้นพบว่าเกล็ดเลือดต่ำจนผิดปกติ  หลังวินิจฉัยละเอียดอีกหลายครั้ง  ได้ผลสรุปเป็นข่าวดีที่มันไม่ใช่ลูคีเมีย  เป็นเพียงความผิดปกติของไขกระดูก  แต่ข่าวร้ายคือไม่มีทางรักษาให้หายขาด  พ่อจะค่อย ๆ อ่อนแอลงทุกวันราวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพชาร์จไฟไม่เข้า  การเยียวยาทำได้เพียงเติมเลือดใส่ร่างไปเรื่อย ๆ จนกว่า - -

            พ่อถูกความหวั่นวิตกจู่โจมหลังรู้ผล  ปกติที่ไม่ค่อยพูดกับเราอยู่แล้วถึงตอนนี้ยิ่งไม่ปริปาก  แกกินน้อยลงจนผอมซูบแก้มตอบ  ผิวซีดเหลืองผุดผืนกระเป็นดวงด่างลายพร้อย  และเพียงชั่วข้ามเดือนดูเหมือนว่าอายุแกจะเพิ่มขึ้นสักสิบปี

            หลังจากนั้นพ่อมักจะมีไข้บ่อย  ต้องไปนอนให้เลือดและรักษาอาการข้างเคียงที่โรงพยาบาลคราวละสามสี่คืน  เวลาของเราหมดไปตรงนั้น  ว่างเมื่อไหร่ต้องรีบสะสางงานคั่งค้าง  กลับถึงบ้านแทบซุกหัวเข้านอนทั้งยังไม่อาบน้ำกินข้าว  ไม่เหลืออารมณ์ออกไปสรวลเสกับเพื่อนฝูง  แม้แต่คนรักที่คบหากันมาระยะหนึ่ง  ก็ต้องตัดใจปล่อยให้เขาโบยบินไปสู่ชีวิตที่รื่นรมย์กว่า

            พ่อกลายเป็นคนโมโหง่าย  หงุดหงิดแม้ยินเสียงนกเขาข้างบ้านขันคู  เราเอ่ยปากทุกทีก็พาลให้มีแต่เรื่องขุ่นข้อง  พูดไม่เข้าหูทำอะไรก็ขัดตา  เราจึงจงใจเลี่ยงหลีก  แต่ละวันผ่านไปโดยไม่ได้ทักถามกันราวหลงลืม  ต่างคนต่างทำเหมือนไม่มีตัวตน  พยายามเข้าใจว่าคนแก่และเจ็บป่วยมักเป็นอย่างนี้  แต่ในวันที่กายเหนื่อยล้าหัวใจก็มักอ่อนแอ  เปิดโอกาสให้สำนึกเมื่อครั้งเยาว์วัยย้อนมาเยือน  เคยคิดว่าพ่อไม่รักถึงขั้นเชื่ออย่างจริงจังว่าถูกเก็บมาเลี้ยง  เติบโตจึงค่อยกลบเกลื่อนว่าแค่ชะตาไม่ต้องกัน  เป็นความรู้สึกสามัญที่ห้ามกันไม่ได้  แล้วทำใจยอมรับ  แล้วก็ได้ตระหนักตอนนี้เองว่า  บางครั้งระยะห่างก็ให้ความอบอุ่นได้มากกว่า  หัวใจร่ำร้องทุกวันอยากหนีไปให้ไกลอีกสักครั้ง  แต่ด้วยพันธนาการที่โอบรัดอยู่  มันแน่นหนาเกินกว่าจะทำอะไรตามใจได้อีก

 

            วันนั้นเลิกงานกลับมาตอนเย็น  พบว่าพ่อนอนซมอยู่บนฟูกบาง ๆ หน้าบ้าน  ผ้าห่มหนาคลุมถึงคอ  หนาวสั่นและมีไข้  ไม่รู้หลับหรือเปล่าแต่เปลือกตาปิดสนิท  หลุดเสียงครางฮือ ๆ ในลำคอ  เพียงสัมผัสต้นแขนเบา ๆ พ่อก็ลืมตา  เราบอกว่าจะพาไปโรงพยาบาล  แค่นั้นคิ้วแกก็ขยุกย่น  บอกความไม่พึงใจด้วยสายตาขุ่นเขียว  ก่อนหลับตาลงอีกครั้งราวไม่อยากรับรู้    

            กระทั่งค่อนดึก  บรรยากาศรายรอบสงบสงัด  ตุ๊กแกบางตัวส่งเสียงเรียกหากันบนซอกหลังคา  เรานอนมองฝ้าเพดานดวงตาแห้งผาก  ยินเข็มวินาทีบนผนังกระดิกแก๊ก ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ  ย่องออกมาแง้มประตูห้องพ่อ  เพ่งสายตาฝ่าความสลัวราง  เห็นร่างแกกระสับกระส่าย  ผ้าขนหนูหมาดน้ำพาดหน้าผาก  เราเข้าไปถามอาการ  เสียงสั่นเครือลอดออกมาว่าปวดท้อง  จึงค่อยประคองให้ลุกนั่ง  กระซิบบอกว่าไปโรงพยาบาลกัน  แกพยายามจะหยัดยืนด้วยตัวเอง  แต่ก็ทำได้เพียงนั่งพิงฝาอยู่บนฟูก  เราใช้เวลาเก็บของจำเป็นไม่เกินสิบนาที  ก่อนเปิดไฟหน้ารถสว่างจ้า  แล้วกดคันเร่งออกไปอย่างร้อนรน

            พ่อได้รับการเยียวยาด้วยน้ำเกลือและยาธาตุน้ำขาว  รอหมอเวรมาถึงราวสิบโมงเช้า  ตอนนั้นแกนอนคุดคู้หน้าซีดเผือดเหมือนหญ้าแห้ง  พ่นเสียงครางออกมาพอได้ยิน  หลังวินิจฉัยอาการหมอสั่งใช้เครื่องช่วยหายใจ  พยาบาลสามคนรับทราบแล้ววิ่งจัดอุปกรณ์กันวุ่นวาย 

            มันเกิดขึ้นฉับพลันจนเราไม่ทันตั้งรับว่าอาการของพ่อจะไปถึงขั้นนั้น  ท่อยางขนาดหัวแม่มือถูกแหย่ลึกลงไปในลำคอ  พ่อสะดุ้งสุดตัว  ตาเหลือกลาน  พยาบาลช่วยกันยึดมือทั้งสองข้างไว้อย่างแข็งแรง  ร่างบนเตียงดิ้นขลุกขลัก  เราเบือนหน้าหนีพลางขยับออกห่าง  ยินเพียงเสียงสำลักโอ้กอ้ากเหมือนคนจมน้ำก้องสะท้อนอยู่ในหู  เมื่อกลุ่มพยาบาลกลับออกไป  จึงพบว่ามีท่อใส ๆ หลายเส้นระโยงออกจากร่างของแก  เครื่องวัดสัญญานชีพเรียงรายอยู่ข้างเตียง  เส้นกราฟหลากสีกระพริบบนจอ  ส่งเสียงสูงต่ำเป็นจังหวะคล้ายบรรเลงเพลงกล่อม  เรากอดอกนิ่งมอง  พ่อกำลังถูกย้ายเข้าห้องผู้ป่วยวิกฤติ

            แสงสุดท้ายกำลังลับเหลี่ยมตึกลงไปช้า ๆ  สีส้มซีดจางฉาบทาท้องฟ้า  ลมนิ่งสนิท  อากาศคล้อยค่ำอบอ้าว  เรายืนอยู่ริมระเบียงชั้นสี่  ปล่อยสายตาล่องไปในความว่างเปล่า  กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจากห้องน้ำโชยแตะจมูกบางเบา  หันมองญาติผู้ป่วยหลายคนจ่อมร่างอยู่บนแถวเก้าอี้เรียงรายหน้าห้องไอซียู  ห้องที่แม่เคยทิ้งลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ข้างใน  บนใบหน้าเหล่านั้นมีความกังวล  ความเศร้า  และความหวังผสานกันอยู่อย่างแยกไม่ออก  เราเองก็คงไม่ต่างกัน 

            หมอหนุ่มในชุดปฏิบัติการสีเขียวเข้มออกมาเรียกหาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แต่เรารับรู้ได้ถึงแววกังวลที่แฝงอยู่ในนั้น  พ่อต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน  แต่มีความเสี่ยงสูงมากเพราะเกล็ดเลือดต่ำ  แพทย์ในโรงพยาบาลประจำอำเภอไม่อาจจัดการ  ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ที่มีทีมแพทย์ระดับอาจารย์  ถ้าเราประสงค์  จะต้องเซ็นยืนยันไม่เอาผิดกับโรงพยาบาลหากเกิดเหตุไม่คาดหมายระหว่างเดินทาง 

            เราพยักหน้าโดยไม่ต้องไตร่ตรอง- -

            รถฉุกเฉินทะยานออกสู่ถนนสี่เลน  ดวงไฟสีฟ้าบนหลังคากระพริบวับวาบ  เสียงไซเรนโหยหวนบาดแก้วหู  เครื่องมือช่วยชีวิตถูกติดตั้งไว้เต็มรถ  มีเจ้าหน้าที่กู้ชีพหนุ่มและพยาบาลสาวสองคนนั่งไปด้วย    ผลัดกันบีบบอลลูนตามจังหวะหายใจ  พ่อปิดตาสนิทตลอดเวลา  แต่เรารู้ว่าแกไม่หลับ  ฝนโปรยสายตลอดเส้นทาง  ถนนสีดำฉ่ำน้ำและลื่นเป็นเงา  อีกเกือบสองร้อยกิโลเมตรที่ต้องเดินทาง  แกจะทนไหวหรือเปล่า 

            เราชะเง้อมองออกไปในความมืดนอกรถบ่อยครั้ง  สิ่งแวดล้อมไม่คุ้นเคยวูบไหวผ่านช่องหน้าต่างเป็นระยะ  แต่ในความรู้สึกกลับเชื่องช้าราวการเคลื่อนย้ายของหอยทาก  ระยะห่างระหว่างหลักหมายกิโลเมตรช่างไกลกันเหลือเกิน  หนุ่มกู้ชีพเอ่ยคำเอาใจช่วยว่าใกล้ถึงจุดหมายแล้ว  เราได้แต่ฝืนยิ้มแห้งแล้ง

            ตีหนึ่งล่วงแล้วขณะรถเข้าเทียบหน้าอาคาร  เราหันไปไหว้ขอบคุณทีมนำส่งด้วยความซาบซึ้ง  โบกมือลากันตรงนั้น  ก่อนสาวเท้าตามเตียงที่กำลังเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน 

            แพทย์วัยกลางผู้รับช่วงต่อหันไปสั่งการบางอย่างกับกลุ่มพยาบาล  แล้วแบกหน้าตาเคร่งเครียดเข้ามาหา 

            “ทำไมคุณต้องเสี่ยงมาถึงที่นี่...”  ท่าทางเขาอยากบ่นมากกว่าต้องการคำตอบ  “รู้มั้ยว่าระหว่างทางคนไข้มีโอกาสจะไปได้ตลอดเวลา”  เราเม้มปากสนิท  ในหัวสับสนไม่พร้อมจะเอ่ยอธิบาย  ทำได้เพียงรับฟัง 

            “เชื้ออาจจะกระจายเข้ากระแสเลือดแล้ว  ต้องผ่าตัดทันที  แต่สภาพร่างกายคนไข้ตอนนี้”  หมอชะงักไปชั่วครู่ราวนึกคำไม่ออก  “มีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตระหว่างผ่าตัด  อาจหยุดหายใจ  เลือดไหลไม่หยุด  ช็อค  หรือ...”  เขายักไหล่  แบมือทั้งสองข้างให้เห็นความว่างเปล่า  “คุณต้องตัดสินใจ” 

            เราถูกทิ้งให้ยืนเคว้งอยู่หน้าห้อง  มือชื้นเหงื่อยกโทรศัพท์ขึ้นส่งสัญญานถึงน้องชาย  สรุปกันในเวลาไม่กี่นาทีว่ายังไงก็ต้องเสี่ยง  กดวางสายแล้วเข้าไปเซ็นเอกสารอีกหลายฉบับ  ระหว่างรอทีมแพทย์เตรียมความพร้อม  เราขยับเข้าไปยืนข้างเตียง  หัวคิ้วของพ่อย่นยับบ่งบอกความเจ็บปวด  จังหวะหายใจแผ่วโผย  สัมผัสข้อแขนเบา ๆ  ร่างของแกเย็นเฉียบเหมือนคนตาย  เราก้มลงกระซิบข้างหู

            “ต้องผ่าตัดนะ...”  แค่นั้นเสียงก็กลืนหายลงไปในลำคอ  พ่อนอนนิ่ง  ไม่แสดงอาการรับรู้ใด ๆ

            ก้าวยาว ๆ ตามเตียงไปอย่างกระชั้น  ผ่านทางเดินวกวนเหมือนกำลังหาทางออกจากเขาวงกต  เห็นป้ายไฟหน้าห้องผ่าตัดส่องสว่างอยู่เบื้องหน้า  เตียงไปหยุดอยู่ตรงนั้น  เราจับเท้าเหี่ยวย่นของพ่อพลางเอ่ยเบา ๆ  แล้วเจอกันนะ  ส่งสุดทางได้แค่นั้น  ก่อนชะเง้อมองตามผ่านช่องประตู  ยืนหันซ้ายขวาทำอะไรไม่ถูก  กระทั่งพยาบาลแง้มบานกระจก  บอกให้รออยู่แถวนี้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน  เรารับคำแล้วพาตัวเองไปหย่อนลงบนม้านั่งแถวยาวหน้าห้อง

            ตัวเลขดิจิตอลสีเขียวเรื่อเรืองบนผนัง  บ่งเวลาตีสองสิบสี่นาที  หลอดนีออนหน้าห้องสองคู่สว่างจ้า  หากแต่พ้นรัศมีออกไป  หลืบเหลี่ยมอาคารรายรอบก็สลัวราง  ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีก  เงียบจนยินเสียงหัวใจตัวเองสั่นสะเทือนได้ชัดเจน

 

            ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นยะเยียบ  ตัวเลขกระพริบเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ  จากหนึ่งชั่วโมงเป็นสองชั่วโมง  ในห้องนั้น, พ่อคงกำลังข้ามเส้นพรมแดนไปมาระหว่างความเป็นกับความตาย  เหมือนการเดินทางยาวนานไม่รู้จบ  เราเคยใกล้ชิดกับชีวิตที่กำลังจะแตกดับของใครต่อใครมาแล้วหลายครั้ง  ตระหนักดีว่ามันก็แค่ปรากฎการณ์หนึ่งของวัฎจักร เกิด เติบโต แล้วก็ตาย  แต่ไม่เคยมีความตายครั้งใดบีบหัวใจเท่าตอนนี้   

            เสียงไก่ขันแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง  ไกลเหมือนต่างมิติ  ยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด  แต่ดวงตาแสบเคืองราวเม็ดทรายเข้าไปกองอยู่สักกำมือ  ท้องลั่นโครกครากแต่ไม่นึกหิว  ได้น้ำจากตู้กดไปหนึ่งแก้วเมื่อชั่วโมงก่อน  ชั่วเวลาที่เคลื่อนผ่าน  เหลียวมองประตูห้องผ่าตัดไม่อาจนับครั้ง  มันยังคงปิดเงียบราวร้างคน 

            ยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้า  ก่อนพ่นลมหายใจพรั่งพรูออกมาเป็นสายยาว  หวังเพียงได้ปลดปล่อยความหนักหน่วงภายใน  กระชับกอดตัวเองแนบแน่นพลางปลุกปลอบ  เรามาจนสุดทางแล้ว  หากลมหายใจของพ่อจะขาดห้วงไปในห้องนั้น  คงเหลือสิ่งสุดท้ายที่จะทำได้คือพาร่างของแกกลับบ้านเพียงลำพัง    

            สองชั่วโมงห้าสิบสามนาที  ประตูห้องแง้มเล็กน้อย  หมอคนหนึ่งแทรกตัวออกมาแล้วเดินเอื่อยผ่านไป  กำลังจะตามไปสอบถามแต่ประตูห้องพลันเปิดกว้าง  เตียงถูกเข็นออกมาพร้อมทีมแพทย์พยาบาลห้อมล้อม  เราจ้ำตามโดยไม่ต้องบอก  ผ่านทางเดินหลายเลี้ยว  ก่อนถูกกันให้ยืนใจสั่นอยู่แค่หน้าห้องไอซียู

            เพียงครู่, หมอคนแรกที่ออกจากห้องผ่าตัดก้าวช้า ๆ เข้ามาหา  บอกว่าการผ่าตัดในขั้นแรกเรียบร้อยดี  แต่ต้องลุ้นต่ออีกสี่สิบแปดชั่วโมงเพราะคนไข้ยังอยู่ในภาวะวิกฤติ 

            เราผ่อนลมหายใจยืดยาวอีกครั้ง  และอีกครั้ง - -

            แดดเช้าโรยแสงอุ่นละมุนไล้ไปบนผนังตึก  ดอกโมกโชยกลิ่นหอมเย็นมาอ่อน ๆ  ชีวิตในโรงพยาบาลเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง  ผู้คนแปลกหน้าทยอยเดินพลุกพล่าน  เราทอดก้าวอ่อนล้าออกมาจากห้องน้ำ  หลังเข้าไปวักน้ำลูบหน้ายื้อเปลือกตาที่กำลังจะหรี่ปิดเต็มที  เป็นช่วงเวลาเดียวกับพยาบาลเลื่อนหน้าต่างกระจกออกเรียกหา  บอกให้เข้าไปที่เตียง

            พ่อนอนนิ่งอยู่ในแวดล้อมของเครื่องมือแพทย์  ถุงเลือดและน้ำยาสารพัดห้อยระโยงระยาง  แกเผยอตามองเมื่อยินเรากระซิบเรียก  ถามว่าเจ็บแผลมั้ย  แกพยักหน้าอ่อนโรยตอบรับ  เรากุมฝ่ามือสากกร้านแล้วบีบเบา ๆ  ยินเสียงตัวเองสั่นเครือ 

            “มันผ่านมาแล้วนะพ่อ  ทนอีกหน่อย  แล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน...”

            ตอนนั้นเอง  เราสัมผัสได้ถึงเรี่ยวแรงอ่อนล้าของพ่อที่พยายามจะบีบมือตอบ.                                                                                  

..................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

 

            วรรณกรรมออนไลน์