เรื่องสั้น : คนบาปสายบุญ : ณ ชล คนธรรมดา

เรื่องสั้น : คนบาปสายบุญ : ณ ชล คนธรรมดา

 

            มันคงคิดว่าฆ่าผมตายไปแล้ว 

            ผมไม่รู้ตัวเลยว่าชายรูปร่างสูงใหญ่ตามผมมายังโฮมสเตย์ที่ดัดแปลงจากกระต๊อบชาวสวน รู้ตัวตอนที่มันบุกมาถึงตัวในห้องพัก มันใช้เชือกสนตะพายควายคล้องคอผมตะคอกถามว่า “รองเท้าของกูอยู่ไหน เอาคืนมา ไม่งั้นมึงตาย” ผมยิ่งดิ้นมันยิ่งรัดแน่นขึ้น เมื่อผมคอพับกองพับพื้น มันหยุดมือ หันรีหันขวาง แล้วคว้ากระสอบที่ใช้เป็นผ้าปูโต๊ะมา จับผมยัดลงไป เอาเชือกฟางที่ใช้แขวนเสื้อผ้ามัดปาก อุ้มไปวางท้ายรถมอเตอร์ไซค์ ขี่บุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาไปโยนทิ้งลงในบ่อน้ำเก่าที่ก้นบ่อเต็มไปด้วยกิ่งไม้ใบไม้เน่าเหม็น

            มันคิดว่าผมคงกลายเป็นผีเฝ้าบ่อน้ำหมู่บ้านร้างแล้ว ในดงพงป่ารกแถบนี้ไม่มีใครอยากเฉียดใกล้ มีเสียงร่ำลือว่าผีดุ หลังจากโขลงช้างยกโขยงมาถล่มบ้านที่รุกล้ำเข้าไปในถิ่นของพวกมัน จ่าฝูงตัวใหญ่นำทีมกระทืบกระต๊อบแหลกลาญ เหยียบคนจมเท้าไปเกือบสิบ คนที่รอดตายพากันหนีลงจากเขา ไม่มีใครกล้ากลับขึ้นมาปลูกบ้านบนเขาอีก

            และยังเล่าลือด้วยว่า ในคืนเพ็ญเต็มดวง หมู่บ้านช้างเหยียบจะมีเสียงร้องรำทำเพลงลอยลม ยิ่งดึกยิ่งมีเสียงโหยหวนชวนขนลุก เสียงดังลอยไกลถึงหมู่บ้านที่กำลังพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ แปรสภาพกระต๊อบเป็นโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวมาพักนอน

            พอไอ้คนชั่วทิ้งผมลงไปก้นบ่อ มันก็รีบบิดมอเตอร์ไซค์ลงจากเขา ปล่อยให้ผมต้องเผชิญชีวิตบทใหม่  อยู่กับความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง แต่ว่าผมไม่ยี่หระหรอก ผมผ่านศึกมาหนักหนาสาหัส มันสิน่าห่วงกว่า ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดจากคุกตะรางได้หรือไม่  ส่วนผมนั้นไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ไม่กลัว ผมเรียนรู้เอาชีวิตรอดมาตั้งแต่ 6 - 7 ขวบ ขอคุณพระคุณเจ้าจงคุ้มครองให้เด็กคนอื่นอย่าต้องมาเผชิญชีวิตแบบผมเลย เมื่อพ่อกับแม่หมดโปรโมชั่น “ความรัก” พวกเขาเข้าสู่โหมดสงครามบู๊ล้างผลาญ พลอยให้หญ้าแพรกอย่างผมต้องแหลกลาญไปด้วย

            แม่กับยายเดินทางจากที่ราบสูงมาตายดาบหน้ายังเมืองชายฝั่งทะเล หลังจากตาตัดช่องน้อยหนีจนไปบวชพระไม่ยอมสึก ในเมืองอุตสาหกรรมงานสำหรับคนจบ ป.6 มีไม่มากนัก แม่ต้องจำใจทำอาชีพแม่บ้าน ทำงานอยู่ออฟฟิศในเมืองห่างจากห้องเช่าสิบกว่ากิโลฯ แม่มักบ่นว่าถูกใช้งานหนักทั้งวัน ต้องเช็ดต้องถูพื้นที่เปื้อนอยู่ตลอด คอยล้างจาน ชงกาแฟ ออกไปซื้อโน่นซื้อนี่ตามที่เจ้านายต้องการแทบทั้งวัน  เลิกงานด้วยความเมื่อยล้า ยังต้องโหนรถเมล์อีกเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงปากซอย เลยต้องแวะกระดกเบียร์เพื่อผ่อนคลายหน้าร้านสะดวกซื้อ แล้วหิ้วติดมือมาดื่มต่อในห้องเช่า

            ส่วนพ่อเวลาเมาจะคร่ำครวญถึงอดีต เคยเป็นคุณหนูลูกเศรษฐีชาวนา  มีที่นาเป็นร้อยไร่ แต่เจ้ากรรมปู่ดันติดพนัน ผลาญที่นาหมดเกลี้ยงก่อนพ่อเรียนจบ ป.6 แถมเป็นหนี้เป็นสินญาติเกือบทั้งตระกูล ครอบครัวบ้านแตกสาแหรกขาด ลูกหลานกระเซอะกระเซิงไปตามยถากรรม ผมไม่รู้ว่าพ่อพูดจริงหรือโกหก เพราะไม่มีญาติโกโหติกาให้สืบสาว เมื่อผมจำความได้พ่อก็เป็น รปภ.แล้ว มีหน้าที่คอยเลื่อนไม้กั้นเปิด – ปิดให้รถเข้า - ออกหน้าหมู่บ้านจัดสรรมีรูปปั้นเป็นช้างตัวโตสีดำมะเมื่อม

            พ่อออกไปทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า เลิกงานตอน 6 โมงเย็น ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย พ่อก็เอาเหล้าขาวที่แบ่งขายใส่ขวดเครื่องดื่มชูกำลังมาแอบดื่ม เลิกงานก็ขี่จักรยานมาแวะเติมที่ร้านชำปากซอยแล้วค่อยกลับบ้าน บางวันพ่อเข้าบ้านด้วยเลือดกลบปากแข้งขาถลอกปอกเปิก มาถึงก็โวยวายว่า “ไอ้หมาระยำมันวิ่งตัดหน้า ทำเอากูกินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวัน” แต่ก็มีเสียงดังไม่แพ้กันขัดคอว่า “กูว่ามึงเมาแล้วขี่รถไม่ดูตาม้าตาเรือล้มเองมากกว่า” จากนั้นการถกเถียงแบบคอเป็นเอ็นดังขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาก็ปล่อยอาวุธเข้าใส่กัน

            เมื่อผมตกอยู่ท่ามกลางสงครามผัวเมีย การเอาตัวรอดนับเป็นทักษะจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจานบิน ชามบิน กระทะเหาะ อาวุธทางอากาศทั้งหลาย ผมเรียนรู้หลบหลีกจนช่ำชอง หลังจากโดนเข้าไปหลายโป๊ก ผมก็จับจังหวะการบินการเหาะของพวกมันได้  แต่สิ่งที่เป็นปมคาใจผมอย่างสลัดไม่หลุดคือรองเท้าบิน รองเท้าบู๊ทของพ่อจากมือแม่บินพลาดเป้า แทนที่จะพุ่งใส่คู่กรณีกลับพุ่งเข้าใส่หัวผมซึ่งนั่งหลบมุมเหมาะเหม็ง ผมหงายหลังตึงแน่นิ่งไป มีแผลหัวแตกเลือดอาบ เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินยายตวาดแม่ดังลั่นจนห้องข้าง ๆ วิ่งมาดู แล้วยายก็รีบขี่จักรยานของพ่อเอาผมนั่งซ้อนท้ายไปส่งอนามัย ผมต้องนอนพักรักษาตัวถึง 3 วันกว่าหมอจะยอมให้กลับบ้าน ต่อมามีคนพบว่ารองเท้าคู่นั้นถูกสับเป็นชิ้น ๆ ทิ้งอยู่ในกองขยะโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร และมันกลายเป็นปมแห่งความเกลียดชังฝังลึกที่ผมมีต่อรองเท้าบู้ทสีดำจนไม่สามารถสลัดหลุดได้

 

                                    **************************************************

 

            ผมน้ำตาร่วงเมื่อขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาถึงห้องเช่า ยายซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา 25 ปีไม่หายใจแล้ว นางเดินทางไกลตามพ่อกับแม่ไปอีกคน แม่พระที่คอยดึงรั้งผมจากความเลวร้ายจากไปก่อนที่ผมจะได้ตอบแทนคุณ

            “เดี๋ยวช่วงตรุษจีน เอ็งพายายไปปิดทองฝังลูกนิมิตหน่อยนะ ยายอยากไป 7 วัด ถือว่าเป็นการทำบุญก่อนตาย“ ยายเอ่ยกับผมหลังจากที่เริ่มลุกเดินลำบาก ตกกลางคืนก็มีอาการไอถี่

            “ยายไปได้น่าเจ้าเหลือ” หญิงชรายืนยัน เมื่อเห็นผมมีท่าทางลังเล แต่ว่ายายอยู่ไม่ถึงวันนั้น ยายสิ้นบุญไปก่อน ผมตั้งปณิธานว่าจะทำในสิ่งที่ยายปรารถนา แต่การต้องสู้รบกับงานที่ต้องถูกบังคับให้ทำโอทีจนดึกดื่น หาวันหยุดแทบไม่ได้เลย

            ผมมีชื่อตามบัตรประชาชนว่า “บุญเหลือ” แต่ผมเหมือนพ่อแม่ปล่อยให้เกิดมาได้ก็บุญแล้ว เพราะตั้งแต่จำความได้มีแต่ยายชื่นคอยดูแล นอกจากนั้นผมเหมือนเป็นของเล่นระบายอารมณ์เวลาเมาของพ่อแม่ ต้องคอยหลบหลีกของบินของเหาะจากมือของทั้งสองคน ทำใหผมเข้าใจถ่องแท้ว่าน้ำเปลี่ยนนิสัยมีคุณสมบัติตามที่เขาว่าไว้จริง ๆ ในยามปรกติพ่อไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แม่ก็ไม่ใช่คนปากมาก แต่พอกระดกเจ้าน้ำนั่นลงคอไปไม่กี่อึก พวกเขาก็เปลี่ยนนิสัยจริง ๆ ต่างคนต่างบ่นว่าทำงานเหนื่อยใจแทบขาด แล้วพานหาเรื่องทะเลาะกันเรื่องทำมาหาเงินไม่พอใช้ จากนั้นก็มาลงที่มารหัวขนอย่างผม เมื่อทนไม่ไหวจริง ๆ ยายพาผมหนีไปเช่าห้องอยู่ใหม่ ทำงานรับจ้างทั่วไปส่งผมเรียนจนจบช่างเทคนิค ส่วนพ่อแม่หรือโผล่มาหานับครั้งได้จนกระทั่งตายจาก แต่ว่าบาดแผลจากการกระทำของพ่อแม่ยังคงบาดลึกในใจผม มันบ่มเพาะความชั่วร้ายซึ่งยิ่งทวีเพิ่มขึ้นตามวัยที่โตขึ้น

            แม้จะมีวันหยุดเพียงวันเดียวต่อสัปดาห์ แต่จิตใจของผมกระวนกระวายเมื่อต้องหมกตัวอยู่แต่ในห้องเช่า ผมรู้สึกเหมือนว่าจะต้องหนีอะไรอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เผลองีบหลับ จานบินกระทะเหาะก็พุ่งเข้าใส่ให้ต้องหลบหลีกเป็นพัลวัน ทำให้ผมอยู่ในบ้านต่อไปไม่ได้ต้องออกไปไหนสักแห่ง แรก ๆ ผมเลือกจะไปกินข้าวตามร้านอาหารจำพวกคาเฟ่กลางทุ่งนา หรือไม่ก็กาแฟในสวน ตกค่ำแวะเข้าผับฟังเพลงตื๊ด ๆ โดยวาดหวังว่ามันจะทำจิตใจคึกคักครึกครื้น แต่ที่ไหนได้ กลับตรงกันข้าม มันเดียวดายวังเวงเหมือนอยู่ในป่าช้า ทนอยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับ พอกลับมาหลับตานอนก็เจอพวกบินกันว่อนอีก ทำให้นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน

            ยายเคยบอกว่าให้หาเวลาไปวัดไปวาบ้าง อยู่ใกล้พระจะช่วยทำให้จิตใจสงบ ยายคงเห็นใจในทุกข์ของผม เพราะหลายครั้งผมตื่นขึ้นมาร้องโวยวายกลางดึก ยายลุกขึ้นมาลูบหลังและพูดปลอบใจ ผมไม่อยากไปวัดหรอกเพราะคิดว่ายังไม่ถึงวัย แต่ว่าถูกมันรุมเร้าไม่หยุดไม่หย่อน จนรู้สึกเหนื่อยล้ามาก เลยตัดสินใจลองเข้าวัดดู นั่นทำให้ผมได้มาพบเหรียญอีกด้าน  พบว่าการเข้าวัดมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าไปร้านอาหารไปผับบาร์เป็นสิบเท่า แค่หยอดแบงก์ 20 บาทลงตู้ รับดอกไม้ธูปเทียนทองมา มันเป็นใบเบิกทางให้ไปได้ทั่ววัด

            เมื่อเข้าวัดสิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่พระพุทธรูปในโบสถ์ที่ถูกปั้นแต่งว่าขอโน่นขอนี่ได้ตามความต้องการ ไม่ใช่ถวายสังฆทานทำบุญโดยไม่เจาะจงผู้ใด อีกทั้งไม่ใช่ทำบุญลอยฟ้าเพื่อพาขึ้นสวรรค์ตามที่โฆษกวัดคอยเป่าหู รวมถึงการทำบุญโลงศพอุทิศผลบุญให้ผีไร้ญาติเผื่อชาติหน้าจะเกิดมามีญาติมิตรคอยห้อมล้อมช่วยเหลือ แต่ว่าเป็นของที่วางระเกะระกะอยู่รอบโบสถ์ ผมต้องตาต้องใจมันอย่างมาก ผมอยากได้มันระบายความแค้นที่ยังคงเกาะแน่นอยู่ในใจ  และยังทำให้ผมต้องตั้งสติและความรอบคอบอย่างสูง ทั้งกวาดตามองเจ้าหน้าที่ของวัดด้วยความระแวดระวังว่าแอบซุ่มอยู่ตามมุมไหนบ้าง สอดส่ายดูกล้องวงจรปิดว่าติดตั้งตรงไหน หากวันไหนผมได้ของถูกใจ ผมจะหลับเป็นตายตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึง 6 โมงเช้า โดยไม่มีจานบินกระทะเหาะมากวนใจ

 

                        **************************************************

 

            กว่าที่ผมจะได้ทำในสิ่งที่ยายต้องการได้เวลาก็ผ่านไปถึง 2 ปี ผมเปิดหาข้อมูลอยู่ 3 - 4 วัน จึงกำหนดวัดเพื่อไปปิดทองฝังลูกนิมิตได้  พร้อมกับจองโฮมสเตย์เอาไว้ด้วยเลย โฮมสเตย์แห่งนี้ผมเคยไปพักมาแล้วครั้้งหนึ่ง บรรยากาศดีมาก อากาศไม่ร้อน อยู่ในหุบเขาล้อมรอบด้วยสวนทุเรียน เงาะและยางพารา อีกทั้งอยู่ห่างจากวัดสุดท้ายที่จะไปปิดทองแค่สิบกว่ากิโลฯ  คราวนั้นผมไปเจอเข้าโดยบังเอิญ หลังควบมอเตอร์ไซค์ไปชิมทุเรียนเพลินจนหลงไปที่นั่น ผมกินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้วล้มตัวนอนหลับเป็นตายตั้งแต่ 2 ทุ่มจนถึงรุ่งเช้า ตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงนกเขานกเอี้ยงนกป่าร้องฟังรื่นหู และคืนนั้นผมไม่ต้องหลบจานบินกระทะเหาะเลย

            วันที่ผมเดินทางสายบุญเป็นวันเสาร์เดือนแห่งความรัก ผมไปถึงวัดแรกประมาณ 8 โมงเช้า วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก มีรถนักแสวงบุญไหลเข้าวัดยาวเหยียดตั้งแต่เช้า แต่พวกแว้นมอเตอร์ไซค์อย่างผมไม่มีปัญหา สามารถซิกแซ็กหลบหลีกเข้าไปยังลานจอดรถได้ไม่ยาก วัดนี้จัดการดี มีลานจอดรถกว้างขวาง มีรถแบบที่ใช้ในสวนสัตว์มารับคนจากลานจอดรถไปส่งถึงหน้าโบสถ์ มีเต็นท์ใหญ่จุคนได้หลายร้อยคน มีโคมไฟจีนสีแดงห้อยระย้ารับบรรยากาศตรุษจีน แม้ผมจะเข้าวัดบ่อย แต่สำหรับงานปิดทองฝังลูกนิมิตถือว่าเป็นครั้งแรก จึงงง ๆ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี แต่คิดว่าการทำบุญคงเริ่มต้นเหมือน ๆ กันที่จุดวางดอกไม้ธูปเทียน เดินเข้าไปพบว่ามีอยู่หลายจุด ประสาคนหนุ่มโสด จึงเลือกไปจุดที่สาว ๆ นั่งอยู่ พอผมหยอดแบงก์ 20 บาท ลงในตู้สาวใส่ชุดไทยสีเหลืองส่งของที่จัดวางไว้เป็นชุด ๆ ให้พร้อมรอยยิ้ม

            ผมเลือกนั่งโต๊ะไม้ยาวที่มีคนนั่งอยู่ 3 - 4 คน ผมเป็นมือใหม่ปิดทองฝังลูกนิมิต หากไม่รู้อะไรจะได้ถามคนเฒ่าคนแก่ได้ เมื่อนั่งได้ที่ก็กระจายสิ่งของที่รับจากมือหญิงสาวยิ้มสวยออก มีดอกไม้กำหนึ่งเป็นกล้วยไม้สีขาวมีพลาสติกใสหุ้มอยู่ น่าเป็นการป้องกันไม่ให้ดอกไม้เฉามือเพราะต้องวนใช้หลายรอบ มีธูป 3 ดอกมัดติดกับเทียนเหลืองเล็ก ๆ 1 เล่ม มีไม้เสียบเงินโพธิ์ทองกับโพธิ์เงิน มีกระดาษหุ้มแผ่นทองปึกหนึ่ง ผมนับดูพบว่ามี 10 แผ่น นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ปิดทองลูกนิมิตกันแค่ 9 ลูก แต่ทำไมมีทองให้ปิดถึง 10 แผ่น คิดเอาเองว่าคงสำรองไว้เผื่อแผ่นทองปลิวลมไป นอกจากนี้ยังมีเข็มกับด้ายและกระดาษพิมพ์ลูกนิมิตและข้อความว่าคำอธิษฐานปิดทองฝังลูกนิมิต ผมไม่ได้อ่านรายละเอียด แค่เขียนชื่อแบบลายเซ็นลงไป  ผมสนใจเรื่องเข็มกับด้ายมากกว่า เขาให้มาทำไม หันไปดูคุณตานั่งฝั่งตรงข้าม แกกำลังง่วนอยู่กับการสนด้ายเข้ารูเข็ม ได้ยินเสียงบ่นว่า “ทำไมให้เข็มรูเล็กนักวะ” หญิงสาวเสื้อแดงนั่งอยู่ข้าง ๆ หัวเราะบอกให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ สนไป สนไม่ได้ก็ไม่ต้องสน เอาเสียบกระดาษเลย ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาให้สนด้ายเข้ารูเข็มทำไม แต่การสนด้ายเข้ารูเข็มไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนหนุ่มตาดีที่ฝึกฝนการหลบหลีกจานบินกระทะเหาะมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อสนเสร็จ ผมทำตามป้าที่นั่งข้าง ๆ เอาแบงก์ 20 บาทสอดใส่ในไม้โพธิ์เงินโพธิ์ทองอย่างละใบ

            ผมไม่รู้ว่าคุณตาสนด้ายเข้ารูเข็มสำเร็จหรือเปล่า ตอนผมลุกขึ้นแกยังพยายามอยู่ ผมเข้าไปจุดเทียนจุดธูปไหว้พระ เสร็จแล้วนั่งพับเพียบท่องนะโมจบ 3 จบ อธิษฐานให้ยายไปสู่สุคติ เกิดชาติหน้าอย่าเจอเรื่องเลวร้ายเหมือนในชาตินี้อีกเลย พร้อมกับขอพรให้ตัวเองหลุดพ้นจากความทุกข์ ผมเจอความทุกข์มามากแล้วขออย่าต้องผจญกับมันต่อไปอีกเลย เมื่อก้มกราบ 3 ครั้งแล้วเอาดอกไม้ไปวางในถาดซึ่งมีคนมาหยิบไปอย่างรวดเร็ว ส่วนธูปเทียนเอาไปวางในกระบะทราย ลมร้อนพัดแรงมากทำให้เทียนดับทันทีเมื่อถูกปักลง เหลือเพียงแต่ธูป 3 ดอกยังส่งควันลอยคลุ้ง จากนั้นผมเอาใบโพธิ์เงินโพธิ์ทองไปแยกเสียบตามต้น ทั้ง 2 ต้นเกือบไม่มีที่ให้เสียบแล้ว เมื่อเดินไปถึงหน้าโบสถ์ เจอไซขนาดใหญ่ขวางอยู่ มันมีชื่อด้วย ชื่อว่า “ไซดักทรัพย์“ ผมหัวเราะ นี่เป็นยุทธวิธีล้วงเงินในกระเป๋าพวกสายบุญได้อีกจุดหนึ่ง ผมควักแบงก์ 20 บาท ใส่ลงไปใบหนึ่ง

            พอขึ้นไปบนโบสถ์พบว่าคนพลุกพล่านกว่าในเต็นท์ เจอลูกนิมิตแขวนสาแหรกอยู่ ผมคลี่กระดาษปิดทองทันที แต่หูพลันได้ยินป้าซึ่งเดินตามมาพูดเบา ๆ ว่า “พ่อหนุ่ม นี่ลูกนิมิตลูกที่ 9 นะ ต้องไปปิดลูกที่ 1 ในโบสถ์ก่อน” ผมชะงักแล้วส่ายตามองรอบลูกนิมิต เขาเขียนไว้ว่าลูกนิมิตลูกที่ 9 จริง ๆ  ได้แต่ยิ้มแก้ขวยและขอบคุณป้า แล้วเดินตามแกเข้าไปในโบสถ์ เข้ามาอยู่ในโบสถ์ ผมมองไม่เห็นลูกนิมิตเลย เห็นแต่หัวคนพรืดไปหมด แหงนมองพระประธานสีขาวสะดุดตา อดเอ่ยชมไม่ได้ช่างทำได้งดงาม เมื่อไหลตามคนไป เห็นพวกเขาเอากระดาษคำอธิษฐานปิดทองฝังลูกนิมิตมาท่อง ผมก็ทำตาม “ ปิดนิมิต อุโบสถ ทศพล เริ่มลูกต้น กลางโบสถ์ โชติตระการ...” พอเดินมาใกล้ลูกนิมิต พบว่าแขวนด้วยสาแหรกหวาย ผมรีบแทรกตัวยื่นมือเข้าไปปิดทอง  เห็นพวกเขาเสียบเข็มกับกระดาษห้อยไว้กับสาแหรกผมก็ทำตาม แล้วรีบเดินออกมาจากโบสถ์ เหงื่อแตกท่วมตัว อดบ่นไม่ได้ว่า “ให้ตายเถอะ แม้แต่การปิดทองฝังลูกนิมิตก็ต้องใช้ความอดทนไม่น้อย”

            ผมสาวเท้าไล่ปิดทองลูกที่เหลือจนครบ ตอนนี้รู้สึกหิวข้าวขึ้นมา อยากไปโรงทานเต็มแก่ แต่ว่าทองเหลืออีกแผ่นหนึ่ง จะปิดลูกนิมิตลูกไหนดี ผมหันรีหันขวางมองรอบตัว ไปเจอกับลูกนิมิตลูกหนึ่งที่มุมโบสถ์ ไม่ได้แขวนด้วยสาแหรก แต่วางอยู่บนโต๊ะไม้เตี้ย ๆ จึงรีบเข้าปิด มีชื่อด้วยว่า “ลูกนิมิตสามัคคี” ผมคิดเอาเองว่าพวกเขาคงเห็นคนในบ้านเมืองแตกแยกกันมากจึงคิดลูกนิมิตนี้ขึ้นมา และลูกนิมิตลูกนี้กลวงมีช่องเติมบุญอยู่รอบลูก ดูดแบงก์ 20 บาทในกระเป๋าของผมไปอีกใบหนึ่ง

            กินผัดไทยในโรงทานอิ่มท้อง ผมเดินกลับมาทางหน้าโบสถ์ซึ่งเป็นทางออก ความเร่าร้อนในจิตใจผุดขึ้นมาอีก เมื่อเห็นสิ่งที่กองเรียงรายอยู่เป็นพรืด มีคู่สวย ๆ มีราคาแพงหลายคู่ต้องตาต้องใจ ผมพยายามต่อสู้กับด้านมืดในจิตใจสุดฤทธิ์ ท่อง “พุทโธ ธัมโม สังโฆ“ อยู่หลายรอบ กว่าจะหักห้ามปีศาจร้ายในใจได้ ผมรีบหันหลังเดินจากมาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ขี่ออกจากวัดทันที

 

                        **************************************************

           

            6 วัดแรกผ่านพ้นไปด้วยดี แม้จะต้องกดข่มปีศาจร้ายในใจที่พยายามจะออกอาละวาดหลายหน แต่ก็สามารถเอามันอยู่ ผมคิดว่าถ้าผ่านวัดสุดท้ายไปได้ ผมอาจจะหลุดพ้นจากสิ่งที่ทำให้ใจต้องทุกข์ระทม

            ตอนผมขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงวัดที่ 7 เกือบสี่โมงเย็น อากาศร้อนมาก เนื้อตัวเหนียวเหนอะ คันตามตัวไปทั่ว อยากจะรีบทำภารกิจให้เสร็จ แล้วไปนอนพักในที่อากาศสดชื่นไว ๆ

            แม้ว่าวัดนี้จะต้องเข้ามาในป่าเขา แต่ว่าน่ายินดีนักแสวงบุญไม่ย่อท้อ รถติดปากทางเข้ายาว 2 – 3 กิโลฯ พอมาใกล้วัดจึงรู้ว่าทำไมรถถึงติดยาว ด้วยในวัดพื้นที่คับแคบ รถยนต์จอดได้ไม่กี่คัน รอบวัดเป็นเนินเขา รถแต่ละคันต้องจอดด้วยความระมัดระวัง หลายคันต้องเอาซุกไว้ในสวนยางพาราหลังวัด มอเตอร์ไซค์ของผมต้องไปซุกไว้ตรงที่ไม่ค่อยมีใครไปจอด นั่นคือหลังห้องน้ำที่มีคนต่อคิวเข้าไปปลดทุกข์กันไม่ขาดสาย

            จอดรถเสร็จ ใจผมกระสับกระส่ายผิดปรกติจนอยากจะถอดใจไม่ไปปิดทอง แต่เมื่อคิดว่าเหลืออีกแค่วัดเดียวสำหรับทำเพื่อยายผู้มีพระคุณแล้วผมจะถอยได้อย่างไร ผมกัดฟันเดินหน้าต่อ เมื่อจอดรถมอเตอร์ไซค์เสร็จสรรพ ผมไม่ได้มองรอบข้างเลยว่าเป็นยังไง รีบก้มหน้าก้มตาเดินตามทางปูนไต่ระดับขึ้นไปยังโบสถ์ แม้จะสวมรองเท้าผ้าใบใส่ถุงเท้าอยู่ข้างใน แต่ว่าความร้อนยังแผ่ไปถึงฝ่าเท้าได้ หากเดินเท้าเปล่าคงต้องพองระบมไปหลายวัน คิดว่าหากใครลักขโมยรองเท้าไปผมต้องฆ่ามันตายแน่

            ตอนออกมาจากโบสถ์เล็ก ๆ ซึ่งมีทางเข้า - ออกทางเดียว นักแสวงบุญแน่นขนัดยัดทะนานต้องแย่งกันออกกันเข้า เมื่อหลุดออกมาได้ผมเป่าลมพรูจากปากเหมือนว่าหลุดมาจากขุมนรก รีบเดินไปปิดทองลูกนิมิตรอบโบสถ์อีก 8 ลูกที่เหลือ ตอนนี้ผมมึนหัวมาก เดินสะเปะสะปะชนใครต่อใครหลายครั้งกว่าจะปิดทองเสร็จ

            เมื่อลงมาด้านล่าง ผมยิ่งกระวนกระวายใจ เดินวนเวียนราวเสือติดจั่นอยู่หลายรอบแต่ก็หารองเท้าไม่เจอ ใจตะโกนก้องว่า “ใครเอารองเท้ากูไป อย่าให้กูรู้นะ กูเอามึงถึงตายแน่” แต่แล้วก็มาเจอกับรองเท้าคู่หนึ่ง ช่างเหมือนกับคู่ที่แม่ขว้างใส่หัวจนสลบ  ผมตาลุกวาว ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้อีกแล้ว คว้ามันติดมือ วิ่งไปยังรถที่จอดอยู่โดยไม่คิดว่าเท้าที่เหยียบลงบนพื้นปูนร้อน ๆ จะเจ็บปวดแสบขนาดไหน คิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องเอามันไปฆ่าให้ตาย เมื่อขึ้นคร่อมรถได้ก็ติดเครื่องรีบบิดออกจากวัดอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้เหลียวมองหลังว่ามีใครตามมาหรือไม่

 

                                    **************************************************

 

            มันคงคิดว่าฆ่าผมตายแล้ว หลังจากมันโยนกระสอบลงไปก้นบ่อน้ำเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียน

            แต่ไอ้คนชั่วไม่ตายง่าย ๆ หรอก มันยังคงหลบซุ่มอยู่ในจิตใจของผม คุณเองก็ลองหันมาสำรวจดูบ้าง ไอ้คนชั่วอาจกำลังวางแผนชั่วร้ายอยู่ในใจของคุณ

            ผมเองไม่รู้ว่าจะต้องต่อสู้กับไอ้คนชั่วไปอีกนานแค่ไหน ส่วนจะฆ่ามันได้หรือไม่ ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง

 

                                    ..................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

         “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

          วรรณกรรมออนไลน์