เรื่องสั้น : อ้อมกอดของพันธนาการ : นพดล พลกูล
เรื่องสั้น : อ้อมกอดของพันธนาการ : นพดล พลกูล
พ่ออายุครบ 78 ปีในวันที่น้องชายมาเยี่ยม บ้านกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เสียงวิ่งเล่นหยอกล้อของหลานสาววัยเจ็ดและแปดขวบจูงมือพ่อออกมาจากโลกเคร่งขรึมพร้อมเสียงหัวเราะเริงร่า ตลอดหลายปีที่ไปสร้างครอบครัวอยู่ภาคเหนือ น้องชายจะกลับมาปีละครั้งสองครั้งเสมอ ระหว่างนั้นแม้จะวีดีโอคอลถึงกันเป็นระยะ แต่มันก็แห้งแล้งจืดชืดไม่เหมือนได้สัมผัสตัวจริง
กระทั่งช่วงสายของวันที่ปาเจโรสปอร์ตคันนั้นกำลังเคลื่อนตัวกลับออกไป เด็ก ๆ เบียดหน้าโผล่ออกมาทางช่องหน้าต่าง พลางโบกมือให้ไหว ๆ พ่อฝืนยิ้มจืดเจื่อน หน่วยตาแดงก่ำ ยืนส่งจนรถสีขาวลับสายตา แกจึงกลับเข้าไปอยู่ในซอกมุมของตัวเองอีกครั้ง เราเก็บกวาดร่องรอยอยู่ภายในบ้าน เหลือบเห็นแกนั่งเขี่ยจอสมาร์ทโฟนเล่นอย่างไร้เป้าหมาย
ยังจำได้ถึงวันแรกที่เราขนกระเป๋าสัมภาระเพียงไม่กี่ใบกลับมา บ้านครึ่งปูนครึ่งไม้อายุสามสิบกว่าปีเก่าโทรมลงตามสภาพ คราบตะไคร่น้ำเขรอะดำกระจายอยู่ทั่วหลังคากระเบื้องทรงจั่ว ผนังปูนสีขาวกะเทาะลอกล่อน ฝาไม้ชั้นบนเปื่อยผุหลุดหล่นไปแล้วหลายแผ่น ทว่ากลิ่นเฉพาะบางอย่างยังคงอวลกรุ่นอยู่ภายใน อาจจะเป็นแป้งหอมที่แม่เคยโรยตัว หรือน้ำมันใส่ผมของพ่อ ผสานปนเปอย่างที่เราคุ้นชินมาตั้งแต่เด็ก
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แม้แต่กำแพงอากาศบาง ๆ ที่คั่นระหว่างเรากับพ่อ ตั้งแต่จำความได้เราไม่เคยสนิทกับแก ไม่เคยรู้สึกถึงความรักอาทรอย่างที่พ่อลูกพึงส่งถึงกัน ในตอนนั้นบางวันที่ครึ้มใจ พ่ออาจหยอกล้อกับน้องชายระเบิดหัวเราะลั่นบ้าน แล้วชวนกันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปเที่ยวเล่น แต่เรานึกภาพไม่ออกว่าเคยมีส่วนร่วมอยู่ในนั้น หรือแท้แล้วมันไม่เคยมี - -
เราจึงเลือกที่จะเนรเทศตัวเองไปเรียนและทำงานอยู่ต่างจังหวัดห่างไกล นับปีค่อยกลับมาให้เห็นหน้ากันสักครั้ง พอได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง แล้วไม่ทันระอาก็ลาจาก มาทุกครั้งก็ยังพอได้ไออุ่นจากบ้านอยู่บ้าง แต่เรื่องกลับมาอย่างถาวรไม่เคยมีในความคิด
กระทั่งเมื่อสองปีก่อน ช่วงพลบค่ำของวันนั้น แวบแรกที่เห็นชื่อพ่อในสายเรียกเข้า สังหรณ์ด้านลบก็จู่จับ ร้อยวันพันปีแกไม่เคยโทรหา พลันยินเสียงละล่ำละลักแว่วมาในคลื่นสัญญาณ มือเท้าเราก็ชาวูบ สรรพสิ่งรายรอบเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ประโยคสั้น ๆ แม่เข้าโรงพยาบาลตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว แล้วงึมงำอะไรต่ออีกสองสามคำ เรารับรู้แค่นั้น
เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงหน้าห้องไอซียู พ่อซุกร่างระโหยอยู่บนเก้าอี้พลาสติกด้านหน้า ใบหน้าเหี่ยวย่นอิดโรย แกพยักหน้าทักทายน้อย ๆ พลางขยับริมฝีปากแห้งผาก เส้นเลือดในสมองของแม่ปริแตก ตอนนี้ลุ้นเพียงขอให้ฟื้น เราหย่อนร่างลงเคียงกัน แล้วปล่อยให้เวลากัดกร่อนความหวังไปอย่างช้า ๆ กระทั่งสิ้นสุดลงพร้อมกับแสงเช้าเรื่อเรือง แม่จากเราไปตอนนั้น...
นั่งมองพ่อในงานศพแม่ เห็นภาพชายชราใช้ชีวิตโดดเดี่ยวลำพัง ถึงคราวเจ็บไข้จะกินอยู่อย่างไร เหลียวมองน้องชาย ภาระการงานและครอบครัวก็รัดรึงจนไม่เหลือความคล่องตัว บอกตัวเองว่าคงถึงเวลากลับบ้านเสียที หลังเสร็จงานศพ คำร้องขอย้ายของเราจึงถูกยื่นไปถึงต้นสังกัด
กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านในรอบหลายปี งานประจำรีดเค้นจนเราต้องหอบร่างระโหยกลับมาทุกเย็น เสร็จจากหาข้าวปลาและจัดการบ้านเรือนแล้วก็หมกตัวอยู่ในห้อง พ่อจมดิ่งอยู่กับโลกเสมือนในจอสมาร์ทโฟน บ้านเงียบราวร้างไร้ผู้คน รอเวลาฟื้นตื่นเมื่อถึงคราวน้องชายกลับมาเยี่ยม
เราก็ได้แต่ปลุกปลอบตัวเองทุกเช้าที่ลืมตาตื่น ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปเรียบเรื่อย ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างนี้ก็ดีแล้ว จะโหยหาอะไรให้มากความอีก แต่ก็นั่นล่ะ, ชีวิตมักหยิบยื่นบททดสอบมาให้โดยเราไม่ได้ร้องขออยู่เสมอ
ผลตรวจร่างกายของพ่อปีนั้นพบว่าเกล็ดเลือดต่ำจนผิดปกติ หลังวินิจฉัยละเอียดอีกหลายครั้ง ได้ผลสรุปเป็นข่าวดีที่มันไม่ใช่ลูคีเมีย เป็นเพียงความผิดปกติของไขกระดูก แต่ข่าวร้ายคือไม่มีทางรักษาให้หายขาด พ่อจะค่อย ๆ อ่อนแอลงทุกวันราวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพชาร์จไฟไม่เข้า การเยียวยาทำได้เพียงเติมเลือดใส่ร่างไปเรื่อย ๆ จนกว่า - -
พ่อถูกความหวั่นวิตกจู่โจมหลังรู้ผล ปกติที่ไม่ค่อยพูดกับเราอยู่แล้วถึงตอนนี้ยิ่งไม่ปริปาก แกกินน้อยลงจนผอมซูบแก้มตอบ ผิวซีดเหลืองผุดผืนกระเป็นดวงด่างลายพร้อย และเพียงชั่วข้ามเดือนดูเหมือนว่าอายุแกจะเพิ่มขึ้นสักสิบปี
หลังจากนั้นพ่อมักจะมีไข้บ่อย ต้องไปนอนให้เลือดและรักษาอาการข้างเคียงที่โรงพยาบาลคราวละสามสี่คืน เวลาของเราหมดไปตรงนั้น ว่างเมื่อไหร่ต้องรีบสะสางงานคั่งค้าง กลับถึงบ้านแทบซุกหัวเข้านอนทั้งยังไม่อาบน้ำกินข้าว ไม่เหลืออารมณ์ออกไปสรวลเสกับเพื่อนฝูง แม้แต่คนรักที่คบหากันมาระยะหนึ่ง ก็ต้องตัดใจปล่อยให้เขาโบยบินไปสู่ชีวิตที่รื่นรมย์กว่า
พ่อกลายเป็นคนโมโหง่าย หงุดหงิดแม้ยินเสียงนกเขาข้างบ้านขันคู เราเอ่ยปากทุกทีก็พาลให้มีแต่เรื่องขุ่นข้อง พูดไม่เข้าหูทำอะไรก็ขัดตา เราจึงจงใจเลี่ยงหลีก แต่ละวันผ่านไปโดยไม่ได้ทักถามกันราวหลงลืม ต่างคนต่างทำเหมือนไม่มีตัวตน พยายามเข้าใจว่าคนแก่และเจ็บป่วยมักเป็นอย่างนี้ แต่ในวันที่กายเหนื่อยล้าหัวใจก็มักอ่อนแอ เปิดโอกาสให้สำนึกเมื่อครั้งเยาว์วัยย้อนมาเยือน เคยคิดว่าพ่อไม่รักถึงขั้นเชื่ออย่างจริงจังว่าถูกเก็บมาเลี้ยง เติบโตจึงค่อยกลบเกลื่อนว่าแค่ชะตาไม่ต้องกัน เป็นความรู้สึกสามัญที่ห้ามกันไม่ได้ แล้วทำใจยอมรับ แล้วก็ได้ตระหนักตอนนี้เองว่า บางครั้งระยะห่างก็ให้ความอบอุ่นได้มากกว่า หัวใจร่ำร้องทุกวันอยากหนีไปให้ไกลอีกสักครั้ง แต่ด้วยพันธนาการที่โอบรัดอยู่ มันแน่นหนาเกินกว่าจะทำอะไรตามใจได้อีก
วันนั้นเลิกงานกลับมาตอนเย็น พบว่าพ่อนอนซมอยู่บนฟูกบาง ๆ หน้าบ้าน ผ้าห่มหนาคลุมถึงคอ หนาวสั่นและมีไข้ ไม่รู้หลับหรือเปล่าแต่เปลือกตาปิดสนิท หลุดเสียงครางฮือ ๆ ในลำคอ เพียงสัมผัสต้นแขนเบา ๆ พ่อก็ลืมตา เราบอกว่าจะพาไปโรงพยาบาล แค่นั้นคิ้วแกก็ขยุกย่น บอกความไม่พึงใจด้วยสายตาขุ่นเขียว ก่อนหลับตาลงอีกครั้งราวไม่อยากรับรู้
กระทั่งค่อนดึก บรรยากาศรายรอบสงบสงัด ตุ๊กแกบางตัวส่งเสียงเรียกหากันบนซอกหลังคา เรานอนมองฝ้าเพดานดวงตาแห้งผาก ยินเข็มวินาทีบนผนังกระดิกแก๊ก ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ย่องออกมาแง้มประตูห้องพ่อ เพ่งสายตาฝ่าความสลัวราง เห็นร่างแกกระสับกระส่าย ผ้าขนหนูหมาดน้ำพาดหน้าผาก เราเข้าไปถามอาการ เสียงสั่นเครือลอดออกมาว่าปวดท้อง จึงค่อยประคองให้ลุกนั่ง กระซิบบอกว่าไปโรงพยาบาลกัน แกพยายามจะหยัดยืนด้วยตัวเอง แต่ก็ทำได้เพียงนั่งพิงฝาอยู่บนฟูก เราใช้เวลาเก็บของจำเป็นไม่เกินสิบนาที ก่อนเปิดไฟหน้ารถสว่างจ้า แล้วกดคันเร่งออกไปอย่างร้อนรน
พ่อได้รับการเยียวยาด้วยน้ำเกลือและยาธาตุน้ำขาว รอหมอเวรมาถึงราวสิบโมงเช้า ตอนนั้นแกนอนคุดคู้หน้าซีดเผือดเหมือนหญ้าแห้ง พ่นเสียงครางออกมาพอได้ยิน หลังวินิจฉัยอาการหมอสั่งใช้เครื่องช่วยหายใจ พยาบาลสามคนรับทราบแล้ววิ่งจัดอุปกรณ์กันวุ่นวาย
มันเกิดขึ้นฉับพลันจนเราไม่ทันตั้งรับว่าอาการของพ่อจะไปถึงขั้นนั้น ท่อยางขนาดหัวแม่มือถูกแหย่ลึกลงไปในลำคอ พ่อสะดุ้งสุดตัว ตาเหลือกลาน พยาบาลช่วยกันยึดมือทั้งสองข้างไว้อย่างแข็งแรง ร่างบนเตียงดิ้นขลุกขลัก เราเบือนหน้าหนีพลางขยับออกห่าง ยินเพียงเสียงสำลักโอ้กอ้ากเหมือนคนจมน้ำก้องสะท้อนอยู่ในหู เมื่อกลุ่มพยาบาลกลับออกไป จึงพบว่ามีท่อใส ๆ หลายเส้นระโยงออกจากร่างของแก เครื่องวัดสัญญานชีพเรียงรายอยู่ข้างเตียง เส้นกราฟหลากสีกระพริบบนจอ ส่งเสียงสูงต่ำเป็นจังหวะคล้ายบรรเลงเพลงกล่อม เรากอดอกนิ่งมอง พ่อกำลังถูกย้ายเข้าห้องผู้ป่วยวิกฤติ
แสงสุดท้ายกำลังลับเหลี่ยมตึกลงไปช้า ๆ สีส้มซีดจางฉาบทาท้องฟ้า ลมนิ่งสนิท อากาศคล้อยค่ำอบอ้าว เรายืนอยู่ริมระเบียงชั้นสี่ ปล่อยสายตาล่องไปในความว่างเปล่า กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจากห้องน้ำโชยแตะจมูกบางเบา หันมองญาติผู้ป่วยหลายคนจ่อมร่างอยู่บนแถวเก้าอี้เรียงรายหน้าห้องไอซียู ห้องที่แม่เคยทิ้งลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ข้างใน บนใบหน้าเหล่านั้นมีความกังวล ความเศร้า และความหวังผสานกันอยู่อย่างแยกไม่ออก เราเองก็คงไม่ต่างกัน
หมอหนุ่มในชุดปฏิบัติการสีเขียวเข้มออกมาเรียกหาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เรารับรู้ได้ถึงแววกังวลที่แฝงอยู่ในนั้น พ่อต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน แต่มีความเสี่ยงสูงมากเพราะเกล็ดเลือดต่ำ แพทย์ในโรงพยาบาลประจำอำเภอไม่อาจจัดการ ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ที่มีทีมแพทย์ระดับอาจารย์ ถ้าเราประสงค์ จะต้องเซ็นยืนยันไม่เอาผิดกับโรงพยาบาลหากเกิดเหตุไม่คาดหมายระหว่างเดินทาง
เราพยักหน้าโดยไม่ต้องไตร่ตรอง- -
รถฉุกเฉินทะยานออกสู่ถนนสี่เลน ดวงไฟสีฟ้าบนหลังคากระพริบวับวาบ เสียงไซเรนโหยหวนบาดแก้วหู เครื่องมือช่วยชีวิตถูกติดตั้งไว้เต็มรถ มีเจ้าหน้าที่กู้ชีพหนุ่มและพยาบาลสาวสองคนนั่งไปด้วย ผลัดกันบีบบอลลูนตามจังหวะหายใจ พ่อปิดตาสนิทตลอดเวลา แต่เรารู้ว่าแกไม่หลับ ฝนโปรยสายตลอดเส้นทาง ถนนสีดำฉ่ำน้ำและลื่นเป็นเงา อีกเกือบสองร้อยกิโลเมตรที่ต้องเดินทาง แกจะทนไหวหรือเปล่า
เราชะเง้อมองออกไปในความมืดนอกรถบ่อยครั้ง สิ่งแวดล้อมไม่คุ้นเคยวูบไหวผ่านช่องหน้าต่างเป็นระยะ แต่ในความรู้สึกกลับเชื่องช้าราวการเคลื่อนย้ายของหอยทาก ระยะห่างระหว่างหลักหมายกิโลเมตรช่างไกลกันเหลือเกิน หนุ่มกู้ชีพเอ่ยคำเอาใจช่วยว่าใกล้ถึงจุดหมายแล้ว เราได้แต่ฝืนยิ้มแห้งแล้ง
ตีหนึ่งล่วงแล้วขณะรถเข้าเทียบหน้าอาคาร เราหันไปไหว้ขอบคุณทีมนำส่งด้วยความซาบซึ้ง โบกมือลากันตรงนั้น ก่อนสาวเท้าตามเตียงที่กำลังเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน
แพทย์วัยกลางผู้รับช่วงต่อหันไปสั่งการบางอย่างกับกลุ่มพยาบาล แล้วแบกหน้าตาเคร่งเครียดเข้ามาหา
“ทำไมคุณต้องเสี่ยงมาถึงที่นี่...” ท่าทางเขาอยากบ่นมากกว่าต้องการคำตอบ “รู้มั้ยว่าระหว่างทางคนไข้มีโอกาสจะไปได้ตลอดเวลา” เราเม้มปากสนิท ในหัวสับสนไม่พร้อมจะเอ่ยอธิบาย ทำได้เพียงรับฟัง
“เชื้ออาจจะกระจายเข้ากระแสเลือดแล้ว ต้องผ่าตัดทันที แต่สภาพร่างกายคนไข้ตอนนี้” หมอชะงักไปชั่วครู่ราวนึกคำไม่ออก “มีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตระหว่างผ่าตัด อาจหยุดหายใจ เลือดไหลไม่หยุด ช็อค หรือ...” เขายักไหล่ แบมือทั้งสองข้างให้เห็นความว่างเปล่า “คุณต้องตัดสินใจ”
เราถูกทิ้งให้ยืนเคว้งอยู่หน้าห้อง มือชื้นเหงื่อยกโทรศัพท์ขึ้นส่งสัญญานถึงน้องชาย สรุปกันในเวลาไม่กี่นาทีว่ายังไงก็ต้องเสี่ยง กดวางสายแล้วเข้าไปเซ็นเอกสารอีกหลายฉบับ ระหว่างรอทีมแพทย์เตรียมความพร้อม เราขยับเข้าไปยืนข้างเตียง หัวคิ้วของพ่อย่นยับบ่งบอกความเจ็บปวด จังหวะหายใจแผ่วโผย สัมผัสข้อแขนเบา ๆ ร่างของแกเย็นเฉียบเหมือนคนตาย เราก้มลงกระซิบข้างหู
“ต้องผ่าตัดนะ...” แค่นั้นเสียงก็กลืนหายลงไปในลำคอ พ่อนอนนิ่ง ไม่แสดงอาการรับรู้ใด ๆ
ก้าวยาว ๆ ตามเตียงไปอย่างกระชั้น ผ่านทางเดินวกวนเหมือนกำลังหาทางออกจากเขาวงกต เห็นป้ายไฟหน้าห้องผ่าตัดส่องสว่างอยู่เบื้องหน้า เตียงไปหยุดอยู่ตรงนั้น เราจับเท้าเหี่ยวย่นของพ่อพลางเอ่ยเบา ๆ แล้วเจอกันนะ ส่งสุดทางได้แค่นั้น ก่อนชะเง้อมองตามผ่านช่องประตู ยืนหันซ้ายขวาทำอะไรไม่ถูก กระทั่งพยาบาลแง้มบานกระจก บอกให้รออยู่แถวนี้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน เรารับคำแล้วพาตัวเองไปหย่อนลงบนม้านั่งแถวยาวหน้าห้อง
ตัวเลขดิจิตอลสีเขียวเรื่อเรืองบนผนัง บ่งเวลาตีสองสิบสี่นาที หลอดนีออนหน้าห้องสองคู่สว่างจ้า หากแต่พ้นรัศมีออกไป หลืบเหลี่ยมอาคารรายรอบก็สลัวราง ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีก เงียบจนยินเสียงหัวใจตัวเองสั่นสะเทือนได้ชัดเจน
ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นยะเยียบ ตัวเลขกระพริบเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จากหนึ่งชั่วโมงเป็นสองชั่วโมง ในห้องนั้น, พ่อคงกำลังข้ามเส้นพรมแดนไปมาระหว่างความเป็นกับความตาย เหมือนการเดินทางยาวนานไม่รู้จบ เราเคยใกล้ชิดกับชีวิตที่กำลังจะแตกดับของใครต่อใครมาแล้วหลายครั้ง ตระหนักดีว่ามันก็แค่ปรากฎการณ์หนึ่งของวัฎจักร เกิด เติบโต แล้วก็ตาย แต่ไม่เคยมีความตายครั้งใดบีบหัวใจเท่าตอนนี้
เสียงไก่ขันแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง ไกลเหมือนต่างมิติ ยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด แต่ดวงตาแสบเคืองราวเม็ดทรายเข้าไปกองอยู่สักกำมือ ท้องลั่นโครกครากแต่ไม่นึกหิว ได้น้ำจากตู้กดไปหนึ่งแก้วเมื่อชั่วโมงก่อน ชั่วเวลาที่เคลื่อนผ่าน เหลียวมองประตูห้องผ่าตัดไม่อาจนับครั้ง มันยังคงปิดเงียบราวร้างคน
ยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้า ก่อนพ่นลมหายใจพรั่งพรูออกมาเป็นสายยาว หวังเพียงได้ปลดปล่อยความหนักหน่วงภายใน กระชับกอดตัวเองแนบแน่นพลางปลุกปลอบ เรามาจนสุดทางแล้ว หากลมหายใจของพ่อจะขาดห้วงไปในห้องนั้น คงเหลือสิ่งสุดท้ายที่จะทำได้คือพาร่างของแกกลับบ้านเพียงลำพัง
สองชั่วโมงห้าสิบสามนาที ประตูห้องแง้มเล็กน้อย หมอคนหนึ่งแทรกตัวออกมาแล้วเดินเอื่อยผ่านไป กำลังจะตามไปสอบถามแต่ประตูห้องพลันเปิดกว้าง เตียงถูกเข็นออกมาพร้อมทีมแพทย์พยาบาลห้อมล้อม เราจ้ำตามโดยไม่ต้องบอก ผ่านทางเดินหลายเลี้ยว ก่อนถูกกันให้ยืนใจสั่นอยู่แค่หน้าห้องไอซียู
เพียงครู่, หมอคนแรกที่ออกจากห้องผ่าตัดก้าวช้า ๆ เข้ามาหา บอกว่าการผ่าตัดในขั้นแรกเรียบร้อยดี แต่ต้องลุ้นต่ออีกสี่สิบแปดชั่วโมงเพราะคนไข้ยังอยู่ในภาวะวิกฤติ
เราผ่อนลมหายใจยืดยาวอีกครั้ง และอีกครั้ง - -
แดดเช้าโรยแสงอุ่นละมุนไล้ไปบนผนังตึก ดอกโมกโชยกลิ่นหอมเย็นมาอ่อน ๆ ชีวิตในโรงพยาบาลเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ผู้คนแปลกหน้าทยอยเดินพลุกพล่าน เราทอดก้าวอ่อนล้าออกมาจากห้องน้ำ หลังเข้าไปวักน้ำลูบหน้ายื้อเปลือกตาที่กำลังจะหรี่ปิดเต็มที เป็นช่วงเวลาเดียวกับพยาบาลเลื่อนหน้าต่างกระจกออกเรียกหา บอกให้เข้าไปที่เตียง
พ่อนอนนิ่งอยู่ในแวดล้อมของเครื่องมือแพทย์ ถุงเลือดและน้ำยาสารพัดห้อยระโยงระยาง แกเผยอตามองเมื่อยินเรากระซิบเรียก ถามว่าเจ็บแผลมั้ย แกพยักหน้าอ่อนโรยตอบรับ เรากุมฝ่ามือสากกร้านแล้วบีบเบา ๆ ยินเสียงตัวเองสั่นเครือ
“มันผ่านมาแล้วนะพ่อ ทนอีกหน่อย แล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน...”
ตอนนั้นเอง เราสัมผัสได้ถึงเรี่ยวแรงอ่อนล้าของพ่อที่พยายามจะบีบมือตอบ.
..................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”